ตอนที่ 4 พญามาร

3870 Words
ศิวาตื่นขึ้นมาในเช้าของอีกวันหลังจากที่กลับจากผับแล้วเลือกที่จะค้างคืนที่บ้านเมื่อคืน ชายหนุ่มเดินผิวปากลงมาจากชั้นสองของบ้านเพื่อร่วมรับประทานอาหารเช้ากับครอบครัวด้วยความสบายใจก่อนจะกระแทกก้นนั่งลงข้างกับชาวีด้วยความไม่ชอบใจนัก “อารมณ์ดีแต่เช้าเลยนะครับ” น้องชายต่างสายเลือดเอ่ยทักทาย แต่ศิวากลับไม่สนใจตักข้าวต้มเข้าปากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แหม กินคล่องคอดีนะไม่กลัวติดคอตายรึไง” “แค่ก ๆ ๆ” ชายหนุ่มสำลักข้าวต้มจนหน้าดำหน้าแดงเมื่อมารดาประชดประชัน “โห คุณแม่ ลูกชายคนเดียวกลับบ้านทั้งที ทำไมพูดแบบนี้ล่ะครับ” เขาเน้นย้ำคำว่าลูกชายคนเดียวเสียงเข้ม ปรายตามองคนข้าง ๆ อีกครั้งเพื่อจะบอกเป็นนัยว่าใครกันแน่ที่เป็นส่วนเกินของบ้านหลังนี้ “นี่แกคงจะยังไม่รู้ตัวอีกแล้วสินะ” ศรุตเอ่ยขึ้นพลางจิบกาแฟในมืออย่างใจเย็น “มีอะไรเหรอครับ” “คุณศิลองเลื่อนดูข่าวในมือถือดูสิครับ” ชาวีเสนอขึ้น แม้จะไม่ค่อยชอบใจแต่เขาก็ยอมเลื่อนเปิดดูแต่โดยดีก่อนจะพบภาพหลุดของตัวเองเป็นครั้งที่สอง ทั้ง ๆ ที่รุจิราเพิ่งแก้ข่าวให้เขาไปแล้วก่อนหน้านั้น ศิวาชะงักกึกเมื่อเห็นภาพที่เขาไปเมื่อเรื่องที่ผับเมื่อคืน ทั้งภาพที่กำลังจับไม้จับมือกับแก้วเจ้าจอม ภาพที่ถูกเกศรินทร์ต่อยหน้าจนมันเป็นรอยช้ำอยู่ถึงตอนนี้ และภาพที่ชัดเจนมากที่สุดก็คงจะเป็นภาพที่เขากำลังจุ๊บปากของเกศรินทร์ แม้ในเหตุการณ์จริงมันจะรวดเร็วมากแค่ไหนแต่ตากล้องก็สามารถกดชัตเตอร์ถ่ายไว้ได้ทันอยู่ดี “หึงโหด แฟนสาวตัวจริง นักร้องในผับดังซัดแฟนหนุ่มจนเลือดตกยางออก เพราะพ่อปลาไหลเล่นนั่งกอดสาวต่อหน้าต่อตา” เขาอ่านพาดหัวข่าวด้วยเสียงแผ่วเบา พร้อมกับใช้ความคิดว่าจะหาข้ออ้างอะไรมาแก้ตัวกับมารดาต่อ “คนนี้น่ะเหรอแฟนแก” “มะ...ไม่ใช่นะครับ” ศิวาสะดุ้งโหยงเมื่อมารดากำลังเข้าใจผิดคิดว่ายัยทอมที่ถูกไล่ออกจากร้านเมื่อคืนเป็นแฟนเขา “จะไม่ใช่ได้ไงก็แกไปจูบเขาอวดคนทั้งผับแบบนั้น อ้อ...นี่อย่าบอกนะว่าแกเที่ยวจูบคนอื่นเขาไปทั่ว” “เปล่านะครับ ผมจูบเฉพาะคนที่ผมถูกใจเท่านั้น” ผู้เป็นลูกแก้ตัวหน้าตาเฉยทำให้รุจิรายิ่งฉุนจัดจนพูดอะไรไม่ออกบิดาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นบ้าง “งั้นแสดงว่าแกถูกใจหนูคนนี้งั้นสิ” “ถูกใจอะไรล่ะพ่อ ดูการแต่งตัวก็รู้ว่าเขาไม่ได้ชอบผู้ชาย” “นี่แสดงว่าแกยังไม่เลิกพฤติกรรมต่ำ ๆ กินไม่รู้จักอิ่มอีกเหรอตาศิ ถึงได้ไปจูบใครเขาทั่วแบบนั้น