ตอนที่ 2

1690 Words
2 “เฮ้ย!!” นิลลดาสะดุ้งสาวเท้ากลับไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ใครจะคิดล่ะว่าอีตาหมียักษ์หน้าตายจะกล้าทำบ้าๆ ถึงขนาดลากเธอออกมาจากงานเลี้ยง ทั้งที่แขกเหรื่อยังอยู่เต็มห้องขนาดนั้น อีกอย่างก็คือสัมผัสจากมือหนา ร้อนผ่าวพาเธอสะดุ้งโหยงราวกับโดนไฟลวก ‘มันหน้าสิ่วหน้าขวานอยู่นะ ทำไมหัวใจเธอถึงได้เต้นแรงอย่างนี้นี่ฮ้า บ้าแล้ว นี่มันบ้าชัดๆ เลย’ หญิงสาวก่นด่าตัวเอง ที่ดันหวั่นไหวไปกับสัมผัสของหมียักษ์ที่ยังบีบแขนเธอจนแน่น รีบซอยเท้าถี่ ๆ ตามคนร่างใหญ่ไปจนแทบจะเหยียบเอาชายกระโปรงจนหัวทิ่มไปข้างหน้า มือที่จะแกะมือแกร่งออกจากแขนก็จำต้องละไปจับกระโปรงตัวยาวฟูฟ่อง เพราะไม่เช่นนั้นเธอจะต้องล้มลุกคลุกคลานให้อายคนอื่นเขา ไม่รู้ทำไมผู้หญิงเวลาแต่งงานจะต้องใส่ไอ้ชุดบ้าๆ ยาวฟูฟ่องนี่ด้วย ไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย ทั้งรุ่มร่ามแล้วก็อึดอัด ไอ้เกาะอกนี่ก็รัดเสียจนหายใจไม่ออก แล้วไอ้ผ้านี่ก็ทำให้ระคายเคืองผิวชะมัดยาดเลย ดีนะที่อยู่ในห้องแอร์ ถ้าอยู่ข้างนอก เจอกับอากาศร้อนๆ ละก็ เธอคงคันคะเยอเหมือนคนถูกหมามุ่ยแล้วละ “ปล่อยฉันได้แล้ว!” เพียงแค่พ้นสายตาของผู้คน เจ้าสาวตัวปลอมรีบสะบัดมือหนาออกจากแขน ทว่านอกจากจะไม่ถูกปล่อยตัว อีกฝ่ายยังจะดึงเธอเข้าหาจนได้กลิ่นชายชาตรีและกลิ่นโคโลญอ่อนๆ ลอยมาแตะจมูก วงหน้าผุดผ่องถึงกับแดงปลั่ง แต่ดีว่ามีเครื่องสำอางเคลือบอยู่ ทำให้นิลลดาค่อยเบาใจไปได้เล็กน้อย พ่อหมียักษ์ตัวใหญ่จะไม่เห็นความอายของเธอ บ้าฉิบ! ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ “ฉันรู้ว่าเธอไม่ยินดีจะแต่งงานด้วย แต่เมื่อตัดสินใจจะทำอย่างนี้ เธอก็ควรจะยอมรับในสิ่งที่ได้ตัดสินใจลงไป ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย ไม่ใช่หน้าบูดเป็นตูดลิงอึไม่ออกมาสักสิบวันแบบนี้” คนซึ่งรู้ตัวดีว่าไม่ได้เป็นที่ต้องการของเจ้าสาวเอ่ยขึ้น นิลลดาเงยหน้าขึ้นฉับพลัน กลีบปากอิ่มนุ่มอ้าค้างกับคำพูดแสบสันที่ออกจากปากหนา ‘เออ...ก็รู้ดีอยู่แล้วนี่นาว่าเธอไม่อยากแต่งงานด้วย เป็นเพราะคุณนั่นแหละที่ใช้ความจำเป็นบังคับ ไอ้ผู้ชายปากปีจอ ฉันขัดไม่ได้หรอกย่ะถึงต้องมาทำหน้าที่เมียจำยอมบ้าๆ ช่วยไม่ให้คุณหน้าแตกยับจนขนาดหมอไม่กล้ารับเข้าโรงพยาบาลนะไอ้หมียักษ์ปากปีจอหน้าหม้อ ยังจะปากเสียมาว่ากันอีก มันน่านัก’ ทำเสียงขลุกขลักในลำคอเล็กน้อย ถ้ารู้ว่าหนีร้อน...ก็ผู้ชายซึ่งเธอแอบให้ความสนใจ เก็บเอาไปฝันตั้งแต่แรกแตกเนื้อสาวกลับมาบ้าน แต่เขาไม่ได้มาคนเดียว มีแฟนสาวสวยลูกผู้ดีมีเงินพ่วงกลับมาด้วย แค่นี้เธอก็ช้ำใจพอแล้ว ยังจะได้ยินว่าเขาอาจมีข่าวดีเร็วๆ นี้ เธอเลยเป๋เหมือนปูเดินไม่ตรงทางอยู่แล้ว จะบอกเล่าพูดคุยกับแม่ก็ไม่ได้อีก เมื่ออีกฝ่ายไม่ค่อยจะอยู่บ้าน และไม่มีใครคุยด้วยเลยเลือกที่จะกลับมาหาพี่สาวฝาแฝด ซึ่งต้องแยกกันอยู่เพราะบิดาและมารดาของเธอหย่ากัน เธอเลือกที่จะอยู่กับแม่ ในขณะที่มุกลดาต้องไปอยู่กับพ่อ ซึ่งได้สร้างครอบครัวใหม่เอาไว้รองรับเรียบร้อยแล้ว แม้รู้ดี พูดไปพี่สาวก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก แต่การได้บอกเล่าให้ใครสักคนได้ฟังเรื่องราวอึดอัดคับแค้นใจ ก็ทำให้สบายใจขึ้นมาได้หน่อยหนึ่งละ แต่พอมาถึงน่ะซิ...เจอกับเรื่องช็อกยกกำลังสองเลยเชียวละ เธอแทบจะล้มทั้งยืน อ๋อ...ลืมไปตอนฟังไม่ได้ยืนอยู่ แต่เป็นนั่งที่โซฟาจนนั่งไม่ติดเชียวละ... “อะไรนะคะพ่อ!” มุกลดาแผดถามบิดาเสียงหลงและคิดว่าดังมากแล้ว แต่ยามที่เปล่งออกมากลับเบาหวิวจนเสียงแทบจะเป็นเสียงลมแผ่วๆ เสียมากกว่า กลีบปากอวบอิ่มซึ่งขบกัดจนแบนราบเรียบ เธอคงหูฝาดไปเท่านั้นเอง ไม่จริงสักหน่อย ปุริมน้องชายต่างมารดา ก็อยากเกลียดไอ้เด็กบ้านี่อยู่หรอกนะ เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ครอบครัวเธอต้องแตกแยก แต่พอเห็นหน้าก็ดันเกลียดไม่ลงซะนี่ แถมยังหลงรักและเอ็นดูราวกับน้องชายร่วมอุทรเดียวกันเสียอีก ปุริมนั้นหน้าเป็นเสียเหลือเกิน เวลาเธอมาหาพ่อทีไร อีกฝ่ายจะมาประจบประแจง คอยวิ่งตามตูดเธอต้อย ๆ เป็นลูกไล่คอยทำตามคำสั่งไม่เคยบิดพลิ้วและขาดตกบกพร่อง เห็นเธอเป็นเสมือนฮีโร่บวกนางฟ้าแสนซนประจำตัว น้องน้อยนิสัยดี ซึ่งรักเจ้าโมเดลรถคันมินิและรถเหล็กคันมินิ จนเธอต้องสั่งแม่ให้ซื้อหามาให้ หรือไม่ถ้าหากไปเจอที่ไหนก็มักจะซื้อติดไม้ติดมือมาฝากทุกครั้ง “พ่ออย่าล้อเล่นแบบนี้ซิคะ ไม่สนุกนะ” นิลลดายังพยายามคิดในแง่ดี น้องชายประสบอุบัติเหตุจริง แต่ก็เพียงแค่บาดเจ็บ ฟกช้ำดำเขียว ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงอย่างที่พ่อบอกสักหน่อย พ่อน่ะตื่นตระหนกตกใจไปเอง อีกไม่กี่วันน้องก็กลับบ้านมาวิ่งปร๋อกระโดดโลดเต้นได้แล้วละ ปุริมแข็งแรงจะตาย ขนาดป่วยยังไม่สนใจ ออกไปวิ่งเล่นน้ำฝนกับเธออยู่เลย จะมาประสบอุบัติเหตุนอนแบบไม่ได้สติอย่างที่พ่อพูดยังไงกันเล่า ‘พ่อนี่นะ...เอาอะไรมาพูดก็ไม่รู้ อย่างนี้เขาเรียกแช่งลูกแล้ว’ คนไม่อยากยอมรับความจริงหาเรื่องติ “นิล...ฟังพ่อนะลูก” รู้ดีว่าบุตรสาวคนเล็กยังช็อกกับสิ่งที่ได้ยิน ขนาดเขาตอนได้ยินข่าว ถึงกับช็อกล้มทั้งยืนมาแล้ว นิลลดาล่ะ...ถ้ายืนอยู่ก็คงทรุดไปเช่นกัน สุชลเอื้อมมือไปจับไหล่มน รั้งร่างเพรียวบางสั่นสะท้านนั่งทรงตัวๆ ไม่ได้ เลยโน้มตัวไปเท้าศอกบนขา หน้าซีดเผือดเหมือนกับไก่ถูกต้มสุก “น้อง...” “พ่อไม่ต้องพูดแล้ว นิลเข้าใจ” นิลลดาพยายามข่มกลั้นน้ำเสียงไม่ให้สั่นไหว กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลหลั่งริน ยกมือโบกสะบัดห้ามไม่ให้บิดาซึ่งเพียงแค่เอ่ยปากก็สั่นแล้ว นิลลดาสูดลมหายใจเข้าปอด พลางสลัดความหม่นหมองปวดร้าวเศร้าเสียใจทิ้งไป เพราะไม่ต้องการให้พ่อเป็นกังวลกับเธออีกคน เธอจะต้องเป็นกำลังหลักเป็นกำลังใจให้กับพ่อและทุกๆ คน ซึ่งกำลังเป๋เดินไม่ตรงทางด้วย เข้าใจแล้ว ทำไมเมื่อไปที่ร้านก็พบว่าประตูปิดและไม่มีกำหนดการเปิด มาถึงบ้านก็ได้เจอกับความมืดมิด ตอนนั้นคิดเพียงแค่ว่าพ่อคงพาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจกัน จนเธอซึ่งมาโดยไม่แจ้งล่วงหน้าอดเป็นกังวล คืนนี้จะนอนที่ไหนดี แต่พอจะหันหลังกลับ ก็เห็นพ่อก้าวลงจากรถโดยสาร โผเข้ากอดเธอตัวสั่น หน้าตาที่เคยรื่นเริงยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เป็นเนืองนิตย์กลับซูบซีดระคนหม่นหมอง หมดไร้เรี่ยวแรงและกำลังใจ ดูแก่ลงไปอีกโขเลยเชียวละ คนเป็นแม่อย่างปรียา...ลูกเจ็บอย่างไม่รู้ชะตากรรมว่าจะอยู่หรือไปแบบนี้ แม่เลี้ยงของเธอคงเจ็บปวดเจียนขาดใจมากมายพออยู่แล้ว กับการต้องทนเห็นลูกนอนอยู่บนเตียงโดยช่วยเหลืออะไรไม่ได้ แม้ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่เธอนึกถึงภาพปรียาที่ร้องไห้เป็นเผาเต่า เป็นลมล้มพับครั้งแล้วครั้งเล่าได้ดี หันมาดูคนใกล้ตัว สภาพของบิดาในตอนนี้ เธอรู้ดีว่าท่านเองก็รวบรวมพละกำลังอย่างสุดความสามารถให้ทรงตัวอยู่ เพื่อเป็นกำลังใจแก่ปรียา มุกลดาและปุริม แต่ถ้าสายตาเธอไม่เอนเอียงและเข้าข้างตัวเอง พ่อกำลังจะหมดแรงและหน้าที่หลังจากนี้ก็เป็นของเธอ ที่จะต้องทำตัวให้เป็นคนเข้มแข็ง เพื่อจะได้เป็นเสาหลัก เป็นที่พึ่งของคนอื่นๆ ในบ้านที่ล้มไม่เป็นท่าต่อไป หญิงสาวพยายามฉีกยิ้มหวานๆ แม้จะยากเย็นเพียงใด เพื่อส่งเป็นกำลังใจให้บิดา “ไม่เป็นไรค่ะพ่อ เดี๋ยวอะไรๆ ก็จะดีขึ้น” ทาบมือบนมือแกร่ง บีบกระชับเบาๆ “น้าปรียากับพี่มุกอยู่ที่โรงพยาบาลใช่ไหมคะ เดี๋ยวนิลเอากระเป๋าไปไว้ที่ห้องพี่มุกก่อน แล้วเราไปดู...น้องด้วยกัน นะคะพ่อ” คิดว่าคืนนี้ ถึงให้สองคนนั้นกลับมานอนบ้านไม่ได้ แต่ก็น่าจะบังคับให้พักผ่อนได้บ้าง “เปล่าลูก น้าปรียาอยู่โรงพยาบาลจริง แต่มุก...เอ่อ...” พูดไม่ออก ไม่รู้ว่าลูกสาวคนโตหายไปไหน ตอนแรกมุกลดาขอตัวบอกว่าจะกลับมาอาบน้ำแต่งตัวและทำอาหารที่ปุริมชอบ เผื่อน้องตื่นขึ้นมาจะได้กิน ซึ่งเขาก็รู้ดีว่ามุกลดาปลอบใจตัวเอง ปลอบเขาและเมียไปอย่างนั้นเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้เป็นลูกที่ควรจะถึงโรงพยาบาลกลับยังไปไม่ถึง จนเขาร้อนใจกลัวจะเกิดเหตุภัยร้ายซ้ำอีกถึงได้รีบมาดู “เกิดอะไรขึ้นกับพี่มุกค่ะพ่อ” หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอีกนะ ไม่งั้นเธอคงเป็นลมล้มพับตรงนี้แหละ แค่นี้ก็จะรับไม่ไหวแล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD