ถ้าจำไม่ผิดฉันดื่มไปราวสี่ถึงห้าแก้ว โดยปกติแล้วไม่น่าจะเมาได้ ถ้าถึงกับไม่ได้สติขนาดนั้นสิ่งที่ผู้ชายคนนี้พูดอาจจะเป็นเรื่องจริงแต่ฉันก็ไม่สามารถปักใจเชื่อเขาได้ ก็เพราะว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า
ก็จริงอยู่ที่ว่าเขาเป็นเพื่อนของน้องชายแต่ฉันก็จำเขาไม่ได้อยู่ดี
“แล้วใครทำ นายรู้ไหม”
“ไม่รู้ แต่ก็คงเป็นหนึ่งในห้าคนนั้น มีใครชอบหรือไม่ชอบพี่ไหมล่ะ”
ฉันเงียบแล้วคิดตามที่เขาถาม พี่ออย พี่เจนนี่คงไม่ใช่เพราะพวกเธอก็เป็นผู้หญิงด้วยกัน ส่วนพี่แม็กก็มากับแฟนเขาจะมอมฉันทำไม พี่โอ๊ตก็มีแฟนแล้ว คนสุดท้ายคือพี่ต้า หัวหน้าในที่ทำงานเพิ่งเลิกกับแฟน แต่เวลาอยู่ในที่ทำงานเขาก็ไม่ได้ทำตัวน่าสงสัยอะไรเลย
“ไม่น่าใช่...”
คำพูดของฉันหยุดอยู่แค่นั้นเพราะมันมีภาพบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนลอยเข้ามา ถ้าจำไม่ผิดตอนที่นั่งดื่มอยู่นั้นฉันรู้สึกได้ว่าสายตาของพี่ต้ามันแปลกไป เขามองฉันตลอด ตอนแรกฉันคิดว่าเขาอาจจะเมา
หรือจะเป็นเขา
“ทำไม ถ้าไม่ใช่พวกนั้น คิดว่าเป็นใคร” เขายืนกอดอกถาม ทำอย่างกับครูที่ยืนเค้นเอาคำตอบกับนักเรียนอยู่หน้าห้อง ส่วนฉันก็เป็นเด็กโง่ๆ ที่ไม่มีความรู้อยู่ในหัวเลย
“ฉันไม่รู้” ฉันตอบไปแบบคนโง่ที่นึกอะไรไม่ออกสักอย่าง “แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าฉันโดนวางยา”
“ก็อาการมันแปลกๆ มันไม่เหมือนคนเมา อีกอย่างพี่เพิ่งดื่มไปไม่กี่แก้ว”
คำพูดของเขาทำเอาฉันนึกสงสัยจนต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน ทำไมเขาถึงรู้เรื่องของฉันขนาดนั้น บางทีคนที่น่าสงสัยที่สุดมันคือเขาต่างหาก ไม่ใช่คนอื่น!
“ทำไมนายรู้เรื่องฉันขนาดนั้น” ฉันถามพลันหัวใจก็รู้สึกชาวาบเพราะความกลัวที่ก่อตัวขึ้น
เขาอาจไม่ใช่คนดี
“ก็ผมร้องเพลงอยู่ร้านนั้น แล้วพี่ก็เป็นคนที่ผมรู้จัก”
“ก็ใช่ ฉันหมายถึง ทำไมต้องสนใจฉันขนาดนั้น”
“ผมเห็นพี่บ่อยนะ แต่พี่จำผมไม่ได้หรอก พอเป็นคนรู้จักก็เลยสนใจไง แล้วเมื่อคืนพี่ทำตัวแปลกๆ ก็เลยไปดู ตอนนั้นพี่น่าจะหนีไปเข้าห้องน้ำมั้ง”
ฉันนิ่งไปครู่หนึ่งเริ่มจำเหตุการณ์เหล่านั้นได้บางส่วนแล้ว ฉันไม่ได้ลุกไปไหนนอกจากห้องน้ำ คนที่นั่งอยู่โต๊ะนั้นก็มีแค่รุ่นพี่ห้าคนนั้น แล้วมันจะเป็นใครล่ะ ต้องมีสักคนในนั้น
อยู่ๆ หัวใจของฉันมันก็เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ กับเรื่องที่เพิ่งได้ยินจากปากของผู้ชายคนนี้ เดาไม่ออกเลยว่าคนที่วางยาฉันคนนั้นมันเป็นใคร
“นายพอจะมีวิธีหาได้ไหมว่าใครเป็นคนทำ”
“ลองขอเจ้าของร้านเปิดกล้องแต่ไม่แน่ใจว่ามุมนั้นมันจะเห็นไหม”
“ฉันอยากได้หลักฐานทั้งหมด ต้องทำยังไง”
“ผมขอให้ได้ แต่...”
“แต่อะไร” ถ้าให้เดาก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเงิน
“ผมมีเรื่องจะขอพี่อย่างหนึ่ง”
“อยากได้เท่าไหร่ แต่ฉันต้องได้หลักฐานที่มัดตัวคนคนนั้นได้นะ”
“ผมไม่ได้ต้องการเงิน” เขาบอกเสียงเรียบก่อนจะขยับลูกตามามองสบตากับฉัน
บอกเลยว่ามันทำให้ฉันเสียความมั่นใจเพราะสายตาของเขามันช่าง...
“แล้วนายต้องการอะไร” น้ำเสียงของฉันติดขัดเมื่อเดาไปว่าเขาอาจจะต้องการเรื่องอย่างว่า
บ้า! เมื่อกี้ใครนะที่มันพูดว่าฉันตรงสเปก ว่าฉันแก่ ก็แก่กว่าแค่สามปีเองเถอะ ยังสาวยังสวยอยู่ด้วยซ้ำ เขาก็ต้องมีอารมณ์บ้างล่ะ!
“ให้ผมไปพักที่ห้องพี่สักเดือนได้ไหม ตอนนี้ผมเดือดร้อนมาก”
สรุปที่ฉันเดาไปทั้งหมดนั้นไม่ตรงกับคำตอบเขาสักอย่างแต่คำตอบที่ได้ก็ทำเอาตกใจไม่แพ้กัน เขาบ้าหรือเปล่าถึงกล้าขอแบบนี้ ฉันเป็นผู้หญิงนะ
“ห้องก็มีจะไปอยู่กับฉันทำไม อีกอย่างเราก็ไม่รู้จักกันขนาดนั้น ถึงนายจะบอกว่าเป็นเพื่อนน้องชายฉันแต่ฉันก็ไม่ไว้ใจ”
“พี่เชื่อไหม ว่าถ้าเป็นคนอื่นมันไม่ปล่อยให้พี่มานั่งเถียงแบบนี้หรอก ตอนนี้พี่น่าจะ...”
“พอ ไม่ต้องพูด” ฉันยกมือห้ามปรามเพราะคิดว่าคนอย่างหมอนี่ไม่น่าจะพูดอะไรน่าฟัง
“คงเป็นศพนอนเปลือยอยู่ข้างทาง แล้วตอนนี้คงมี...”
“พอหยุดเถอะ” ฉันบอกเขาอย่างเหนื่อยใจ
“แล้วผมช่วยพี่ขนาดนี้ มันยังไม่ทำให้พี่สำนึกในบุญคุณกันบ้างเลยเหรอ พี่นี่มันโคตรใจดำเลยว่ะ รู้งี้...”
“นี่นาย!”
โอเค ยอมรับเลยว่าไอ้บ้านี่มันมีดีแค่หน้าตา แล้วที่บอกว่าช่วยฉันเหตุผลก็น่าจะเป็นเพราะหวังสิ่งตอบแทน
ฉันไม่อยากจะเถียงกับผู้ชายคนนี้ต่อ เรื่องที่เขาบอกมาอาจเป็นเรื่องที่เขาแต่งขึ้นทั้งนั้น ที่เขาหิ้วฉันมามันต้องมีจุดประสงค์อะไรสักอย่าง เผลอๆ อาจจะวางแผนทำมิดีมิร้าย รีดทรัพย์หรืออะไรก็แล้วแต่
เวลานี้ฉันควรหนี
“พี่ไม่เชื่อเหรอว่าไอ้คนที่มันมากับพี่นั่นแหละที่วางยาพี่ มันอยากแอ้มนั่นแหละ ถึงพี่จะไม่สวยแต่อย่างอื่นมันก็ล่อใจอยู่”
ไอ้เจ๋ง! ฉันอยากชี้หน้าด่าหมอนี่สักที แต่ตอนนี้มันไม่ใช่จุดที่ฉันจะยืนด่าเขาได้ ห้องก็ห้องเขาแถมยังอยู่กันลำพังสองคน แล้วคนแบบนี้เหรอจะขอไปพึ่งพิงฉัน
“...” ฉันหยุดฝีเท้าที่กำลังก้าวลงจากเตียงเพื่อที่จะไปหยิบกระเป๋าของตัวเองซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อมเพราะห้องพักของเขามันก็ไม่ได้กว้างอะไรนัก เหมือนหอพักราคาถูกๆ
“ถ้าไม่เชื่อผมขอคลิปในร้านให้ก็ได้”
พูดจบเขาก็เอื้อมมือไปหยิบเอามือถือของตัวเองมาโทรหาใครสักคน จับใจความได้ว่าขอภาพจากกล้องมุมที่ฉันนั่งเมื่อคืนนี้ก่อนที่เขาจะวางสายพร้อมกับสีหน้าผิดปกติ
“ว่ายังไง”
“…”
“ทำไม”
“มุมนั้นไม่มีกล้อง” เขาเอ่ยเสียงราบเรียบก่อนจะหันหลังเดินไป
“งั้นนายก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก ขอบคุณนะที่ช่วยฉัน วันหลังถ้ามีโอกาสฉันจะเลี้ยงข้าวสักมื้อ”
“อืม ผมจะจำไว้ว่าเคยช่วยคนใจดำแบบนี้ รู้อย่างนี้ปล่อยให้โดนลากไปข่มขืนก็ดี ตื่นเช้ามาคงเห็นข่าวอยู่ในทีวี เปลือยกายล่อนจ้อนให้พวกกู้ภัยมันไปถ่ายรูปลงกลุ่มอาสา” เจ๋งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วเขาก็ไม่สนใจฉันอีก
แต่คำพูดที่เขาเพิ่งพูดจบไปแบบไม่มีช่องว่างให้ฉันได้ทำใจนั้นเล่นเอาฉันจุกอก ไอ้บ้านี่!
เจ๋งหันหลังเดินไปที่ระเบียง กลายเป็นฉันที่ทำตัวไม่ถูกเพราะโดนต่อว่าไปอย่างนั้น แล้วเขาเป็นใครมาทำให้ฉันวุ่นวายใจกับคำพูดเชิงประชดประชันแบบนั้นเล่า
ฉันนิ่งไปครู่ใหญ่เพราะไม่รู้ว่าควรจัดการกับตัวเองยังไงแล้วยังสับสนเรื่องของผู้ชายคนนี้ด้วยว่าเขาต้องการอะไรจากฉัน ทว่าทั้งสีหน้าและแววตาของเขาทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าเขาจริงใจจนต้องลังเล
“นายไม่ได้โกหกใช่ไหม ที่พูดมาทั้งหมด ทุกเรื่อง” คนเรามันก็ไม่แน่หรอก ไม่มีใครไว้ใจได้ทั้งนั้น ไอ้หมอนี่ที่อยู่กับฉันตอนนี้ก็เหมือนกัน
“ทำไมต้องโกหก” เขาพูดแล้วปรายตามองอย่างหาเรื่อง มองฉันเหมือนตัวน่ารังเกียจ “จะกลับก็กลับไปเลย”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะหันไปที่กระจกบานใหญ่ติดกับประตูด้านหลังห้อง มองตัวเองที่เปลือยท่อนบน โชว์หุ่นล่ำ สัดส่วนล่อตาล่อใจสาว มือขยับยุกยิกอยู่ที่กางเกง เหมือนจะแกะเชือกเพื่อรูดมันลง
“ดะ เดี๋ยว!” ฉันร้องห้าม ก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมยังยืนมองเขาอยู่ “ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่นายต้องช่วยฉันขนาดนั้น”
“ผมไม่ใช่คนใจดำอัมหิตแบบพี่ไง”
“นี่นาย”
“งั้นเรื่องที่ผมขอ พี่ลืมมันไปเถอะ ผมก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับพี่แล้วนี่ กลับไปได้แล้ว”
ฉันเงียบยืนมองแผ่นหลังของคนที่เพิ่งรู้จักกันด้วยความไม่เข้าใจ สุดท้ายก็ต้องเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเองก่อนจะเดินไปที่ประตู แต่ก่อนที่จะได้เอื้อมมือไปเปิดมันเสียงจากด้านนอกที่เหมือนกับคนทุบประตูก็ดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายจนฉันต้องก้าวถอยหลังกลับมา
-----------
ก็แกปากหมาแบบนี้ ผู้หญิงที่ไหนเขาจะอยากอยู่ด้วยไอ้เจ๋งเอ๊ย