ไหนบอกว่าจะเลิกแล้วไง” ฝ่ามือเรียวทุบโต๊ะเสียงดังสนั่นจนถ้วยชามสนั่นหวั่นไหวไปด้วย “เปล่านะครับแม่...” ศิวายังคงแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ หลังจากที่เก็บตัวเพราะข่าวคาวครั้งก่อนอยู่หลายวันและสัญญากับมารดาแบบส่ง ๆ ไปว่าเขาจะไม่ทำเรื่องอย่างว่าให้เสื่อมเสียชื่อเสียงอีก ไม่เช่นนั้นจะถูกตัดออกจากกองมรดกโดยไม่มีข้อยกเว้น “งั้นก็บอกมาสิว่าผู้หญิงที่แกไปจูบอยู่นี่เป็นใคร” “ก็เป็นทอมไงแม่” “ศิวา! แม่ไม่ตลกด้วยหรอกนะ” รุจิราตวาดกร้าวจนชายหนุ่มหน้าเจื่อนลง พยายามหาข้อแก้ตัวที่พอฟังได้ที่สุด “ผม...ก็ไม่ได้ตลกนะครับ” “งั้นก็บอกแม่เขาไปสิ ว่าตกลงตัวจริงของแกน่ะคนไหน” “คนนี้แหละครับพ่อ ผมกำลังตามจีบอยู่” เขาหลุบตาตอบเมื่อแผนการบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว “ดี แม่ก็ถูกใจคนนี้เหมือนกัน ดูท่าว่าจะเอาแกอยู่ ถ้าเกิดแกออกไปหาเศษหาเลยนอกบ้านอีกจะได้มีคนมาจัดการแทน แม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อย” “แต่คุณแม่ครับ...ผู้หญิงคนนี้เป็นทอมนะครับ” ชาวีท้วงขึ้นแต่ก็ต้องเงียบไปเมื่อเห็นสายตาคมกริบของศิวา “ทอมแล้วทำไม ฉันไม่ได้ขอให้คนนอกอย่างนายออกความคิดเห็นเสียหน่อย” “ดีคนนี้แม่เห็นด้วย จีบติดเมื่อไหร่ก็พามาหาแม่ด้วยล่ะ จะจัดของขวัญชุดใหญ่ให้อย่างงาม” รุจิราตัดบทเพราะเข้าใจดีว่าพี่น้องต่างสายเลือดทั้งสองคนไม่ค่อยจะลงรอยกันเสียเท่าไหร่ ถึงชาวีจะอ่อนข้อให้แต่ศิวาก็ดูท่าว่าจะไม่ญาติดีด้วยสักนิด “แม่เตรียมรับขวัญลูกสะไภ้คนนี้ได้เลยครับ ผมจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังแน่นอน” ศิวารับปากเสียงหนักแน่นก่อนจะหยิบแก้วกาแฟตรงหน้าขึ้นมาจิบช้า ๆ พลางใช้ความคิดว่าจะจัดการหลอกล่อเกศรินทร์ให้มาเป็นสะใภ้ของบ้านได้อย่างไร เพราะดูท่าแล้วหญิงสาวจะหัวแข็งไม่เบา คงจะไม่ยอมให้เขาหลอกง่าย ๆ อย่างแน่นอน ดวงตากลมโตมีน้ำตาไหลรื้นออกมาในขณะที่นั่งมองหน้ามารดาหลับไหลอยู่บนเตียงท่ามกลางแสงไฟสลัวภายในห้องพักฟื้น กชกรอาการดีขึ้นตามลำดับหลังจากที่ทำการฟอกเลือดอยู่หลายครั้ง อีกไม่นานคงจะทำการผ่าเอาก้อนเนื้อในสมองได้ ทว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วงคงจะเป็นค่ารักษาพยาบาลตอนนี้เสียมากกว่า เกศรินทร์ก้มลงนับธนาบัตรจำนวนหนึ่งที่ตฤณให้มาซึ่งเป็นค่าจ้างงวดสุดท้ายก่อนที่จะถูกไล่ออก หากจะนำมารวมกับเงินเก็บจากการทำงานที่อื่นก็ ราว ๆ สามหมื่น แต่นั่นมันก็ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของค่ารักษาทั้งหมดอยู่ดี เสียงสะอื้นร่ำไห้ดังเล็ดลอดออกมาจนผู้เป็นแม่ได้ยิน ดวงตาเหี่ยวย่น ค่อย ๆ เปิดขึ้นจ้องมองไปที่หน้าของลูกสาวทันทีด้วยความสงสัย “เกด เป็นอะไรลูก ร้องไห้ทำไม...” “แม่...” เสียงใสเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกผิดที่ทำเสียงดังให้มารดาตื่นขึ้นมาจนได้ “ร้องไห้ทำไมไหนบอกแม่ซิ หืม” “ไม่มีอะไรค่ะแม่...หนูแค่มีเรื่องผิดใจกับเพื่อนนิดหน่อยค่ะ” หญิงสาวก้มหน้าตอบไปตามความจริงส่วนหนึ่ง ทั้งที่ความเป็นจริงเธอเครียดที่ถูกไล่ออกจากงานจนไม่รู้ว่าจะหาเงินที่ไหนมารักษาผู้เป็นแม่มากกว่า “ใช่หนูคนสวย ๆ ที่ชอบมาหาเกดที่บ้านบ่อย ๆ หรือเปล่าลูก” กชกรเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเพราะความอ่อนเพลียจากการฟอกเลือด “ใช่คะแม่” “ถึงว่าล่ะพักนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตาเลย” มือที่ผอมเรียวจนเห็นกระดูกยกขึ้นจับมือของเกศรินทร์ไว้แน่น “ผิดใจกันเรื่องอะไรล่ะ เล่าให้แม่ฟังได้ไหม” “คือ...เกดเป็นคนบอกให้เขาเดินออกไปจากชีวิตเกดเองค่ะ เราต่างกันเกินไป” “ดีแล้วล่ะลูก...เรามันจน...ต่อให้รักกันแค่ไหนมันก็ไม่คู่ควรกันอยู่ดี” นัยน์ตาคู่เศร้ามีน้ำหยดใสไหลรื้นออกมาเมื่อนึกถึงอดีตที่น่าเจ็บปวดของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะเข้าใจดีว่าเกศรินทร์ก็รู้สึกดีกับแก้วเจ้าจอมอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็อยากเห็นลูกต้องเจ็บปวดเหมือนเธอเมื่อครั้งในอดีตเหมือนกัน “แม่นอนพักเถอะนะคะ เดี๋ยวเกดจะนอนเป็นเพื่อน หมอบอกว่าแม่ต้องพักผ่อนให้เยอะ ๆ จะได้เตรียมตัวเข้าห้องผ่าตัดวันมะรืน” หญิงสาวยิ้มออกไปพลางปาดน้ำตาออกลวก ๆ “ถ้าเหนื่อยนักก็พักบ้างนะลูก ไม่ไหวก็บอกแม่มา...แม่ไม่อยากเห็นเกดต้องมาลำบาก” “เราพูดเรื่องนี้กันแล้วนะคะ เกดจะรักษาแม่ให้หาย เกดจะไม่ยอมให้แม่เป็นอะไรไป...เพราะทั้งชีวิตของเกดมีแต่แม่นะคะ” เกศรินทร์ให้คำหมั้นสัญญา ถึงจะพยายามโกหกแค่ไหนแต่กชกรก็มองออกอยู่ดี “แล้วเกดจะไปหาเงินมากมายมาจากไหน” “เกดมีแล้วค่ะแม่ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงเลย แม่นอนพักเถอะนะคะ...นะคะ” เป็นอีกครั้งที่เธอโป้ปดมารดาออกไป เมื่อเห็นว่ากชกรไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อเธอจึงกระชับผ้าห่มคลุมกายให้มารดา กระทั่งกชกรหลับไปหญิงสาวจึงลุกขึ้นแล้วย่องออกไปยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยที่ระเบียงหลังห้อง ดวงตากลมโตมีน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง พลางจ้องมองไปยังวิวทิวทัศน์ของกรุงเทพมหานครในยามราตรีอย่างไร้จุดหมาย เวลานี้เธอจะต้องไปทำงานที่รักเป็นประจำหากว่าไม่ถูกไล่ออกมาเสียก่อน สองเท้าที่ใช้พยุงร่างกายเริ่มอ่อนลงเมื่อความท้อแท้เข้ามาเยือนอีกครั้งจนต้องทรุดกายกอดเข่าตัวเองร้องไห้ออกมาตัวโยนจนแผ่นหลังไปแตะโดนเข้ากับบางอย่างที่เธอแอบวางไว้ข้างนอกระเบียงเพื่อหลบมันให้พ้นจากสายตาของกชกร รอยยิ้มแห่งความหวังจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง “จริงด้วย...ฉันยังมีแกนี่” มือเรียวหยิบกีตาร์คู่ใจขึ้นมาลูบไล้เบา ๆ ด้วยความรักพลางนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จนแทบรอให้ถึงเช้าของวันถัดไปแทบไม่ไหว หลังจากที่จัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มารดาเสร็จเรียบร้อยก่อนจะพาไปฟอกเลือดต่อซึ่งต้องใช้เวลาประมาณสี่ถึงห้าชั่วโมงในวันถัดมา เกศรินทร์จึงรีบกลับไปที่ห้องอีกครั้งเพื่อจะนำกีตาร์คู่ใจออกไปหาเงินตามที่ตั้งใจไว้ก่อนที่กชกรจะออกจากห้องฟอกเลือด เมื่อมาถึงที่ที่น่าจะมีคนสัญจรผ่านไปมาเยอะพอสมควร หญิงสาวจึงรูดซิปหยิบกีตาร์ออกมาจากนั้นจึงนำกระเป๋ามาวางไว้ตรงหน้า แล้วจึงเริ่มร้องเพลงที่เธอเป็นคนแต่งมันขึ้นมาเองให้คนที่ผ่านไปมาได้รับฟังเพื่อแลกกับเศษเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วแต่คนจะเมตตา “จะมีใคร...คนไหนบนโลกใบนี้... คนแสนดี...อย่างเธอคงไม่มีแล้ว เหนื่อยแค่ไหน...ก็ยังมีเธอคอยอยู่เคียงข้างกาย เธอทำให้ฉันรู้...ว่าฉันต้องสู้เพื่อใคร... ” เสียงเพลงท่อนแรกดังขึ้น เป็นบทเพลงที่เธอกลั่นกรองมาจากหัวใจมอบให้กชกรผู้เป็นแม่ที่เป็นเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทรคนเดียวที่เหลืออยู่ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มหันมาให้ความสนใจก่อนที่ธนาบัตรสีเขียวใบแรกจะถูกวางไว้ในกระเป๋าตามมาด้วยเหรียญอีกมากมาย “เพราะชีวิต...ของฉันมันมีแค่เธอ ต่อให้เจอ...ปัญหามากมาย...ฉันจะไม่ท้อ แค่ความรัก...ที่แลกกับเธอคงยังไม่พอ อยากให้รอ...แล้วเราจะผ่านมันไป...ด้วยกัน...“ ผู้คนที่หยุดฟังเพลงปรบมือให้อย่างพร้อมเพรียงกันเมื่อเสียงเพลงจบลง เกศรินทร์โค้งกายพนมมือไหว้ทุกคน แล้วจึงร้องเพลงต่อไปทันที กระทั่งเวลาล่วงเลยมาพอสมควร แสงแดดตอนเที่ยงเริ่มส่งลงมาจนรู้สึกเจ็บคอหญิงสาวจึงตัดสินใจทรุดกายลงนั่งเพื่อเก็บเงินที่ได้จากกระเป๋าใส่กีตาร์จะได้เดินทางกลับไปที่โรงพยาบาล “เหนื่อยไหม” เสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับมือหนาที่ยื่นขวดน้ำส่งมาให้ในขณะที่เธอยังคงนั่งเก็บเงินอยู่ ความหิวกระหายมันทำให้ต้องเอื้อมมือไปรับขวดน้ำนั้นขึ้นมากระดกทันทีโดยไม่ได้สังเกตเห็นคนที่ส่งมาให้ “ขอบคุณนะคะ...คุณ!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างก่อนจะปาขวดน้ำที่รับมาใส่คนตรงหน้าแล้วรีบหยิบเงินยัดใส่กระเป๋าต่อลวก ๆ ก่อนจะหยิบกีตาร์ใส่ลงไปในนั้นแล้วสะพายมุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาลทันที ในขณะที่ศิวายังวิ่งไล่ตามไปติด ๆ “เดี๋ยวก่อนสิ...ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” ชายหนุ่มพยายามตะโกนเรียกแต่ก็ไร้ผลเมื่อเกศรินทร์ไม่ยอมหันมามองเลยด้วยซ้ำ สองเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งฝ่าแดดที่กำลังร้อนจัดเข้าไปในเขตของโรงพยาบาลด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะตัดสินใจเข้าไปซ่อนตัวในห้องน้ำหญิงเพราะมันอาจจะเป็นที่เดียวที่เขาไม่สามารถตามเข้าไปได้ “ทำไมต้องตามมารังควาญถึงนี่ด้วย” เกศรินทร์ปาดเหงื่อที่ไหลออกมาปรกหน้าออกลวก ๆ รู้สึกหิวคอแห้งจนตาลายเพราะยังไม่กินอะไรมาตั้งแต่เช้า พลางชะโงกหน้าออกไปดูข้างนอกให้แน่ใจอีกครั้งว่าเขาไม่ได้ตามเข้ามา “ไปเสียได้ก็ดี กัดไม่ปล่อยจริง ๆ” เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาไม่ได้ตามมาจริง ๆ หญิงสาวจึงค่อย ๆ เปิดประตูออกไปเพื่อจะไปรับกชกรที่ห้องฟอกเลือดโดยที่ไม่ลืมพากีตาร์คู่ใจไปเก็บไว้ก่อน หมอเจ้าของไข้เดินออกมาพร้อมกับบุรุษพยาบาลซึ่งเข็นวีลแชร์ของมารดาออกมาด้วยสีหน้าสียิ้มแย้ม “คนไข้ดีขึ้นมากเลยนะครับ พรุ่งนี้คงจะเข้าห้องผ่าตัดได้” “ค่ะ...” เกศรินทร์ตอบรับด้วยรอยยิ้มทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าจะหาเงินค่ารักษาถึงหกหลักมาจากไหน “เดี๋ยวยังไง...เชิญญาติคนไข้ไปเซ็นเอกสารยินยอมเข้ารับการผ่าตัดทางนี้ก่อนนะคะ” เกศรินทร์ชะงักกึกเมือหันไปเห็นเอกสารในมือของพยาบาลอีกคนที่กำลังส่งมันมาให้เธอ “เอ่อ...แล้วเรื่องเงิน...” กชกรเงยหน้าขึ้นถามหมอด้วยใบหน้าไม่สู้ดี “ผ่าตัดได้เลยครับ เรื่องเงินผมรับผิดชอบเอง” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังเมื่อหันไปมองก็ต้องตกใจเพราะเป็นเสียงของผู้ชายคนเดียวที่เธอเพิ่งจะวิ่งหนีเขามาเมื่อครู่ “คุณ! นี่ไม่ใช่...” “จัดการตามนั้นได้เลยครับหมอ” เขาส่งยิ้มให้เกศรินทร์อย่างอบอุ่นแต่หญิงสาวกลับไม่รู้แบบนั้นเลยสักนิด นี่มันรอยยิ้มของพญามารชัด ๆ “งั้นรบกวนญาติคนไข้เซ็นเอกสารนี้ก่อนนะคะ” ไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดอะไรต่อพยาบาลก็นำเอกสารมาส่งให้ คำพูดของเขาเมื่อครู่ทำให้เกศรินทร์สับสนอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อกชกรกำลังมองอยู่เธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะก้มหน้าเซ็นมันด้วยความจำยอม เพราะกลัวว่ามารดาจะรู้ความจริงที่เธอโกหกเรื่องเงินค่ารักษาว่าเธอมีอยู่แล้ว “เรื่องค่ารักษาทั้งหมดติดต่อตามนี้เลยนะครับ” ศิวายื่นนามบัตรแนบไปกับเอกสารที่เกศรินทร์เพิ่งเซ็นเสร็จ จากนั้นหมอและพยาบาลจึงพากันเดินจากไป “เอ่อ...นี่ใครอ่ะเกด แม่ไม่เห็นรู้จัก” กชกรเอ่ยถามขึ้นแต่ไม่ทันที่เกศรินทร์จะอ้าปากตอบคนตัวสูงกว่ากลับรีบตอบคำถามนั้นเสียเอง “แฟนครับ...ผมเป็นแฟนเกด” “จะบ้ารึไง ใครเป็นแฟนคุณ พูดให้ดีนะเว้ย!” หญิงสาวค้อนขวับพลางยกมือที่กำลังหมัดแน่นขึ้นในอากาศหมายจะฟาดลงบนหน้าหล่อเหลานั้นทว่ามารดากลับห้ามไว้เสียก่อน “เกด...นี่มันโรงพยาบาลนะ หัดสำรวมบ้างสิ” “เกดเขาคงจะอายน่ะครับ” ศิวายักคิ้วหลิ่วตาให้ราวกับผู้ชนะ เมื่อเห็นว่าเกศรินทร์จะอ้าปากออกมาเขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “คุณแม่คงจะเพลีย เรากลับห้องกันดีกว่าครับ” “คุณแม่เหรอ...” นี่เขากล้าเรียกกชกรว่าแม่ได้เต็มปากได้อย่างไร ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาตั้งตัวเป็นศัตรูเบอร์หนึ่งของเธอมาโดยตลอด แม้จะอยากตะบันหน้าเขาแค่ไหนก็ทำไม่ได้อยู่ดีนอกจากยอมเดินตามไปอย่าเงียบ ๆ เท่านั้น “แม่ไม่รู้เลยนะเนี่ย ว่าเกดจะมีแฟนเป็นผู้ชาย แม่คิดว่า...เกดเขาชอบผู้หญิงเสียอีก” “ตอนแรกก็เป็นแบบนั้นแหละครับ แต่พอผมจีบทุกวันเกดเขาเลยยอมใจอ่อน” คนเจ้าเล่ห์ยิ้มตอบหน้าตาเฉย ทำให้เกศรินทร์ต้องรีบเดินเข้าไปแทรกกลางระหว่างกชกร ก่อนจะผลักร่างเขาให้ออกห่าง “แม่นอนพักก่อนนะคะ เดี๋ยวเกดมา” ว่าแล้วจึงลากแขนคนตัวสูงที่ยืนหน้าสลอนอยู่ข้าง ๆ ให้เดินตามออกไปจากห้องก่อนจะเปิดประเด็นบทสนทนาทันที “คุณต้องการอะไร” “ต้องการอะไร หมายความว่าไง” เขาตอบแบบผ่าน ๆ เหมือนกับว่ามันไม่ได้สำคัญอะไร “ก็ที่คุณเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตฉัน คุณต้องการอะไรกันแน่” “ไม่ได้ต้องการอะไรเสียหน่อย ทำไมต้องคิดแบบนั้นด้วย” ศิวาตอบแต่ไม่หันหน้ามามองคนตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ จะไม่ต้องการอะไรได้ยังไง เขาต้องการพาเธอไปเป็นสะใภ้ของบ้านต่างหาก “แล้วคุณมาที่นี่ทำไม คุณตามฉันมาทำไม คุณยังต้องการอะไรอีก แค่นี้คุณยังทำลายชีวิตฉันไม่พออีกเหรอ” “ก็ฉันกำลังรู้สึกผิดอยู่นี่ไง” ชายหนุ่มเผลอตะคอกออกไปด้วยความลืมตัว ทำให้เกศรินทร์ชะงักไปชั่วครู่ เขาจึงยอมปรับน้ำเสียงให้ต่ำลงเล็กน้อย “ฉันมาคิดดูแล้วสิ่งที่ฉันทำมันก็เกินไปอยู่ ฉันก็เลยมาเพื่อจะขอโทษน่ะ” “เก็บคำขอโทษของคุณกลับไปซะเถอะ แล้วก็เงินค่ารักษาแม่ฉัน ฉันจัดการเองได้ไม่ต้องมายุ่ง” “เธอจะถือศักดิ์ศรีบ้าบออะไรนั่นให้มันหนักอยู่ทำไม ในเมื่อเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าจะไปหาเงินค่ารักษามากมายมาจากไหน ลำพังแค่ร้องเพลงเปิดหมวกนั่นมันจะได้สักแค่ไหนกันเชียว” คำพูดของเขาทำให้สองเท้าที่กำลังเดินจากไปต้องหยุดลง ทว่าไม่ทันได้หันมาพูดอะไรต่อ ดวงตากลมโตก็ไปสะดุดเข้ากับร่างหนึ่งเสียก่อน แก้วเจ้าจอมกำลังเดินมาที่ห้องของมารดาพร้อมกับตะกร้าผลไม้ในมือ... เธอจะกลับมาอีกทำไมถ้าไม่ต้องการให้เกศรินทร์เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตเธอแล้ว เมื่อสายตาสบสายตามันยิ่งทำให้สติของเกศรินทร์หดหายไป สมองจึงสั่งการให้เท้าน้อย ๆ จึงเดินหันกลับไปหาคนตัวสูงด้านหลังก่อนจะเข้าไปสวมกอดร่างนั้นไว้แน่นจนศิวาสะดุ้งตกใจ “เดี๋ยว ๆ นี่เธอมามาไม้ไหนเนี่ย” “ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมากจริง ๆ ” หญิงสาวยังคงซบลงบนอกกว้างของเขาโดยที่ศิวาไม่รู้เลยว่าเกศรินทร์กำลังเล่นละครฉากใหญ่ “นี่แสดงว่าเธอรับคำขอโทษจากฉันแล้วใช่ไหม” “ค่ะ...” คนตัวเล็กกว่าในอ้อมกอดตอบทั้งที่ไม่ได้ใส่ใจจะฟังคำถามนั้นด้วยซ้ำเพราะสายตามัวแต่จับจ้องไปที่แก้วเจ้าจอม ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงเดินเข้ามาใกล้ แค่กอดมันคงยังไม่เนียนพอที่จะทำให้แก้วเจ้าจอมเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าเกศรินทร์ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอแล้ว “ถ้าเธอไม่ว่าอะไร...ฉันขอจีบเธอได้...” คำพูดของศิวาถูกกลืนหายไปเมื่อหญิงสาวเขย่งปลายเท้าใช้มือเรียวรั้งลำคอหนาของเขาใหโน้มลงมา ก่อนจะใช้ปากตัวเองแตะไปบนริมฝีปากของเขาแผ่วเบา และนั่นมันก็ได้ผลทีเดียวเมื่อแก้วเจ้าจอมชะงักกึก ตะกร้าผลไม้ที่ถือติดมือมาร่วงหล่นลงบนพื้นพร้อมกับน้ำตาหยดน้อยที่ไหลร่วงลงอาบแก้มทั้งสองข้าง หลังจากที่ตัดสินใจมาหาเกศรินทร์เพื่อจะปรับความเข้าใจกันในตอนแรก แต่พอมาเห็นภาพบาดตาบาดใจขนาดนี้มันยิ่งทำให้เธอรู้แล้วว่าแท้จริงเกศรินทร์ต้องการแบบไหนกันแน่ และเธอก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะต้องอยู่อีกต่อไป หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อเห็นว่าแก้วเจ้าจอมเดินจากไปแล้ว แม้จะแอบรู้สึกผิดแต่นั่นมันก็เป็นทางเลือกเดียวที่จะให้แก้วเจ้าจอมสามารถตัดใจจากเธอได้เสียที มือเรียวพยายามผลักอกกว้างออกแต่ทว่ามือปลาหมึกของศิวายังคงกอดเอวบางไว้แน่นแนบกาย “ปล่อยฉันได้แล้ว” “เสียดายจัง กำลังฟินเลย” ชายหนุ่มทำสายตาอ้อนวอนรู้สึกเสียดายเต็มประดา ทำให้มือที่ผลักเขาออกตีเข้าที่แขนนั่นเข้าเต็มแรง “ทุเรศ!” เกศรินทร์สวนกลับ เมื่อเป็นอิสระจึงเช็ดปากตัวเองออกลวก ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของกชกร ทว่าความอ่อนเพลียและความหิวเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า มันทำให้หญิงสาวรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาจนแทบจะล้มลงบนพื้น “เป็นอะไรหรือเปล่า” “อย่ามายุ่ง” คนตัวเล็กกว่าสะบัดแขนที่กำลังช่วยประคองร่างของเธอออก พยายามยืนขึ้นอีกครั้งอย่างทุลักทุเล “นี่อย่าบอกนะว่าเธอท้องแล้ว ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเธอเลยนะ ถ้าจะให้นับเราก็แค่จูบกันสองครั้ง ไม่สิ...เมื่อกี้เธอจูบฉันเป็นครั้งที่สาม” “ถ้าคุณพูดแค่คำเดียวฉันต่อยหน้าคุณแน่” เกศรินทร์สวนกลับทันควัน “งั้นก็บอกมาสิว่าเป็นอะไร ไปหาหมอให้ตรวจก่อนดีไหมล่ะ” “ไม่ต้อง...ไม่ต้องมาทำเป็นพ่อพระหรอก เพราะคนอย่างคุณเป็นได้แค่พญามาร” หญิงสาวหลุบตาตอบ แต่ก็ไม่อาจเก็บซ่อนอาการไว้ได้เพราะท้องที่ส่งเสียงดังโครกครากออกมา “จริงสิ ฉันแอบตามเธอตั้งแต่เช้าแล้ว เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่เห็นเธอกินอะไรเลย” “นี่คุณว่าอะไรนะ คุณแอบตามฉันมาเหรอ” “ไปเถอะ...เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” “ไม่ต้อง ฉันไม่ไปไหนกับคุณทั้งนั้น” เกศรินทร์ตวาดกร้าว “อย่าลืมสิ ว่าเราไม่ชอบหน้ากัน...” พรึบ! บทสนทนาสิ้นสุดแต่เพียงเท่านั้นเมื่อจู่ ๆ เกศรินทร์ก็ล้มลงหมดสติไปก่อนที่ศิวาแทบจะคว้าร่างนั้นไว้ได้ทันอย่างเฉียดฉิว ชายหนุ้มยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นว่าแม่เสือก่อนหน้ากลายร่างเป็นลูกแมวน้อยนอนหมดสติอยู่ในอ้อมกอดเขา “อวดเก่งจริง ๆ แม่คุณ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD