บทที่ 5 ตอนที่ 1

1369 Words
พอตื่นขึ้นมา...หนูน้อยก็ต้องไห้งอแงตลอดเวลา เพราะยังตกใจ และปวดเมื่อยตามร่างกายจากผลของอุบัติเหตุ โชคดีมากที่เป็นเพียงบาดแผลภายนอกเท่านั้น อวัยวะอื่นๆ ที่สำคัญไม่ได้รับความกระทบกระเทือนใดๆ “แกดูติดคุณแม่มากเลยนะคะ” พญาบาลที่คอยดูแลกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ในขณะที่กำลังเก็บอุปกรณ์วัดความดัน และเดินกลับไปจดรายงานที่โต๊ะดังเดิม เภตรานั่งอยู่บนเตียง โดยมีลูกสาวนอนสะอึกสะอื้นอยู่บนตัก สองมือของแม่คอยลูบปลอบโยน พลางฮัมเพลงเป็นจังหวะนุ่มนวล หวังขับกล่อมให้ลูกน้อยหลงลืมความเจ็บปวดลงได้บ้าง “เรา...มีกันแค่สองคนค่ะ ตั้งแต่ฉันรู้ว่ามีแก และตั้งแต่แกลืมตาดูโลก เราก็มีอยู่ด้วยกันแค่นี้” เธอหยุดฮัมเพลง แล้วมองพยาบาลสาวด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน ก่อนจะกวาดสายตากลับมาที่ลูกรัก พยาบาลได้มองอย่างซาบซึ้ง เพราะน้ำเสียงนั้นแม้จะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่มันก็ทำให้รู้สึกเศร้า...จนจับใจ สัมผัสได้ถึงความเหงา เหว่ว้า โดดเดี่ยว ไม่รู้ว่าสองแม่ลูกคู่นี้ผ่านอะไรกันมาบ้างนะ... “แม่ขา” เด็กน้อยที่กำลังเคลิ้มกึ่งหลับกึ่งตื่นละเมอเรียก “แม่อยู่นี่หนูมิ้น...หลับซะลูก แม่จะไม่ไปไหนทั้งนั้น” เธอเอ่ยเบาๆ แล้วก็บทเพลงแห่กล่อมก็ฮึมฮัมขึ้นอีกคราว แม้ในใจอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ มากกว่า แต่ก็ไม่เคยทำแบบนั้นได้เลยต่อหน้าลูก... ตอนนี้อมันต์ได้พบเธอกับหนูมิ้นแล้ว จะเป็นด้วยเหตุบังเอิญหรือโชคชะตาเล่นตลก แต่ในที่สุดวันนี้ก็ต้องมาถึง เวลาผ่านไปเพียงห้าปี แต่สำหรับเธอยาวนานชั่วกัลป์ แต่ละนาที และละวินาที...ต้องแลกกับลมหายใจที่ล่มสลาย แต่ก็ต้องค่อยๆ ใช้สองมือซึ่งก็บาดเจ็บสาหัส กอบโกยขึ้นมาเพื่อพยุงให้มีชีวิตอยู่ เพื่อลูก...เพื่อให้เลือดเนื้อเชื้อใขได้มีโอกาสลืมตาขึ้นมาดูโลก เธอทนได้ทุกอย่าง ทนกิน ทั้งที่ไม่อยากกิน ทนหลับทั้งที่ไม่อยากหลับ ทนหายใจ ทั้งที่...แทบจะลืมวิธีไปแล้ว ความหมดอาลัยตาย ความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาในครั้งนั้น แม้จะผ่านมันมาได้ แต่เธอยังจดจำทุกรายละเอียดความรู้สึก ไม่ว่าจะตอนที่หลับตานอน หรือลืมตาตื่น... ในขณะที่ความคิดกำลังเลื่อนลอย แรงขยับพลิกตัวของลูกก็ทำให้เธอมีสติอีกครั้ง ความอบอุ่นที่อยู่บนตัก แม้ไม่ได้เปลี่ยนท่านั่งมานานนับชั่วโมงและเหน็บชาไปหมด ก็ไม่นึกยี่หระ ไม่เป็นไรเลย เพียงแค่ได้สัมผัส เพียงแค่ได้อยู่กับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่แสนละมุน ก้อนเจ็บจุกที่อัดแน่นจนเกือบหายใจไม่ออกเมื่อครู่ก็ผ่อนคลายลง ความอิ่มเอมเริ่มเข้ามาแทนที่... แล้วก็หายใจออกมาด้วยความโล่งอก สำนึกได้ว่าตอนนี้เธอไม่ได้โดดเดี่ยวอีกแล้ว แค่เมื่อครู่ลืมตัวไปเท่านั้นเอง... “แกหลับแล้ว...คุณก็พักผ่อนบ้างเถอะนะคะ เดี๋ยวพยาบาลช่วยขยับน้องให้ค่ะ จะได้นอนข้างๆ กัน” “จุ๊ๆ” เภตราหันมองพยาบาลแล้วจุ๊ปากเบาๆ ด้วยกลัวลูกที่เพิ่งหลับสนิทจะตื่น “แต่...” “หนูมิ้นชอบนอนแบบนี้ค่ะ ยิ่งเวลาที่กลัวหรือตกใจ แกจะหลับไม่สนิทถ้าไม่ได้นอนบนตักฉัน” พูดจบก็หันกลับมาลูบปลอบโยนร่างเล็กป้อมดังเดิม “นอนกอดก็ได้นี่คะ” “ไม่ได้ค่ะ” เธอส่ายศีรษะ โดยไม่หันมองคู่สนทนา อีกฝ่ายจึงยอมละความพยายามจะเกลี้ยกล่อม ไม่บ่อยนักหรอก ที่จะเห็นใครรักลูกได้เท่านี้ แม้จะเป็นแม่คนเหมือนๆ กันก็ตาม แต่ความรัก การกระทำ การแสดงออกของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป... “ออกไปแล้วเหรอครับ...” อมันต์ถามพลางขมวดคิ้ว ในขณะที่เขามาเยี่ยมสองแม่ลูก แต่ทางโรงพยาบาลกลับแจ้งว่าพวกเธอได้กลับบ้านไปแล้ว “ใช่ค่ะ” พยาบาลฝ่ายประชาสัมพันธ์ตอบสั้นๆ “ผมเป็นคนเซ็นรับผิดชอบดูแลค่าใช้จ่ายเคสนี้นะครับ แล้วก็เป็นคู่กรณีด้วย ทำไมไม่มีใครแจ้งผมก่อน” อมันต์เสียงแข็ง เมื่อมาถึงโรงพยาบาลแล้วปรากฏว่าไม่พบสองแม่ลูกเสียแล้ว ทั้งที่เขากำชับแก่เจ้าหน้าที่นักหนาว่าต้องรายงานความเคลื่อนไหวให้เขารู้ตลอด “คนไข้ขอจ่ายเงินที่เหลือเอง แล้วก็ขอให้ทางเราเก็บข้อมูลบางส่วนไว้เป็นความลับค่ะ รวมถึงไม่อยากให้ติดต่อใครด้วยค่ะ” “ได้ยังไง...แล้วผลการซีทีแสกนของเด็กล่ะ” “เป็นปกติค่ะ นี่เป็นรายงานการรักษาที่ทางเราสามารถให้คู่กรณีของคนไข้ดูได้ คุณหมอฝากไว้ให้คุณค่ะ ถ้ามีข้อสงสัยท่านก็ฝากบอกให้โทร.หาโดยตรงได้เลย เอ่อ...เบอร์โทรศัพท์อยู่ตรงนี้นะคะ” พนักงานหน้าเคาท์ เตอร์หยิบแฟ้มเอกสารส่งให้เขา “แล้วเบอร์ติดต่อคนไข้ล่ะครับ” เขารับแฟ้มมาแล้วไล่อ่านคร่าวๆ ก็พบว่าไม่พบประวัติส่วนตัวของทั้งสองคนเลย มีเพียงชื่อนามสกุลเท่านั้น “เภตรา ฤกษ์ฤทธิ์ บุษบามินตรา ฤกษ์ฤทธิ์...นามสกุลของสองคนนี้คุ้นๆ นะคะ” สุคนธรสที่ตามมาด้วยดึงแฟ้มไปจากมือเขา อ่าน และเอ่ยขึ้นพลางมองหน้าสามี “แล้วผมจะติดต่อพวกเขาได้ทางไหนบ้างครับ” แต่อมันต์กลับยังคงสนทนาอยู่กับพยาบาลอย่างจริงจัง ไม่ได้สนใจหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยซ้ำ “เอ่อ...ทางเราต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ เพราะคนไข้ขอให้เก็บข้อมูลเป็นความลับ แต่ถ้าเป็นคดีความขึ้นมา คุณสามารถให้ทนายยื่นเรื่องขอเอกสารกับทางโรงพยาบาล เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อคนไข้ในชั้นศาลได้ค่ะ” “ครับ...” อมันต์ได้แต่ถอนหายใจ คงต้องหาหนทางอื่นในการติดต่อทั้งคู่ เพราะอุบัติเหตุครั้งนี้ผู้เสียหายไม่ได้แจ้งความ ทางโรงพยาบาลก็ให้ข้อมูลไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆ ก็ได้รู้แล้วว่า พวกเธอ...ยังมีตัวตนอยู่ “เป็นอะไรหรือเปล่า” สุคนธรสเอ่ยถาม เมื่อเห็นท่าทีวิตกเกินควรของสามี เธอรู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องบ้าๆ นี่เหลือเกินแล้ว “ไม่นี่ เราไปกันเถอะ” อมันต์หยิบแฟ้มเอกสารจากมือหญิงสาว แล้วส่งคืนให้กับเจ้าหน้าที่ตรงเคาน์เตอร์ เขาพยายามเก็บอาการเมื่อรู้ว่ากำลังถูกมองอย่างจับผิดจากภรรยา “ค่ะ...” ไม่รู้สินะว่าทำไมเธอจะต้องไม่สบอารมณ์กับท่าทีของอมันต์เอาเสียเลย มันบ่งบอกว่าเขาให้ความพิเศษกับสองแม่ลูกนั้นอย่างผิดปกติ มันมากกว่าความเป็นห่วงระหว่างคนขับรถชน กับผู้บาดเจ็บ ฝ่ายโน้นที่ควรเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเอง ก็กลับไม่เอาเรื่อง ไม่ยอมให้ติดต่อ แถมยังยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่เหลือเองอีกต่างหาก มันควรเป็นเรื่องปกติทั่วไปจริงๆ เหรอ? หรือไม่บางที...เธออาจหมกมุ่นเกินไป เพราะทริปฮันนีมูนไม่ราบรื่นสวยงามอย่างที่หวัง ก็เลยทำให้คิดมากไปเอง จริงๆ แล้วมันไม่ได้มีอะไรหรอก... ใช่ไหม? ระหว่างที่นั่งรถเพื่อจะไปไหว้พระที่วัดด้วยกัน ความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งคู่ ต่างคนต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง จนหญิงสาวรู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์แบบนี้ เธอไม่อยากคิดฟุ้งซ่าน แต่การกระทำของเขามันชี้ชวนให้อดสงสัยไม่ได้ ว่านอกเหนือจากรู้สึกผิดที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุกับเด็ก มันมีอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า “คุณ...รู้จักสองคนแม่ลูกนั่นมาก่อนไหมคะ” ในที่สุดก็ตัดสินใจถาม “ทำไมเหรอ...จู่ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก” “แค่อยากรู้” “เลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้วเคท นี่ไง...ถึงวัดแล้ว” เขาเลี้ยวรถเข้าไปในเขตพุทธสถานอันโอ่อ่า เต็มไปด้วยปติมากรรมอันวิจิตร มองดูแล้วเจริญตาเจริญใจ เมื่อหาที่จอดรถได้แล้ว ทั้งคู่ก็พากันไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD