4
“ชาก็น่ารักดีนะคะกุ้งว่า”
“ตัวร้ายเลยนะนั่นน่ะกุ้ง เสือผู้หญิงตัวพ่อล่ะ น่ารักตรงไหน อย่าไปพูดถึงมันเลย คงงอนฉันกลับบ้านไปแล้วล่ะผู้ชายแบบไอ้ชานะอยู่ห่างไว้เป็นดีที่สุด”
“เป็นธรรมดาของผู้ชายมั้งเชอร์รี่ ชาดกเป็นหนุ่มหน้าตาดี มีผู้หญิงมาติดพันเยอะก็ไม่น่าแปลกใจนี่นา ถ้าไม่มีสิถึงจะน่าแปลก”
มนทิราพยายามหาเหตุผลมาเสริม เธอสนใจเขา ผู้ชายอะไรไม่รู้ หล่อ หุ่นดีมากๆ แถมที่บ้านรวยหูดับ เธอไม่สนก็แปลกแล้ว เขาตรงสเปกเธอจริงๆ เห็นในรูปก็เฉยๆ พอเห็นตัวจริง ทำเอาเธอเผลอมองตาค้าง สงสัยรูปที่โชว์ในบ้านไพศาลทรัพย์เป็นรูปเก่า ถ่ายมาหลายปีแน่เลย
“เสือผู้หญิงตัวพ่อเลยล่ะฉันพูดจริงที่สุดแล้วล่ะกุ้ง ไอ้ชามันร้ายจะตาย ขนาดฉันเป็นพี่มันนะยังคิดเลยว่า ถ้าโลกนี้มีแต่ผู้ชายแบบมัน ฉันยอมเป็นโสดจนตายเลยเอ้า บอกให้”
ชนกนันท์พูดกลั้วหัวเราะ เผาน้องชายแบบไม่ตะขิดตะขวงใจ
“ขนาดนั้นเชียว นั่นน่ะน้องชายเธอนะเชอร์รี่”
มนทิราขำเบาๆ พลางนึกไปถึงชาดกอีกอย่างช่วยไม่ได้
ก่อนที่หัวข้อสนทนาจะเปลี่ยนไป เมื่อชนกนันท์เปิดประเด็นถามถึงเรื่องงานของเธอที่เพิ่งได้มา
มนทิราหยิบแก้วขึ้นมาจิบ แปลก... เธอเองรู้สึกแปลกๆ กับผู้ชายรุ่นน้อง แค่เห็นหน้า ชาดกรูปร่างดี หุ่นสูงเพรียวหากแผงอกล่ำกล้ามเป็นมัดพองาม มองแล้วเธอก็อยากลองลูบไล้ดูบ้าง หญิงสาวหลุบตามองแก้วน้ำเพื่อปิดบังความคิดไว้ แค่เจอหน้าไม่กี่นาทีเธอกลับรู้สึกว่าเขาอันตราย คงร้ายเหมือนที่ชนกนันท์ว่า ผู้ชายหน้าตาดีหล่อเหลาคมสัน ผิวสีแทนนิดๆ กำลังสวย คิ้วเขาเข้มคม จมูกโด่ง ปากได้รูป รวมๆ แล้ว เขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลามาดแมนสมชายเลยเชียวแถมท่าทางร้าย แล้วเธอก็ชอบผู้ชายร้ายๆ เสียด้วยสิ
“ชาดกตัวจริงนี่หล่อกว่ารูปที่บ้านเนอะ แก้วว่าไหม”
มนทิราชวนคุยขณะช่วยกันทำอาหารกลางวันง่ายๆ เมนูข้าวผัดไข่ อาหารโปรดของเมขลานั่นเอง สองพี่น้องกลับไปแล้วและจะกลับมาที่นี่ในตอนค่ำ
เมขลาทำหน้าแขยงเหมือนกำลังพูดเรื่องไส้เดือนกิ้งกือไม่ใช่พูดถึงหนุ่มหล่อขวัญใจคณะวิศวกรรมศาสตร์
“แต่แก้วไม่ชอบ”
“อะไรกันเรา เพิ่งเจอหน้าเขาไม่ชอบซะแล้ว มีอคติเกินไปรึเปล่า”
“พูดแล้วเหยียบเลยนะพี่ หมอนี่แหละที่ทำให้เพื่อนของแก้วเสียใจ หลอกฟันแล้วทิ้ง ผู้ชายแบบนี้แก้วเกลียดที่สุด”
ในคำว่าเกลียด เมขลากลับรู้สึกว่า ใจเธอเต้น หน้าเธอร้อนกับเสน่ห์แพรวพราวของชาดก จะแปลกอะไร ผู้ชายชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงก็ชอบผู้ชายหล่อ เธอต้องข่มใจทำตัวน่าเกลียดใส่เขาก็เพื่อปกป้องตัวเอง ขืนไปหลงเสน่ห์คนแบบนั้นได้ช้ำใจตายพอดี
“เขาหลอกจริงรึเปล่า เราก็ฟังแต่เพื่อนเล่ามานะแก้ว พี่ว่าผู้ชายอย่างชาดกคงไม่ต้องไปหลอกล่อใครหรอกมั้ง แค่ปรายตามองผู้หญิงก็วิ่งเข้าใส่แล้ว”
พี่สาวพูดยิ้มๆ จะแปลกอะไร เธอเองยังอยากวิ่งเข้าใส่เขาเลย
“แหวะ แก้วนี่แหละที่จะวิ่งหนีไม่อยากช้ำใจตาย ผู้ชายแบบนี้จะรักใครเป็น”
“บางทีเขาอาจไม่ใช่อย่างที่เราคิด อย่าเพิ่งตัดสินคนทั้งๆ ที่เราเพิ่งรู้จักเขาแค่ไม่กี่นาทีสิจ๊ะน้องเลิฟ”
“ค่า แก้วว่าพี่กุ้งคงชอบนายนั่นด้วยมั้งเนี่ย เถียงแทนทุกคำเลย ไม่เอาแล้วแก้วไปกินข้าวดีกว่า จะได้ทำงานส่งอาจารย์ด้วย คุยเรื่องนี้แล้วเสียเซลล์สมองนะพี่”
เกลียดนักชายหลายใจ คงคิดว่าสาวที่ไหนเป็นต้องหลง
เกลียดนักชายเจ้าคารม ถ้าเผลอชมคงตรอมตรมจนวันตาย
เกลียดนักชายเจ้าชู้ หลอกเชยชูแต่ไร้ใจ
เกลียดนักชายจัญไร คิดแต่ได้ ฟันแล้วทิ้ง...
เมขลาคว้าจานข้าวกับจานแตงกวาหั่นเดินหนีออกไปจากครัว สาเหตุที่เธอไม่ชอบหน้านายชาดกก็เพราะเรื่องความมั่วไม่เลือกนี่แหละ เขาทำให้เพื่อนของเธอซึ่งเรียนอยู่ต่างคณะกันต้องเสียใจ ญานินร้องไห้ฟูมฟายเล่าให้เธอฟังทุกอย่าง หมอนี่หลอกว่ารักว่าชอบ พอได้แล้วก็ทิ้งไปควงผู้หญิงคนใหม่หน้าตาเฉย เธอไม่ได้เกลียดเขาเพราะเรื่องที่ชนกนันท์เล่า แต่เกลียดเพราะสิ่งที่เขาทำกับเพื่อนรักของเธอต่างหาก
แต่ไม่รู้ทำไม พอได้เห็นตัวจริงใกล้ๆ เธอถึงรู้สึกใจวูบวาบหวั่นไหว นี่หรือเปล่าที่เขาชอบพูด ยิ่งสวยงามพิษยิ่งร้ายกาจ อสูรตัวร้ายอย่างนายชาดกนี่เกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกับผู้หญิงรักความถูกต้อง รักเดียวใจเดียวจริงๆ
“ไม่ชอบเขา แล้วหน้าแดงทำไมยะ”
มนทิราตามมากระเซ้า ตาเป็นประกาย
“บ้าแล้วพี่กุ้ง พูดอะไรไม่รู้ หน้าดงหน้าแดงอะไร”
“ไม่ชอบก็ไม่ชอบ ไม่รู้ก็ไม่รู้ พี่จะบอกให้อย่างนะ ผู้ชายอย่างชาดกถ้าคิดจะจริงจังน่ะเลิกคิดได้เลย เข้าใจใช่ไหมว่าทำไม ตราบใดที่ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนสำคัญจนเขาวิ่งตามได้ล่ะก็ คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็แค่พวกที่ชอบสนุก มีความสัมพันธ์กันแบบฉาบฉวยเท่านั้นแหละ”
คนสำคัญขนาดที่ทำให้เขาทุรนทุรายได้น่ะหรือ...
เย็นวันนั้น งานเลี้ยงเล็กๆ สองบ้านก็เริ่มต้นขึ้น ซึ่งผู้ร่วมงานมีเพียงคุณรัตนา เมขลา มนทิรา ชนกนันท์และชาดก พ่อกับแม่ของทั้งสองไปดูงานต่างประเทศ มีสาวใช้ขวัญกับแม้วคอยดูแลและร่วมสรวลเสเฮฮาด้วย เนื่องว่าทั้งสองรับใช้คุณรัตนามานานจนสนิทสนมรู้ใจกันเป็นอย่างดี
ชนกนันท์กับคุณรัตนาพูดคุยกันสนุกสนานถูกคอ ถึงเธอจะงานยุ่งแต่มักแวะเวียนมาหาคุณรัตนาเสมอ ทั้งมีงานที่ต้องติดต่อประสานกันเลยเกิดความสนิทสนม การพึ่งพาอาศัย และมิตรไมตรีอันดีที่มีต่อกันนั้นไม่ได้ขาด ในวัยห้าสิบหกคุณรัตนาเองก็เป็นผู้ใหญ่ที่อารมณ์ดีคุยสนุกและหัวสมัยใหม่พอควร ใครได้รู้จักเป็นต้องรักใคร่เลื่อมใส
“เต็มที่กันเลยนะเชอร์รี่ ชาดก มื้อนี้ป้าตั้งใจทำสุดฝีมือเลย”
“ขอบคุณมากครับ ไม่ค่อยได้กินอาหารอร่อยๆ แบบนี้มานานแล้ว ผมไม่ยอมพลาดโอกาสนี้เด็ดขาด”