บิดา

2111 Words
"ท่านพ่อ เมื่อใดท่านจะพาข้าไปที่นั่นสักทีล่ะ" "เจ้าพูดขึ้นมาอีกที หากมารดาเจ้ารู้เข้าเจ้าไม่ได้ไปกับพ่อแน่" "ก็ได้ ข้าไม่พูดก็ได้ขอรับ" โธ่ ก็เขาอยากจะรู้นี่นาว่าคนผู้นั้นจะเป็นคนแบบไหนอิงเล่ยคิด ทั้งยังมีความหวังว่าจะได้เจอบิดาแท้ ๆ ของตัวเองในเร็ววัน "กลับกันเถอะ อาเอินคงอยากได้เจ้าขนปุยนี้ไว้ดูแลเต็มทนแล้ว" "แต่น้องมีสัตว์เลี้ยงตั้งหลายตัวแล้วนะขอรับ" "ความสุขของน้องอย่าได้ไปขัดและสตรีในบ้านก็ด้วยขัดไม่ได้" คิดถึงสตรีที่บ้านทีไรมั่วชงก็อดยิ้มไม่ได้ หลังจากที่เขาเทียวไปเทียวมาอยู่สองสามปี นี่ก็ปีกว่าเข้าไปแล้วที่เขาได้แต่งงานกับสตรีที่รักอย่างจริงใจจนไม่อยากจะเดินทางไปคุ้มกันให้ใครอีกนอกจากลูกเมียและคนในครอบครัวเท่านั้น และตอนนี้เขาก็ได้มาสร้างสำนักคุ้มภัยฮัวหลงที่เมืองอู่แล้ว จากนี้ไปเขาจะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวเหมือนกับคนอื่นเสียที "ฮิฮิ ขอรับ" ที่จวนของสกุลอิง... "พี่ปิน อาเล่ยไปไหนอีกแล้ว" "ขึ้นเขาไปกับบิดาโน่น พักนี้เขาอยู่บ้านนานนะทำตัวอย่างกับคนไม่มีการมีงานทำ" "คิก ๆ พี่พูดจริงหรือทำไมไม่พูดต่อหน้าเขาละเจ้าคะ? แล้วพี่จะเดินทำไมนักหนาเล่า หกล้มขึ้นมาจะว่าอย่างไรเดี๋ยวเขาก็มาหาว่าข้าดูแลท่านไม่ดี ข้าไม่อยากฟังเสียงเขาบ่นหรอกนะ" "ท่านป้าปินเดินไม่หยุดอาเอินก็เวียนหัวเจ้าค่ะ" อิงเอินที่นั่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ ก็ส่งเสริมคำพูดของมารดาอีกคน "ใช่..ข้าก็เวียนหัวไอ้ที่ว่าเดินบ่อย ๆ แล้วจะคลอดง่ายน่ะมันจะทำให้ท่านเจ็บตัวเสียก่อนน่ะสิ" "พวกเจ้าแม่ลูกช่างเหมือนกันยิ่งนัก เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เชียว" หมอปินอดแขวะสองแม่ลูกไม่ได้ที่คอยรับคอยส่งเสริมกันอยู่เสมอจนน่าหมั่นไส้ หากอาเล่ยอยู่ที่นี่นางคงมีพรรคพวกกับเขาอยู่บ้าง "กลับมาแล้วขอรับ!" "อ่ะ..พี่ใหญ่กลับมาแล้ว" อิงเอินน้อยวิ่งอย่างไวจุดประสงค์ของนางก็เพื่อจะไปรับของฝากเท่านั้น ทุกครั้งที่บิดาขึ้นเขากับพี่ใหญ่พวกเขาจะต้องมีของน่ารักมาฝากนางเสมอและคราวนี้บิดาสัญญาว่าจะมีกระต่ายขนปุยมาให้นางด้วย "ของฝากเจ้าอยู่กับพ่อ ไม่ได้อยู่กับพี่ใหญ่หรอกนะ" "ท่านพ่อ ได้กระต่ายมาให้อาเอินหรือไม่เจ้าคะ" "หึ ๆ ได้สิพ่อเอาไปไว้ในกรงให้แล้ว" "ขอบคุณเจ้าค่ะ จุ๊บ ๆ" เอินน้อยจุ๊บแก้มบิดาเป็นรางวัลไปสองทีอย่างที่เคยทำเป็นประจำเวลาได้รับของที่ถูกใจ "พี่เป็นคนวิ่งไล่จับแท้ ๆ แค่ท่านพ่อหิ้วมาก็ได้รับรางวัลแล้วหรือ" อิงเล่ยทำเสียงแง่งอนใส่น้องสาวเมื่อเห็นว่าบิดาได้รับความดีความชอบแต่เพียงผู้เดียว "ฮื้อออ จุ๊บ ๆ ๆ ๆ พอหรือไม่เจ้าคะ" พอรู้ว่าโดนงอนเข้าแล้วเอินน้อยได้ทีก็กลั่นแกล้งพี่ชายด้วยการกระโดดกอดคอและมอบ จุ๊บ ให้ไปหลายทีก่อนจะปล่อยมือแล้วมองอย่างสะใจ "พอ ๆ น้ำลายเต็มหน้าพี่หมดแล้ว" ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ สองแฝดคือสีสันคือความรักของคนบ้านนี้ตลอดห้าปีที่มีพวกเขาบ้านสกุลอิงไม่เคยขาดเสียงหัวเราะเลยสักครั้ง พวกเขาต่างก็เติมเต็มความสุขให้กันเสมอมา "ท่านพี่จะออกเดินทางเมื่อใดหรือเจ้าคะ" หมอปินถามสามี เพราะนางรู้ว่าในเร็ววันนี้เขาจะมีงานคุ้มกันขบวนใหญ่พอตัว นางอยากจะรั้งเขาเอาไว้ให้อยู่ตอนนางคลอดเหลือเกินแต่หากว่าเขาจำเป็นต้องไปจริง ๆ นางก็ไม่กล้าขัดอยู่ดี "พี่จะอยู่เลี้ยงลูกช่วยเจ้าก่อนดีหรือไม่" "ดีเจ้าค่ะ แล้วงานคุ้มกันละเจ้าคะ" "งานคุ้มกันให้ใครทำก็ได้ อีกอย่างพี่ขอคนมาเพิ่มจากเมืองหลวงแล้ว พี่สามารถอยู่เลี้ยงลูกช่วยเจ้าได้อีกหลายเดือน" ในขณะที่พวกเขากำลังชื่นมื่นตามประสาครอบครัวอยู่นั้นอิงเล่ยสายตาดีกว่าใครเมื่อมองเห็นรถม้าที่คุ้นเคยวิ่งมาแต่ไกล... "โอ๊ะท่านตามาขอรับ" ใช่แล้วแค่เห็นรถม้าที่ปักธงตราสัญลักษณ์ของสำนักคุ้มภัยฮัวหลงหนุ่มน้อยก็รู้ได้ทันที จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากท่านตาหยวนของพวกเขาเอง "ท่านตาาาาา" อาเล่ย/อาเอินลากเสียงยาวร้องเรียกบุรุษวัยห้าสิบอย่างพร้อมเพรียงทั้งยังพากันวิ่งไปหาอย่างไม่กลัวว่าจะล้ม "ฮ่า ๆ ๆ โอ้..หลานตา ตาคิดถึงพวกเจ้ายิ่งนัก" ทั้งตาทั้งหลานกอดกันกลมด้วยความคิดถึง "แล้วไม่คิดถึงข้าบ้างหรือขอรับท่านพ่อตา" หนึ่งบุรุษตัวโตถามขึ้นด้วยใบหน้าทะเล้น "จิจิ เจ้าลูกเขยบ้าแค่วันสองวันเองเจ้าก็รอข้าไม่ได้เลยหรือ รู้หรือไม่กว่าข้าจะหลบหลีกไอ้อ๋องบ้านั่นได้ ข้าต้องเสียเวลาไปมากแค่ไหน" "ขออภัยท่านพ่อตาขอรับ..ข้าเองก็รีบเหมือนกันนี่นา อาปินก็ใกล้จะคลอดเต็มทีข้าเลยเป็นห่วงมาก แล้วไอ้บ้าที่ว่านั่นชินอ๋องนะขอรับไม่กลัวโทษทัณฑ์บ้างหรือ" "ช่างปะไร เจ้าอยากเอาไปฟ้องสหายของเจ้าก็เชิญ" ท่านราชครูหยวนพยักพเยิดหน้าท้าทายผู้เป็นบุตรเขยอย่างเป็นต่อ ณ เวลานี้เขาไม่กลัวเกรงอะไรแล้ว "โธ่..ท่านพ่อตาข้าแค่เย้าแหย่เล่นเองนะขอรับ" มั่วชงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงรู้สึกท้อแท้แทนสหายรักเหลือเกิน “ฮึ!..” ค้อนขวับใส่บุตรเขยแล้วท่านราชครูก็หันมาพูดกับบุตรสาว “อาปินพ่ออยู่ได้ไม่กี่วันก็จะกลับแล้วคงไม่ได้อยู่ถึงตอนหลานเกิดแต่พ่อได้ทำหยกพกมาให้เจ้ากับเจ้าตัวเล็กด้วย" ท่านราชครูพูดพร้อมกับหยิบเอาหยกพกสองอันมอบให้กับอิงปิน 'อิงปิน' ก็คือตัวอักษรที่สลักอยู่บนหยก "ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ" 'อิงปิน' หมอปินอ่านทวนชื่อแซ่ใหม่ของนางที่สลักอยู่บนหยกพกทั้งน้ำตา เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะถูกยอมรับจากท่านราชครูหยวนและมีโอกาสได้เรียกท่านว่าบิดา ในที่สุดนางก็มีครอบครัวที่สมบูรณ์เหมือนกับคนอื่นแล้วนะ "ขอบคุณอะไร พวกเจ้าสองคนเป็นบุตรที่พ่อภูมิใจที่สุด" "สตรีที่ถูกหย่าร้างน่าภูมิใจที่ไหนกันเจ้าคะ" อิงอินแย้งบิดาของตนอย่างไม่จริงจังนัก "ถึงจะหย่าเราก็ได้กำไร เจ้าแฝดนี่ไงที่กำลังทำให้คนสกุล หยางคลั่ง พ่อละสะใจยิ่งนักแล้วเจ้าคิดจะปิดเรื่องนี้อีกนานหรือไม่อาอิน ไม่ใช่เพื่อชินอ๋องหรอกนะแต่เพื่อไทเฮา พอพระนางระแคะระคายเรื่องของเจ้า พระนางถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อกินไม่ได้นอนไม่หลับเชียวนา" คิก ๆ อิงอินขบขันกับคำพูดเปรียบเปรยของผู้เป็นบิดาที่ช่างสรรหาเอามาเปรียบอย่างไม่คำนึงถึงสถานะของฮองไทเฮาเลย [ฮองไทเฮาคือพระมารดาของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันที่เคยดำรงตำแหน่งฮองเฮามาก่อน] "ล้มหมอนนอนเสื่อใช้กับคนในราชวงศ์ได้ด้วยหรือเจ้าคะท่านพ่อ ข้าเองไม่เคยคิดจะปิดบังเลยนะแต่ก็ไม่คิดจะบอกเช่นกันเจ้าค่ะ" หากไม่มีพี่มั่วชงป่านนี้ท่านอ๋องคงจะตามหานางและลูกเจอแล้วก็เป็นได้ พ่อลูกจะเจอกันหรือไม่นั้นก็ให้แล้วแต่โชคชะตาและวาสนาเถิด นางไม่ได้เดือดร้อนเสียหน่อย "หึ ๆ สมแล้วช่างคู่ควรยิ่งนัก" ฮัวมั่วชงพึมพำเบา ๆ สงสัยสหายของเขาจะเจองานหนักไม่น้อย อาเล่ยก็ไม่ธรรมดาแม้จะรู้เรื่องของบิดาแล้วก็ตามแต่จิตใจนั้นกลับสงบเหลือเกิน ไม่โกรธแค้นไม่โวยวายนิสัยเหมือนผู้เป็นบิดาไม่ผิดเพี้ยน หากจะบอกว่าเหมือนมารดาก็ได้อีก 'หยางเล่อเอ๋ยสหายคนนี้ขออวยพรให้เจ้าโชคดีก็แล้วกัน' อิงอินก็เพิ่งจะรู้ว่าชินอ๋องกับพี่มั่วชงนั้นเป็นสหายรักกันก็ตอนที่เขารับอิงเล่ยและอิงเอินเป็นบุตรบุญธรรมนั่นเอง และนางก็มักจะได้รับข่าวคราวของท่านอ๋องจากพี่มั่วชงอยู่เสมอแม้จะไม่อยากรับฟังเท่าใดนักแต่พี่เขยของนางก็ไม่เคยย่อท้อ ช่างขยันเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้เกี่ยวกับคนผู้นั้นให้ฟังเสียจริง จนป่านนี้เขาก็ยังไม่ได้แต่งงานใหม่ ก็ไหนว่าอยากหย่ากับนางเพื่อจะแต่งหวางเฟยอย่างไรเล่าแล้วตอนนี้จะมาตามหานางเพื่ออะไรกัน เพราะว่านางมีบุตรอย่างนั้นหรือ... เมืองหลวงที่วังของชินอ๋อง... "ท่านอ๋องไม่เสวยอาหารมาหลายมื้อแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ" "ไปให้พ้นหน้าข้าเลยไป..ข้าสั่งห้ามแล้วอย่างไรว่าห้ามให้ผู้ใดเข้ามาที่นี่รวมทั้งเจ้าด้วย" "พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง" ด้วยน้ำเสียงที่มาพร้อมกับอารมณ์บูดบึ้งของนายเหนือหัวหวั่งซุนจึงต้องถอยร่นออกไปจากตำหนักเก่าโดยเร็ว มันคือความผิดของเขาแท้ ๆ ถึงแม้จะไม่รู้แน่ว่าพระชายานั้นมีบุตรจริงหรือไม่ แต่หลังจากที่หย่าได้เพียงหนึ่งเดือนท่านอ๋องก็หวนกลับมาที่วังอีกแล้วก็ย้ายมาพำนักอยู่ที่ตำหนักเก่าตลอดเวลาแทบจะไม่เข้าไปที่ตำหนักใหญ่เลย เขาไม่รู้ว่าท่านอ๋องกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือไปรู้อะไรมา ถึงได้มั่นใจว่าพระชายาหนีไปพร้อมกับบุตร หากมันเป็นความจริงไม่ใช่ว่าเขาทำเรื่องผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงหรือ ท่านอ๋องไม่บั่นคอเขาทิ้งก็นับว่าพระองค์เมตตามากแล้ว "มาอยู่ที่นี่อีกแล้วหรือ ห้าปีแล้วนะหยางเล่อเจ้าไม่ได้ตามหานางในดวงใจแล้วแต่กลับตามหาอดีตชายาเนี่ยนะ เจ้าหย่าขาดกับชายาเพราะอยากแต่งกับสตรีนางนั้นมิใช่หรือ" "ข้าจะมีหน้าไปแต่งกับใครได้ หากอิงอินตั้งครรภ์บุตรของข้าจริงข้าคงจะเป็นบิดาที่ชั่วช้าและโง่งม เจ้าก็คิดเช่นนั้นใช่หรือไม่กงซาน" หยางเล่อชินอ๋องตั้งแต่ฝันถึงเด็กทารกบ่อย ๆ ทั้งยังหูแว่วและได้ยินเสียงเด็กร้องเป็นบางครั้งจิตใจของเขาก็ไม่เคยสงบเลย จนต้องได้ย้อนกลับมายังเมืองหลวงอีกครั้งเพื่อมาดูให้แน่ใจว่าสิ่งที่เขาคิดมันถูก แต่ก็สายเกินไปเมื่อตำหนักเก่าไม่เหลือใครและไม่เหลือสิ่งใดให้บ่งบอกว่าเรือนนี้เคยมีคนอาศัยอยู่เลย"ไม่ลองเข้าไปที่จวนของท่านราชครูดูเล่า นางเป็นบุตรที่ท่านราชครูหยวนรักที่สุด ข่าวคราวของนางย่อมถูกส่งมาถึงบิดาบ้างแหละน่า" "ฮึ..ทำเขาอับอายขายหน้าขนาดนั้น เจ้าคิดว่าท่านราชครู ยังจะต้อนรับข้าอยู่หรือ" "แล้วอย่างไร ด้านได้อายก็อดแล้วถ้าหากนางแต่งงานกับบุรุษอื่นไปแล้วเล่าเจ้าจะทำอย่างไร" "........" "ทำไม คิดไม่ออกหรือ ฮ่า ๆ ๆ ๆ พวกเจ้าแต่งงานโดยไม่มีความรักและก็ผ่านมาแล้วตั้งห้าปีนางคงจะรอเจ้าอยู่กระมัง อายุของนางตอนนี้ก็เพิ่งจะยี่สิบปีเองต่างกับเจ้ามากโข" "หากอิงอินแต่งงานไปแล้วจริง ๆ ข้าขอแค่ได้ทำหน้าที่ของบิดาก็พอ" "ไปกันเถอะเตรียมตัวเดินทางได้แล้ว พวกเรามีนัดกับมั่วชงอยู่นะ" กงซานเร่งสหายของตนที่ยังคงทำตัวเอื่อยเฉื่อยอยู่ได้ช่างผิดวิสัยของท่านแม่ทัพผู้เคร่งครัดเสียจริง เฮ้อ..หากการมีครอบครัวแล้วมันเป็นทุกข์อย่างนี้เขายอมอยู่คนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดายเสียดีกว่าที่จะต้องมามีเรื่องให้ทุกข์ใจเช่นนี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD