5

2380 Words
เปิดศึกชิงสามี เรือนการแพทย์ (โรงตรวจคนไข้) ด้านทิศตะวันออกของเรือนซ่ง ภายในพื้นที่กว้างขวาง ซ่งเฟิงหัวได้ตั้งโรงหมอขึ้น แรกเริ่มแค่ตรวจโรคทั่วไป และขายยาง่ายๆ ทว่าภายหลังมีคนป่วยมาไม่คาด เขาจึงสร้างโรงเรือนขึ้น ให้การรักษาทั้งคนมีเงิน คนยากไร้ รวมถึงสัตว์ต่างๆ ที่เจ้าของเลี้ยงไว้ เช่นนี้ซ่งเฟิงหัวจึงเป็นหมอเทวดาของคนยาก นอกจากตรวจโรค ยังมีการสอนวิชาต่างๆ ด้วย เนื่องจากกองทัพต้องการความรู้ในเรื่องการรักษาบาดแผล รวมถึงการดูแลผู้ป่วย จากโรคภัยต่างๆ ชื่อเสียงเขาโด่งดังจนใครๆ ต่างยกย่อง และอย่างที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้า ฝ่ายสำนักแพทย์ ได้ตั้งตนเป็นอริเขา ทว่าซ่งเฟิงหัวมีเพื่อนสนิทเป็นถึงแม่ทัพ และยังมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนที่เคยได้รับการรักษาจากเขา ดังนั้นแม้สำนักแพทย์อยากหาเรื่องคนผู้นี้ แต่ก็ยังไม่อาจทำสิ่งใดได้ถนัดนัก ในขณะที่ซ่งเฟิงหัว ดูแลเด็กชายผู้หนึ่งที่ตัวร้อน และการหายใจไม่เป็นปกติ เสียงสตรีสองคนก็ดังอย่างต่อเนื่อง พวกนางกล่าวถึงเขา ฟังแล้วคงพยายามให้ซ่งเฟิงหัวเสียสมาธิ และออกไปเจรจาด้วย “ท่านหมอ... ดูเหมือนแม่นางพวกนั้น จะถูกฮูหยินผู้เฒ่าเรียกตัวกลับมาก่อความวุ่นวายนะขอรับ” คนที่ส่งเสียงร้อนใจคือ เติ้งซี ซึ่งได้ช่วยงานที่โรงหมอแห่งนี้มาเกือบห้าปี คล่องแคล่วทุกอย่าง อีกทั้งเรียนรู้การทำแผลงง่ายๆ แม้แต่ต้มยา หรือตรวจโรคพื้นฐานก็ทำได้ จึงเรียกว่าเป็นมือขวาของซ่งเฟิงหัว “ข้ากำลังดูแล คนไข้... อย่าให้พวกนางเข้ามารบกวน” ชายหนุ่มย่อมรู้เท่าทันแผนของมารดา ทว่าไม่ได้คิดห้ามปราม ด้วยอย่างไรเขาก็รับมือได้เสมอมา “แต่ดูเหมือนครั้งนี้ เล่นใหญ่จัดหนักมากนะขอรับ ทำร้ายกันรุนแรงเชียว และอ้างว่า หมอหัวทำบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องกับพวกนาง!” เติ้งซี กลัวการตบตีของสตรีอย่างที่สุด และหลายหน เมื่อพวกนางไม่ได้รับความสนใจจากซ่งเฟิงหัว ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเขาที่ถูกสายตาพวกนางแทะโลม บางทีก็มือไว หยิกแก้ม และมีบางคนแอบจับบั้นท้ายเขาด้วย เรื่องนี้คือสิ่งที่เติ้งซี ตระหนักได้ว่า เขาช่างเป็นบุรุษที่แพ้ภัยต่อหญิงสาวพวกนี้จริงๆ “ออกไปดูให้ข้า และตามคนอื่นมาช่วยงานข้างใน” ซ่งเฟิงหัวบอกเสียงเข้ม จากนั้น เติ้งซีจึงรวบรวมความกล้า เพื่อไปรับมือกับเสียงดังด้านนอกโรงตรวจโรค สตรีสองนางนั้นคือ หลิวอีอี กับ จู้เหอ พวกนางมาส่งเสียงล้งเล้งที่นี่ได้อย่างไร ทั้งที่ก่อนหน้านั้นถูกเสวียนจิ้งขับไล่ และประกาศว่าห้ามพวกนางมาเหยียบเรือนซ่ง ทว่าหลังจากนางสิงห์เฒ่ากลืนน้ำลายตนเอง ไห่หลงก็รีบไปแจ้งข่าว เพื่อเปิดทางให้สตรีทั้งสองมาก่อเรื่องที่โรงตรวจโรคได้อย่างครึกครื้น! หลิวอีอีเป็นสตรีจอมพลัง ปีนี้อายุได้สิบเก้าแล้ว ใบหน้าจืดชืด ไร้เสน่ห์อยู่สักหน่อย กระนั้นนางก็มีฐานะดี ที่บ้านเปิดเขียงหมู ทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก ร่างกายจึงทรงพลังมิต่างจากบุรุษ ส่วนอีกคนที่ลงมือตบหน้าหลิวอีอี นางคือจู้เหออายุเกือบยี่สิบหกปี เรียกว่าเกินวัยออกเรือนไปหลายปี นางเป็นสตรีร่างผอมสูง หากกล่าวว่าไม่งามก็ดูใจร้ายเกินไป เอาเป็นว่านางเป็นคนที่มีบุคลิกที่เกินพอดี ชอบยิ้ม หัวเราะเสียงดัง ที่สำคัญหลายหน นางมักมือไวแอบหยิบของใช้ หรือเสื้อผ้าของซ่งเฟิงหัวกลับเรือนตน จู้เหอชอบดมกลิ่นบุรุษ และหากกลิ่นนั้นเป็นของซ่งเฟิงหัว ก็ทำให้นางเคลิ้มหลับฝันดี “ตบข้าอีก!” หลิวอีอีออกคำสั่งจู้เหอ “มือข้าเล็กเท่านี้ ส่วนหน้าเจ้าก็หนาเหลือเกิน คิดอย่างไร ถึงอยากเป็นคนที่ถูกรังแก แล้วสลบให้หมอหัวมารักษา อีกอย่างใครกันจะอุ้มเจ้าเข้าไปเรือนตรวจโรคได้ ตัวใหญ่เสียยิ่งกว่าสุกร” หลิวอีอีหน้าแดงระเรือขึ้นทันที และตอบด้วยเสียงถูกกดให้ต่ำว่า “ที่เราตกลงเช่นนี้ เพราะจู้เจี่ยปัญญาทึบ ทำสิ่งใดก็น่ารำคาญไปหมด ฉะนั้นคนที่หมอหัวสมควรรักษาอย่างแนบชิด ย่อมต้องเป็นข้า และอย่างไรเขาก็มีกำลังอุ้มหลิวอีอี ผู้นี้แนบอกแกร่งๆ ได้ แน่นอน” ได้ยินอย่างนั้น จู้เหอที่ดูเหมือนคนฉลาดน้อยตามที่อีกฝ่ายว่า ก็เริ่มปะติดปะต่อหลายสิ่งได้ หากนางปล่อยให้หลิวอีอีแกล้งสลบ ก็หมายความว่าซ่งเฟิงหัวจะให้การรักษาแก่อีกฝ่าย เช่นนี้นางควรเป็นผู้ป่วยย่อมเหมาะสมกว่า “โอ๊ย ข้าหายใจไม่ออก หน้ามืด โอ๊ย... หมอหัว... ภรรยาท่านสลบแล้วไฉนจะใจร้าย ไม่ออกมาดูเล่า” หลิวอีอีได้เห็นการแสดงงิ้วของจู้เหอเช่นนั้น จึงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากจับร่างบอบบางทุ่มลงพื้นเสียจริง แต่ทว่าไม่ทันทำสิ่งใด จู้เหอก็สลบลงไปนอนบนพื้น และนางเล่นได้สมบทบาทอย่างหน้าหมั่นไส้ ยามนั้นเติ้งซีออกมา เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี และเขาเตรียมถอยกลับเข้าไปด้านใน ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด หลิวอีอีกับโพนทะยานร่างอวบหนาของนางมาเกาะขาเขาหมับ “ผู้ช่วยเติ้ง... บอกสามีข้าที ขะ ข้าหายใจไม่ออก อ๊ะ... อ๊ะ... ภรรยาจอมแก่นของหมอหัว กำลังจะตายแล้ว” “อ๊ะ แม่นางหลิว ไปได้เสียกับหมอหัว ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “โอ๊ย ขาเตียงข้าหักไปตั้งสองหลัง เรื่องแบบนี้หากฝ่ายชายไม่พูด ข้าจะกล้าแอบอ้างหรือ แต่วันนี้จู้เจี่ยสมองทึบ พูดจาเหลวไหล ตัวข้าจึงต้องอาศัยความกล้า เปิดปากบอกทุกคน” หลิวอีอีว่าและกอดขาของเติ้งซีแน่นกว่าเดิม แวบหนึ่งนางแอบอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ชายผู้นี้อายุน้อยยัง แม้ไม่ได้หล่อเหลาดั่งเทพบุตรปั้น แต่ก็ใสซื่อทั้งยังบริสุทธิ์อยู่ ถูกสตรีแตะเนื้อตัวหน่อย บางสิ่งก็เคลื่อนไหวในร่มผ้าให้เห็นอย่างชัดเจน ยามนั้นนางจึงคิดเสียว่า ยังไม่ทันได้แนบชิดกับซ่งเฟิงหัว แต่ได้เย้าหยอกและกอดรัดเติ้งซีสักหน่อย นางก็ชุ่มชื่นหัวใจอย่างที่สุด ดังนั้นหลิวอีอีจึงเอื้อมมือสูงขึ้นอีกนิด กระทั่งแตะต้นขาเติ้งซีอย่างจงใจ กล้ามขาแน่นๆ และสู้มือนี้ ช่างทำให้หัวใจนางเต้นไหวรุนแรง “แม่นางหลิว... ทะ ท่านทำสิ่งใด” หลิวอีอี กลัวจะมีพิรุธให้ผู้อื่นจับได้ นางจึงร้องว่า “หายใจไม่ออก ข้าเป็นลมแล้ว... หมอหัว รีบมาดูใจภรรยาของท่านเถิด!” ภายในห้องครัวเรือนซ่ง หรันอันเจียวทอดมันฝรั่งที่ชุบแป้งเรียบร้อยแล้ว และกลิ่นหอมเตะจมูกทุกคน นอกจากนางโรยเกลือบางๆ คลุกเคล้าผิวของมันฝรั่ง ยังทำน้ำจิ้มมะเขือเทศรสชาติอมหวานอมเปรี้ยวด้วย การทำอาหารของนางคล่องแคล่ว และเหมือนว่ามันได้ดึงตัวตนที่แท้จริงของหญิงสาวออกมา ยามนี้สองโลกเชื่อมต่อกันแล้ว และผู้มาใช้ร่างนี้เริ่มเข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้น นอกจากนั้น นางยังรับรู้ได้ว่า การเดินทางอยู่ในร่างนี้ นางมีความสามารถการทำอาหารติดตัวมาด้วย นอกจากนั้นยังรับรู้ได้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า แม้เป็นภาพที่ยังไม่แจ่มชัด แต่หรันอันเจียวเชื่ออย่างสนิทใจ ในไม่ช้านางย่อมเป็นผู้ล่วงรู้อนาคต ในยุคสมัยดังกล่าว เรียกผู้มีสัมผัสพิเศษเช่นนี้ หากไม่เป็นเจ้าลัทธิ ก็คงเป็นหมอดูเทวดาสามตา เมื่อทอดมันฝรั่งวางลงบนโต๊ะ ซ่งโม่โฉวชิมไปก็ร้องชอบใจ และตบมือเปาะแปะ ส่วนถงนึ่ง ตอนแรกเอาแต่จ้องหรันอันเจียวไม่วางตา ทว่าพอเห็นฝีมือการเข้าครัวอีกฝ่าย นางก็เหงื่อตกทันที กระนั้นด้วยอยู่ที่นี่มาก่อน และยังปรารถนาเป็นสตรีข้างกายซ่งเฟิงหัว มีหรือที่นางจะยอมให้กับสตรีที่มีราคาแค่ห้า ตำลึงเงินมาอยู่เหนือกว่าตน “ในฐานะที่ข้า เป็นคนสนิทมาก...ถึงมากที่สุดของหมอหัว และรู้จักกันมานาน อย่างไรต้องตรวจสอบทุกอย่างที่จะให้คนเรือนนี้กิน” หรันอันเจียวไม่ขัด และยังเชื้อเชิญอีกฝ่ายอย่างดี ฝ่ายถงนึ่งรู้ว่ามันฝรั่งทำอาหารได้หลากหลายอย่าง ทั้งนำไปผสมแป้งทำขนมย่าง แล้วใส่ไส้ต่างๆ กินกับน้ำจิ้มเปรี้ยวเผ็ด หรือห่อใส่หมูแล้วลวกกินเล่น กระทั่งทำเส้นบะหมี่ หากครั้งนี้สตรีไร้หัวนอนปลายเท้า กับเพียงแค่ทอดมันให้กรอบ โดยใช้การทอดสองครั้ง แล้วกินกับน้ำจิ้มเข้มข้นที่ทำจากมะเขือเทศ แล้วเหตุใดถึงมีรสชาติอร่อยจนหยุดไม่ได้เช่นนี้ และนางกินหมดไปสามชิ้น แต่พอจะหยิบชิ้นใหม่เข้าปากอีก ก็ยั้งมือไว้ทัน “แม่นางรุ่ย ตอบข้ามาตามตรง... เจ้าใส่พิษชนิดในลงไปในอาหารจานนี้” เมื่อถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม หลันอันเจียวจึงนิ่วหน้า ทว่าไม่ได้คิดโต้ตอบด้วยความรุนแรง “ข้าเพียงแค่ทอดมันสองครั้งให้กรอบ และดึงรสชาติที่แท้จริงของมันฝรั่งออกมา หาได้ทำสิ่งอันตรายต่อสุขภาพผู้อื่น” “ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่อยากเชื่อ อาหารพื้นๆ เพียงเท่านี้ กลับทำให้กินไม่หยุด เอ... หรือเจ้ามีไสย์เวทย์ ของพวกนอกด่าน” หรันอันเจียวยิ้มเย็นให้อีกฝ่าย และคนที่เอ่ยแทรกก็คือซ่งโม่โฉว “ป้านึ่งคงหิว... ท่านพ่อบอกเวลาหิว คนเรากินอะไรก็อร่อยทุกอย่าง ลองเลียนิ้วดูสิ มันอาจอร่อยมากๆ ก็ได้” ถงนึ่งเกือบเอื้อมมือไปหยิกพุงยื่นๆ เด็กชายแล้ว แต่ดีที่เตือนสติตนได้ทัน และในตอนนั้นเสียงของซ่งซินหยานก็ก้าวเข้ามาในครัว “ไปเร็ว... ทุกคนไปช่วยห้ามศึกที่เรือนตรวจคนไข้กัน แม่นางจู้กับแม่นางหลิว ตบตีกันใหญ่ ตอนนี้ทั้งคู่ต่างสลบไม่ได้สติ!” เมื่อเด็กหญิงว่าอย่างนั้น ถงนึ่งเลยฉุนเฉียวขึ้นทันที นางไม่ควรเสนอตัวมาที่ครัวแห่งนี้เลย เลยพลาดโอกาสได้ทำตัวอ่อนแอให้ซ่งเฟิงหัวรักษา “เสี่ยวหยาน แล้วใครเป็นคนก่อเรื่องก่อน” ถงนึ่งถามเด็กหญิง “เท่าที่ข้ารู้ แม่นางจู้ บอกว่า... ท่านพ่อลืมเอ่อ... สายคาดเอวไว้ที่เรือนของนาง แต่แม่นางหลิว บอกว่าฝ่ายนั้นโกหก และอ้างว่า ท่านพ่อเป็นฝ่ายนัดนางให้มาหาคืนนี้ เพื่อคุยเรื่องสำคัญแบบสองต่อสอง ในเรือนรับรองด้านนอก” หรันอันเจียวได้ยินเรื่องดังกล่าว ก็อดอมยิ้มไม่ได้ นางรู้ว่าซ่งเฟิงหัวเป็นบุรุษรูปงาม ทั้งยังมีเมตตา แม้ยามนี้ไม่ใช่ขุนนางใหญ่ มีเงินทองมหาศาล แต่เพียงเท่านี้ เขาก็ดีกว่าใครหลายคนในเมืองฉิน ฝ่ายถงนึ่งหันขวับมามองหรันอันเจียว และนางก็ประหลาดใจมาก “แม่นางรุ่ย... ไม่ได้ยินหรือว่า มีสตรีสองคนตบตีกันแย่งหมอหัว” “ได้ยิน และจะให้ข้าทำเช่นไร” “โอ้ ชะตาเจ้าจะขาดอยู่แล้ว หากหมอหัว เลือกพวกนางสักคนเป็นภรรยา เจ้ายังจะอยู่เรือนหลังนี้ได้หรือ สมควรต้องหึงหวง หรือแสดงตัวให้ผู้อื่นรู้ว่า หมอหัวพาเจ้ากลับเรือนมา เพื่อการใด” ถงนึ่งร้อนอกร้อนใจแทนหรันอันเจียว แต่ฝ่ายนางก็ยังนิ่งเฉย และตั้งใจจะเตรียมอาหารสำหรับคืนนี้ต่อ “เอ๊ะ เจ้าหูหนวกหรือ ไปซี... ไปแย่งชิงหมอหัวจากพวกนางสองคนกับข้า” ในห้วงเวลานั้น หรันอันเจียวมองหน้าถงนึ่งนิ่งๆ ก่อนสบสายตาอีกฝ่าย และทุกอย่างที่เป็นปมในใจของถงนึ่งก็เหมือนจะฉายภาพให้เห็นในหัว ฝ่ายถงนึ่งที่นิ่งค้างไปชั่วขณะ นางเกือบหลุดเสียงกรี๊ดออกมา สตรีผู้นี้ ใบหน้าก็พอใช้ได้อยู่หรอก ทว่าเมื่อครู่ดวงตาคู่นั้นทอแสงประหลาด มันคล้ายห้วงเหวลึก อีกทั้งรอยแผลที่ถูกกรีดให้เป็นลักยิ้มก็ขับให้นางอัปลักษณ์เหลือเกิน สตรีนางนี้มาอยู่ในเรือนซ่ง มองอย่างไรก็เหมือนตัวอัปมงคล และหรันอันเจียวก็คล้ายจะเข้าใจการกระทำของถงนึ่ง นางจึงไม่ถือโทษ หรือนึกตำหนิอีกฝ่ายสักนิด “เจ้าต้องออกไปที่โรงตรวจคนไข้เดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าเตือนไว้ก่อน หมอหัวต้องถูกหลิวอีอี หรือไม่ก็จู้เหอ ปล้ำแน่นอน” คราวนี้หรันอันเจียวใช้สายตาดุถงนึ่ง นางพูดจาไม่ระวังปากจริงๆ ด้วยที่นี่มีเด็กอยู่ถึงสองคน “เจ้าต้องการให้ข้าไปด้วยจริงๆ หรือ ข้าก็นึกว่า แม่นางถง มากับพวกนางเสียอีก” ถงนึ่งอึ้งในยามนั้น ก่อนส่งเสียงหัวเราะแหลมสูงกลบเกลื่อนความละอาย ที่ถูกหรันอันเจียวจับได้ “ไม่รู้ละ อย่างไรแม่นางรุ่ยก็ต้องไปกับข้า และบอกไว้ตรงนี้ หากช่วยให้สตรีแซ่ถง เป็นฮูหยินของหมอหัวได้ ข้าก็จะยอมให้เจ้าเป็นสตรีข้างห้องหอเขา” เด็กชายฟังผู้ใหญ่คุยกัน และเขาไม่รู้เรื่องอะไรมาก ได้ยินแต่ว่า ป้านึ่งจะเป็นฮูหยิน ซึ่งเรื่องนี้เขาไม่ชอบใจสักเท่าใด “ไม่นะ ข้ามีแม่รุ่ยแล้ว ไม่เอาป้านึ่ง... นะขอรับ” เมื่อร้องขึ้นอย่างนั้นจบ เขาก็พาร่างเจ้าเนื้อของตนวิ่งนำหน้าทุกคนออกจากห้องครัว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD