6

1330 Words
เมื่อหรันอันเจียวไปอยู่ที่หน้าเรือนตรวจคนไข้ นางรับรู้ว่า ความวุ่นวายก่อนหน้านี้ สงบลงเมื่อซ่งเฟิงหัวสั่งหมอทหารที่มาเรียนรู้การรักษาและวินิจฉัยโรค เข้าช่วยเหลือหลิวอีอีกับจู้เหอ ทว่าแทนที่สตรีสองนางจะแกล้งสลบต่อไป กลับรีบฟื้น เพราะไม่ใช่แค่หมอทหารสองคน หากยังมีทหารอีกหลายนายยืนห่างออกไป พวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับเรียนรู้ปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์ บ้างก็จดบันทึก บ้างเขียนคำถามที่สงสัย ทุกคนให้ความสนใจเรื่องตรงหน้าอย่างแท้จริง หลิวอีอี แม้เป็นหญิงสาวที่พึงใจต่อบุรุษเพศ ทว่าเมื่อถูกสายตาชายหนุ่มมองรอบทิศ นางจึงแทบจะร้องไห้ ส่วนจู้เหอใช้แผนสูงกว่า นางแกล้งสะอึก และพูดจาไม่รู้เรื่องชั่วคราว อีกทั้งไม่ใช่คนงาม ผู้อื่นเลยมองผ่านนาง ซ่งโม่โฉววิ่งนำหน้ามาถึงใคร แล้วเข้าไปเขย่าแขนบิดา “ท่านพ่อ ตกลงมีผู้ใดจะมาเป็นแม่ของโฉวเกออีกไหมขอรับ โฉวเกอ... ไม่มีเงินซื้อพวกนางแล้วนะ” เด็กชายถาม ยามนั้นซ่งเฟิงหัวเลื่อนสายตา ไปมองหรันอันเจียว เขามองเนิ่นนาน และกำลังครุ่นคิดบางอย่าง “ทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของตนเถิด พอตะวันตกดิน เราก็จะได้กินข้าวเย็นกัน” ชายหนุ่มเอ่ยเช่นนั้น และเขาเชื่อว่า หรันอันเจียวจะแสดงฝีมือในการปรุงอาหารได้ดี “เย้ๆ โฉวเกอจะกินให้พุงกางเลย...” น้องชายเอ่ยแล้ว คนเป็นพี่สาวก็หน้าบึ้งตามแบบฉบับของนาง “ข้าจะอดข้าวเย็นนี้ ดูแล้วคงไม่มีของถูกปาก” เมื่อเด็กหญิงเอ่ยอย่างนั้น ซ่งเฟิงหัวไม่ได้กล่าวอันใด และทหารซึ่งอยู่ในเรือนตรวจโรค แม่ทัพปู้หรือปู้เกิงเล่อ ซึ่งเพิ่งส่งมาเรียนรู้การรักษาโรคที่นี่ ทั้งหมดเดินทางมาถึงในช่วงที่สตรีสองนางแกล้งสลบพอดี “อารุ่ย ทหารพวกนี้ มีของกินมื้อค่ำแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง แต่ครั้งต่อไป พวกเขาอาจต้องฝากท้องที่นี่ คงลำบากเจ้ามิน้อย” หรันอันเจียวเป็นคนชอบทำอาหาร เลยรู้สึกตื่นเต้น ยิ่งเห็นบุรุษที่รับใช้ชาติบ้านเมือง เป็นผู้ชายตัวโตๆ การปรุงอาหารของนาง คงต้องเพิ่มปริมาณและเนื้อสัตว์ให้มากสักหน่อย “ข้าย่อมทำได้ เพียงแต่เครื่องปรุง และของใช้อาจต้องมีการซื้อเพิ่ม มิเช่นนั้น ข้าคงทำอาหารล่าช้าเป็นแน่” “อย่ากังวล ข้าจะพาเจ้าไปเลือกที่ตลาดในเมืองด้วยตนเอง” สิ่งที่ซ่งเฟิงหัวกล่าว ทำให้สายตาหลายสิบคู่ที่อยู่บริเวณนั้น มองชายหนุ่ม สลับหญิงสาวกันไปมา กระทั่งมีเสียงดังจากถงนึ่งถามขึ้น “หมอหัว อันที่จริง หากท่านถามข้าสักนิด ว่ามีค่าตัวเท่าใด ข้าคงบอกว่า แค่สองตำลึงเงิน...ก็ซื้อข้ามาเฝ้าเรือน และดูแลทุกอย่างที่นี่ไปชั่วชีวิต” ถงนึ่งว่าอย่างกระเง้ากระงอด นางพบซ่งเฟิงหัวก่อนใคร ไปมาหาสู่ที่นี่ราวกับบ้านหลังที่สอง หลายสิ่งที่เขาตามหา ทั้งสมุนไพร หรือสินค้าที่ใช้ในการรักษาโรคประหลาดๆ ก็เป็นนางที่ติดต่อ เป็นคนกลางให้ ยามนี้ความน้อยใจจึงท่วมท้น นางวาดหวังอยากเป็นฮูหยินของหมอหัว เรื่องนี้ผิดด้วยหรือ ส่วนหลิวอีอี ได้ยินถงนึ่งเสนอตัวอย่างน่าเกลียด นางเลยตะโกนเสียงดัง “หมอหัวสำหรับข้า ท่านไม่ต้องเสียเงินสักอีแปะ แถมเรือนซ่งจะได้กินเนื้อหมูไปตลอดชาติ ขอเพียงให้ข้ามาเป็นสตรีข้างกายท่าน” จู้เหอยืนงงเลยทีเดียว ทุกคนเสนอตัวกันชิงตัดหน้านางไปหมด ทว่าอย่างไรนางก็เป็นคนที่เสวียนจิ้ง เรียกหาบ่อยๆ นางสิงห์เฒ่าคงอยากได้นางเป็นลูกสะใภ้อย่างมิต้องสงสัย อีกทั้งยังให้ไห่หลิงนำสายคาดเอวชายหนุ่มไปให้ เพื่อสร้างแผนหลอกลวงว่า เขาได้ไปพักที่เรือนของจู้เหอ ทว่าแผนนี้กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่จู้เหอหาใช่คนปัญญา เมื่อนางต้องการเป็นเมียของซ่งเฟิงหัว จึงทุ่มสุดตัว “ส่วนข้า นอกจากหมอหัวไม่ต้องจ่ายเงิน ข้าจะเป็นผู้ยกสินสอดมาให้ท่านด้วย ทั้งที่ดิน และทองที่สกุลจู้มีมากมาย” สุดท้ายเรื่องราวชวนปวดหัว ยุติลงได้ก็เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง ยอมก้าวออกจากเรือนนาง และส่งเสียงคำรามว่า “สุนัขที่ไหนมาเห่าในเรือนข้า ไป... ไปเสียก่อนจะถูกสาดน้ำร้อนใส่!” เมื่อเสวียนจิ้งโวยวายเช่นนั้น สตรีทั้งสามต่างหันไปจ้องนาง และเตรียมเปิดปากต่อว่าคนแก่สักหน่อย แต่เสวียนจิ้งมีหรือจะยอมเสียหน้า “เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที ยามนี้ข้ายังไม่รับสตรีนางใดเป็นสะใภ้สามสกุลซ่งแน่นอน พวกเจ้าไว้ใจยายเฒ่าผู้นี้ได้” ซ่งเฟิงหัวหัวเราะน้อยๆ และโบกมือให้ทุกคนแยกย้ายจากลานโลนหน้าเรือนตรวจคนไข้ และในขณะที่หรันอันเจียว หมุนตัวเตรียมกลับเข้าไปทำอาหาร นางรู้สึกสังหรณ์ใจในแง่ร้าย นั่นคงเป็นเพราะละม้ายมีใครบางคนในกลุ่มของทหารหนุ่มพวกนั้นมองนางอยู่ สายตาดังกล่าวไม่ถึงกับจดจ้องให้นางต้องขวัญผวา หากเป็นสายตาที่เหมือนคนคุ้นเคย เมื่อหรันอันเจียวมองกลับไป นางไม่พบความผิดปกติใดๆ อีก ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ก็เตือนให้นางระแวดระวังภัยกว่าเดิม หญิงสาวรู้ดีว่า ความทรงจำบางส่วนของเจ้าของร่างเลือนหายไป ส่วนนางผู้มาอยู่ที่นี่ รับรู้ถึงภาพในอนาคตเป็นระยะๆ สิ่งนี้ คงพอที่จะช่วยให้รอดพ้นจากอันตรายได้ เขาเป็นใคร... ขนที่หลังต้นคอนางลุกซู่ๆ หัวใจก็เต้นไหวแรง ส่วนมือทั้งสองข้างเย็นเฉียบทีเดียว ในหมู่นักศึกษาทหารแพทย์ มีคนที่รู้จักหรันอันเจียว ยามนี้ไม่อาจคาดเดาได้ว่า เขาประสงค์ร้าย หรือดีกันแน่ ฝ่ายหญิงสาวก็พยายามควบคุมตนไม่ให้ตื่นตระหนกเกินไป ทว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสักนิด หลังรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นเวลายามปลายามห้าย* (ยามห้าย (*:hài) คือ 21.00 – 22.59 น) หรันอันเจียวเพลียอยู่มาก และนางปวดขา เมื่อยตัว และมีสิ่งกังวลใจเรื่องคนที่อยู่ในกลุ่มทหารที่มาเรียนรู้เรื่องการแพทย์ ทว่านางไม่อาจกระโตกกระตาก ถามผู้ใดได้ สิ่งที่เป็นอยู่คือแค่ระวังตัวเอาไว้และหลังจากจัดการทุกอย่างในครัวเรียบร้อย นางไปส่งซ่งโม่โฉวนอนเด็กชายปากหวานมาก ถามนางหลายสิ่ง พร้อมกับขอให้หอม ให้กอด และบอกรักกัน “โฉวเกอมีแม่แล้ว ดีใจจังขอรับ... เมื่อใดที่ไปสำนักศึกษา โฉวเกอจะคุยโวอวดคนอื่น แม่รุ่ยสวย แม่รุ่ยทำอาหารเก่ง และแม่รุ่ยยังไม่แก่ด้วย” หรันอันเจียวยิ้มด้วยความสุขอย่างที่สุด แต่กแอบเสียดายมิน้อย ใบหน้านี้ที่แก้มข้างซ้ายมีร่องลอยแสนอัปลักษณ์ ทว่าสำหรับซ่งโม่โฉวเขากับมองข้ามมันไป ช่างเป็นเด็กที่บริสุทธิ์ และแสนดีที่หนึ่ง “แม่...ดีใจที่ได้อยู่กับโฉวเกอนะ”หญิงสาวบอกเขาด้วยน้ำเสียงตื้นตันใจ และการแทนตัวเองด้วยคำว่า ‘แม่’ นี้ ก็ทำให้นางยิ่งผูกพันกับคนตัวอวบ แสนน่าฟัด “โฉวเกอก็ดีใจ ที่มีแม่เป็นฮูหยินห้าตำลึงของท่านพ่อ!” เขาเอ่ยจบก็อ้าปากหาว และไม่ทันให้นางได้ซักถามสิ่งใดอีก เด็กชายก็หลับตา แล้วแสร้งหลับอย่างน่ามันเขี้ยว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD