“ราม.....รามลูกแม่ รามกลับมาแล้วหรือลูก”
เสียงหอบโหยของคุณหญิงดังขึ้นทันทีที่บุตรชายคนโตมาถึงหน้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ที่ตนเองนั่งรออยู่อย่างใจจดใจจ่อ หญิงวัยกลางคนอยู่ในชุดคาฟทานสีสด แม้อายุจะมากแล้วแต่ผิวพรรณก็ยังผุดผ่องอยู่บนเรือนร่างที่ยังบอบบาง ใบหน้าที่มีริ้วรอยแต่ยังคงมีเค้าความงามหลงเหลืออยู่ ผมดำขลับถูกรวบเป็นมวยสูงประดับด้วยปิ่นเพชรอันน้อย คุณหญิงรีบถลาเข้าสู่อ้อมแขนของบุตรชายราวกับว่านี่เป็นที่พึ่งพิงสุดท้าย
“รามลูกแม่....ตาราช...ตาราช....”
หญิงวัยกลางคนสะอื้นไห้ตัวโยนพูดพลางสะอื้นฮักก่อนจะใช้นิ้วเรียวที่ประดับด้วยแหวนเพชรเม็ดใหญ่หลายวงประคองใบหน้าบุตรชายไว้คล้ายกลัวว่าสิ่งมีค่านี้จะหลุดหายไป
“รามกลับมาอยู่กับแม่นะลูก รามไม่ต้องกลับเชียงใหม่แล้ว ถ้าตาราชเป็นอะไรไปแม่จะอยู่กับใคร”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณแม่อย่ากังวล ราชจะปลอดภัย ผมอยู่ที่นี่แล้ว ผมจะอยู่กับคุณแม่” ชายหนุ่มปลอบประโลมมารดา สักครู่จึงเห็นว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ด้านหลังคุณหญิงปารมี
“สวัสดีครับ.......คุณราม”
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันในชุดสูทผ้าไหมสีเทาเอ่ยทักทายอย่างอ่อนน้อม ใบหน้าเรียวและดูสะอาดสะอ้านเจือรอยยิ้มละมัย
“ผมเทวาครับ เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายของคุณหญิงปารมี”
รามก้มศีรษะลงพร้อมยิ้มให้เป็นการตอบรับ
“เทวาเป็นหลานแม่ปีบ แม่ส่งให้เขาเรียนจนจบกฎหมาย ตอนนี้เขาเลยกลับมาช่วยงานแม่ ตอนพาตาราชมาส่งโรงพยาบาลเขาก็เป็นคนจัดการให้ทุกอย่าง”
“เกิดอะไรขึ้นครับแม่ ทำไมราชมันทำอย่างนี้”สิ้นคำถามคุณหญิงจึงเงยหน้าขึ้นมองลูกชาย ในแววตานั้นมีแววขึ้งเคียดและเจ็บปวด
“ผู้หญิงคนนั้น...ราม....ผู้หญิงคนนั้นทำให้น้องคิดฆ่าตัวตาย ผู้หญิงที่ชื่อลักษมี...ลักษมี เศรษฐกร เขาทำร้ายตาราช ผู้หญิงที่ร้ายกาจ เห็นแก่ตัว แม่เกลียดเขาลูก!....แม่เกลียดเขา!”
เสียงที่ขาดเป็นห้วงๆ เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นเสมือนเหล็กแหลมทิ่มทะลุเข้าไปถึงก้นบึ้งความรู้สึกของชายหนุ่ม ดวงตาคู่นั้นวาวโรจน์ด้วยความอาฆาตพยาบาทจนเจ้าตัวแทบไม่รู้สึกว่าริมฝีปากถูกขบจนห้อเลือด เพียงชั่วครู่ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก นายแพทย์ในชุดเสื้อกาวน์สีขาวก้าวออกมาพร้อมกับนางพยาบาลผู้ช่วย
“ขอโทษครับไม่ทราบว่าใครเป็นญาติผู้ป่วยครับ”นายแพทย์สูงวัยร่างสูงโปร่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ดิฉันค่ะคุณหมอ......ดิฉันเป็นแม่ของเขาค่ะ เขาเป็นไงบ้างคะคุณหมอ เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”
“ใจเย็นครับ ผู้ป่วยพ้นขีดอันตรายแล้ว.....”
ประโยคนั้นเหมือนยังไม่สิ้นสุด บนใบหน้าของนายแพทย์เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้รามรู้สึกกังขา
“คุณหมอครับ ผมเป็นพี่ชายของเขา คุณหมอมีอะไรจะบอกเราหรือเปล่า”
“คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วก็จริง แต่ตอนที่พวกคุณพาเขามาที่นี่....ดูเหมือนจะช้าไปสักนิดเพราะพวกคุณอาจเพิ่งไปพบเขา ผมเกรงว่าพิษของยานอนหลับอาจมีผลข้างเคียงต่อระบบประสาท...ไม่มากก็น้อย หลังจากนี้คงต้องคอยดูอาการคนไข้ต่อไปอีกหน่อย ผมจะจัดให้นางพยาบาลคอยดูแลอาการเขาอย่างใกล้ชิด”
สิ้นเสียงนายแพทย์คุณหญิงปารมีคล้ายทรงตัวไม่อยู่ ร่างนั้นอ่อนยวบจนบุตรชายต้องประคองให้นั่งลงบนเก้าอี้
“คุณแม่......ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ราชมันไม่ตายแล้ว”
“เวรกรรมอะไรกัน.....ถึงราชไม่ตาย แต่ลูกชายแม่ก็ไม่เป็นผู้เป็นคนเสียแล้ว”
ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดหนักเข้าไปอีก หยาดน้ำถั่งออกมาจากดวงตาหยดแล้วหยดเล่า รามกอดร่างนั้นไว้แนบอกในขณะเดียวกันความเคียดแค้นชิงชังฉาดฉายอยู่ในแววตาคู่นั้นชัดเจน
ความมืดเริ่มโรยตัวลงมาปกคลุมท้องฟ้าจนไม่นานก็เห็นแสงเดือนแสงดาวและแสงไฟที่สาดส่องสว่างอยู่รอบๆ เรือนไม้หลังเล็กโอบล้อมด้วยรั้วอิฐเต็มไปด้วยไม้เลื้อยไม้ดอกแน่นขนัด เสียงกอกแกกดังอยู่ที่รั้วก่อนที่บานประตูจะอ้าออก ร่างบางระหงในชุดผ้าป่านมัสลินสีน้ำเงินเข้มก้าวเข้ามาอย่างเงียบๆ จนเมื่อลงกลอนแล้วจึงได้ยินเสียงใครคนหนึ่งดังมาจากในตัวบ้าน
“มีมี่....กลับมาแล้วหรือลูก”
“ค่ะแม่”ลักษมีตอบกลับไปอย่างเนือยๆ เมื่อผลักประตูบ้านเข้าไปจึงเห็นมารดาในชุดนอนในมือมีหนังสือเล่มหนึ่งนั่งอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก
“วันนี้ไปสมัครงานที่ไหนมา ลูกดูเหนื่อยๆ นะ”
หญิงสาวก้มลงถอดรองเท้าก่อนจะก้าวเข้าไปแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ มารดา
“หนูไปสมัครงานที่รีสอร์ทกำลังจะเปิดใหม่ค่ะ...ชื่อ...อชันตารีสอร์ท เขาเปิดรับพนักงานหลายตำแหน่ง ก็คงต้องคอยสักพักเขาถึงจะเรียกไปสัมภาษณ์ แม่ล่ะคะ แม่ยังไออยู่รึเปล่าวันนี้หยุดไปสอนแล้วค่อยยังชั่วมั๊ยคะแม่”
มิ่งขวัญยิ้มรับแทนคำตอบ ดวงตากลมบนใบหน้าเรียวเล็กจ้องมองบุตรสาวอย่างเลื่อนลอย มีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ในแววตาแสนเศร้าของหญิงวัยกลางคน นางถอนหายใจก่อนจะยกมือขึ้นลูบผมบุตรสาว “แม่ขอโทษลูก แม่ทำให้ลูกต้องลำบาก ชีวิตของแม่มีลูกอยู่คนเดียว แต่แม่ก็ไม่อาจจะทำให้ลูกของแม่มีความสุขได้ แม่ขอโทษ”
“ไม่ค่ะแม่ แม่อย่าโทษตัวเองเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากความสมัครใจของหนูเอง ดีแล้วค่ะแม่ ถ้าแม่ไม่เตือนหนู หนูก็คงอยู่ในโลกแห่งความฝัน ไม่ยอมตื่นขึ้นมารับรู้โลกแห่งความจริงเสียที”