EP.09
ปุรัมภาวิ่งเข้ามาในห้องของตัวเองทั้งน้ำตาที่นองหน้า หลังประตูห้องปิดลง ร่างบางก็ทรุดลงบนเตียงนอนของตนเอง ซบหน้าลงร้องไห้กับผ้าห่ม
เธอน้อยใจ ในสิ่งที่ทำไปนั้นเพื่อความหวังดีต่อแม่ หากแต่แม่กลับมองไม่เห็นคุณค่าของมันเลย
หลายครั้งที่เธอเคยเตือน หลายครั้งที่เธอร้องบอก แต่สิ่งที่ได้กลับมาเป็นแค่เพียงคำด่า และในบางครั้งถึงกับลงไม้ลงมืออย่างทารุณ
ด้วยระยะเวลาที่ผ่าน กับอายุของหญิงสาวที่พอจะรู้ความเป็นไป และ ‘การกระทำ’ ของแม่เสมอมา ทำให้ปุรัมภาได้รู้ว่า สิ่งที่แม่ทำในขณะนี้มันเกิดจาก ‘ความโลภ’ ในหัวใจ เสียมากกว่า
หญิงสาวคือผลลัพธ์ของความใจแตกของปาริฉัตร แม่ตั้งครรภ์เธอตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี แต่สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ ผู้ชายกว่าสามคนที่แม่มีความสัมพันธ์ด้วยในขณะนั้น ทุกคนต่างปฏิเสธความรับผิดชอบ ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นพ่อของเด็กในท้อง ตัวของปาริฉัตรเองก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าใครคือพ่อตัวจริงของลูกเธอ สิ่งเดียวที่ทำได้นั่นคือการลาออกจากโรงเรียนทั้งๆ ที่ใกล้จะเรียนจบในอีกไม่กี่เดือน และแอบไปคลอดลูกของตัวเองอย่างเงียบๆ
หล่อนต้องทนต่อความอับอายที่สังคมต่างประจานให้รู้สึกซ้ำใจในด้านต่างๆ จนต้องตัดสินใจหอบลูกเล็กๆ หนีเข้ากรุงเทพฯ
ต่อจากนั้น ไม่นาน ปุรัมภาจึงได้รู้ว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ที่แม่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เล็กๆ มันมาจาก ‘ค่าตัว’ ของตนเองที่ต้องออกไปกับผู้ชายหลากหน้าในเวลากลางคืน ทิ้งบุตรสาวเอาไว้กับหญิงชราห้องข้างๆ ทุกวัน
หญิงสาวจำได้ว่า ตอนที่เธออายุประมาณ ๑๑ ปี แม่ก็พาเธอออกจากบ้านเช่าสับปะรังเคแคบๆ นั่น ไปอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่ง โดยแม่บังคับให้เธอเรียกชายชราคราวปู่ว่า ‘พ่อ’ ทั้งๆ ที่มันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น ปุรัมภาเริ่มสังเกตเห็นสายตาของใครหลายๆ คนในบ้าน หลังจากที่เธอและแม่ก้าวเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น นอกจากชายชราคนนั้นแล้ว ทุกคนก็มองเธอกับแม่ด้วยสายตาดูแคลน และหลายครั้งที่หญิงสาวรู้สึกอึดอัดกับคำบริภาษของคนเหล่านั้น
กระทั่งในวันที่ชายชราคนนั้นเสียชีวิตลง เธอก็เห็นสีหน้าของแม่ในยามที่รู้ความจริงในพินัยกรรมฉบับนั้นว่า ไม่ได้มีการระบุชื่อของ ‘นางสาวปาริฉัตร’ เอาไว้สักบรรทัดเดียว
ปาริฉัตรโวยวายลั่นบ้าน ก่อนจะหอบหิ้วบุตรสาวออกจากบ้านหลังนั้น พร้อมกับสายตาที่มองตามของคนพวกนั้นในเชิงสมน้ำหน้า
ต่อจากนั้นไม่นานปาริฉัตรก็ได้พบกับผู้ชายคนใหม่มาเรื่อยๆ ก่อนจะมาพบกับผู้ชายคนหนึ่งที่เพียบพร้อมไปด้วยฐานะ หน้าที่การงาน ชื่อเสียงและครอบครัวที่แสนจะอบอุ่น แต่ ‘แม่’ ของเธอกลับเป็นฝ่ายทำลายความสมบูรณ์แบบเหล่านั้นลงด้วยการเข้ามาเป็นมือที่สาม ทำให้สามีกับภรรยาต้องแยกทางกัน และจนมาเกิดเป็นความไม่เข้าใจระหว่างพ่อกับลูกในที่สุด
เขาคนนั้นคือ คุณไกรวิทย์
ปุรัมภาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวยกมือขึ้นป้ายน้ำตาที่นองหน้าทิ้ง ก่อนจะทอดสายตามองไปที่หน้าต่างทะลุไปยังภาพบรรยากาศเบื้องนอก หากแต่ในเวลานั้นสิ่งที่ปรากฏในครองจักษุของเธอกลับเป็นใบหน้าของเขา...
ไกรธวัต
“ภาขอโทษนะคะพี่ธวัต ภาขอโทษแทนแม่ที่ทำให้ครอบครัวของพี่ต้องเป็นแบบนี้ ภาขอโทษจริงๆ”
วันเปิดพินัยกรรม
ไกรธวัตก้าวเข้ามาภายในบ้านดารากาญจน์อีกครั้งหลังจากที่เขาหันหลังให้กับมันมานานกว่าห้าปีเต็ม และไม่เคยคิดเสียด้วยซ้ำว่าจะกลับมาเหยียบที่นี่อีก
ในวันนี้...เวลานี้ เพราะคำขอร้องของคุณฉัตรชัย เขาจึงได้กลับมาอีกครั้ง กลับมาฟังข้อความในพินัยกรรมที่เขา ‘ไม่’ เคยคิดที่จะอยากได้มัน
เขายังจำได้กับภาพที่สุดแสนจะยอกแสยง ภาพของชายหญิงคู่หนึ่งที่นอนเสพสุขกันด้วยสภาพที่น่าสะอิดสะเอียน นี่พ่อของเขาที่เขาเคยคิดว่าเป็นฮีโร่มาตลอด กล้าที่จะพาผู้หญิงอื่นมาทำเรื่องโสมมในบ้านหลังนี้ได้
“มาตรงเวลาเลยนะ ทั้งคุณเลขาฯ ผู้ซื้อสัตย์ และคุณลูกเลี้ยงจอมโอหัง”
ปาริฉัตรที่กำลังนั่งสง่าเป็นนางพญาอยู่ในห้องรับแขกสุดหรู ทักทั้งสองผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ขณะปุรัมภาที่นั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย หันมามองกรอบหน้าสวยเฉี่ยวของมารดา สลับกับไกรธวัตด้วยสีหน้าเศร้าใจ
“เป็นวันแบ่งสมบัติทั้งที ผมจะพลาดมาสายได้อย่างไรกันล่ะครับ คุณเมียน้อย” คนถูกทัก ตอบด้วยน้ำเสียงแกมเยาะไม่แพ้กัน
“ถ้ามากันจนครบทุกคนแล้ว ผมก็จะขอเปิดพินัยกรรมเลยนะครับ”
ชาญพล ทนายประจำตระกูลดารากาญจน์ที่คุณไกรวิทย์ได้จัดตั้งขึ้น เพื่อให้เขาเป็นผู้ดูแลระบบทรัพย์สินของเขาในขณะที่เขาไม่มีชีวิตอยู่แล้ว เอ่ยแทรกขึ้นก่อนจะกรีดเปิดซองเอกสารสีน้ำตาลที่ถูกปิดเอาไว้อย่างดี นับตั้งแต่วันที่ปิดซองครั้งแรก ออกอย่างช้าๆ และดึงแผ่นกระดาษสีขาวขึ้นมาอ่านอย่างช้าๆ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน
ข้อความในพินัยกรรมฉบับนั้นมีข้อความว่า...
“ข้าพเจ้า นายไกรวิทย์ ดารากาญจน์ อายุห้าสิบสามปี ได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้น ในขณะที่ข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะครบบริบูรณ์ทุกประการ และมิได้ถูกบังคับขู่เข็ญจากบุคคลใดๆ ทั้งสิ้น โดยข้าพเจ้าขอทำพินัยกรรมเอาไว้ว่า เมื่อข้าพเจ้าถึงแก่ความตายไปแล้ว ให้ทรัพย์สินทั้งหมดของข้าพเจ้าทั้งในปัจจุบันตลอดจนที่จะมีต่อไปในอนาคตนั้น ตกแต่นายไกรธวัต ดารากาญจน์ แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งจะมีเงื่อนไขที่ให้นายไกรธวัต ดารากาญจน์ จะต้องลงนามยินยอมที่จะเป็นผู้ออกค่าเลี้ยงดู และจ่ายเป็นเงินค่าอุปการะตลอดจนค่าเล่าเรียนให้แก่นางสาวปุรัมภา ปารญาณ ทุกเดือน จนกว่านางสาวปุรัมภาจะสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี
ลงชื่อ นายไกรวิทย์ ดารากาญจน์
ผู้ทำพินัยกรรม”
“ไม่จริง!!!”