เหมยรู้สึกตัวตั้งแต่ที่มีคนมาเรียกแต่เหมือนจะพังห้องซะมากกว่า เธอได้ยินเสียงสะอื้นสั่นกลัวอยู่ใกล้ๆของเด็กน้อยคนหนึ่ง
เหมยเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติเพราะยุคสมัยที่เธออยู่ไม่ได้พูดแบบนี้ เธอพยายามลืมตาแต่ก็ต้องใช้เวลาอยู่สักครู่ แต่พอเห็นสิ่งต่างๆที่ไม่คุ้นตาเธอก็คิดว่าตัวเองคงฝันไป
เธอปิดเปลือกตาลงพยายามนอนให้หลับจะได้กลับออกไปจากความฝันนี่สักที สักพักมีหญิงชราพาหมอเข้ามาตรวจวัดชีพจรและจัดยาให้เธอ
เธอรู้สึกตัวทุกอย่างแต่เธอยังคงนอนนิ่งเหมือนคนไม่มีสติ อยู่ๆก็มีความทรงจำของใครบางคนหลั่งไหลเข้ามาในหัวเธอ เหมยคิดว่าคงเป็นความทรงจำหญิงสาวที่ชื่อเหมยฮวาที่เป็นเจ้าของร่างนี้ เธอเป็นคนค่อนข้างเรียบร้อยทำอาหารเก่งและเชื่อฟังท่านย่ามากเพราะท่านย่าเป็นคนเลี้ยงดูเธอมา
อย่างเดียวที่เหมยทำได้คือตั้งสติและเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งตรงหน้า เธอเคยอ่านนิยายทะลุมิติแนวนี้เลยลองหาปานแดงตามในนิยายในช่วงที่ทุกคนออกไปส่งท่านหมอแต่เธอก็หาไม่เจอ
ลองนึกถึงสิ่งของที่เธอต้องการก็ไม่มีอะไรออกมาสรุปว่าเธอมีเพียงความรู้และทักษะการป้องกันตัวที่ติดตัวมาด้วย
เหมยรู้สึกคิดหนักเพราะไม่รู้ว่าเธอต้องเจอกับอะไรบ้างแต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาคร่ำครวญเธอเริ่มทบทวนนิสัยใจคอและผู้คนที่ร่างนี้รู้จักเพื่อจะได้ใช้ชีวิตต่อไปได้เท่าที่เหมยนอนฟังบทสนทนาของย่าเจ้าของร่างนี้กับหมอ เดาได้เลยว่าไม่กี่วันเธอคงต้องได้เดินทางแน่ๆ
เหมยตัดสินใจลืมตาขึ้นมามองรอบๆห้องเล็กๆที่เธออาศัยอยู่ก็เห็นเด็กผู้ชายคนนึงในความทรงจำนี่คือเฉินมู่เจิน เด็กน้อยอายุ 7ขวบ พอเสียท่านปู่และพ่อแม่ไปพวกเขาก็ถูกรังแกสารพัดล่าสุดที่เหมยฮวาต้องตายไปก็เพราะถูกผู้หญิงของท่านอากลั่นแกล้งทุบตี
" ฮึกท่านพี่ ท่านฟื้นแล้วหรือขอรับ " เหมยที่เห็นน้ำตาของเด็กน้อยก็สงสารมากจนพูดอะไรไม่ออก ตามเนื้อตัวของมู่เจินก็มีรอยฟกช้ำหลายจุดเหมือนกัน ในความทรงจำเหมยฮวากับน้องชายรักกันมาก ยิ่งไม่เหลือพ่อแม่เเล้วเหมยฮวายิ่งต้องปกป้องน้องชายด้วยชีวิต
ท่านย่าเฉินที่ต้มยาเสร็จแล้วก็เทใส่ถ้วยแล้วยกเข้ามาให้หลานที่ห้อง
" อาเจินเอ้ยพี่สาวของหลานฟื้นรึยัง " ท่านย่าเฉินที่ยกถ้วยยาเข้ามายังไม่ถึงในห้องก็ส่งเสียงมาก่อน
" ท่านพี่ฟื้นแล้วขอรับท่านย่า แต่ท่านพี่ไม่ยอมพูดอะไรเลย " มู่เจินตอนนี้ไม่รู้จะทำยังไงพี่สาวของเขามองหน้าเขาแปลกๆทำเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน
" อาเหมยหลานเป็นยังไงบ้าง " ท่านย่าเฉินที่เข้ามาถึงในห้องก็เห็นหลานสาวรู้สึกตัวแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก
" หลานแค่ปวดหัวนิดหน่อยเจ้าค่ะท่านย่า " เหมยพยายามทำตัวและใช้คำเรียกให้เหมือนในความทรงจำของร่างเก่าที่สุด
" งั้นหลานรีบลุกมากินยาที่ย่าต้มมาเร็วเข้า เดี๋ยวยามันจะเย็นซะก่อน " มู่เจินน้อยเห็นพี่สาวลุกลำบากก็รีบมาประคองขึ้น
" ขอบใจมากอาเจิน อึก อึก แค่กๆๆ ทำไมมันขมอย่างนี้ละท่านย่า " ท่านย่าเฉินคิ้วขมวดด้วยความสงสัยมู่เจินน้อยก็ไม่ต่างกัน
" แต่ก่อนหลานก็กินยาต้มออกจะบ่อยทำไมพึ่งจะมาขมเอาวันนี้ละ" ท่านย่าเฉินถามด้วยความสงสัย เหมยได้ยินแบบนั้นถึงกับชะงักก่อนจะรีบทำตัวให้เป็นปกติที่สุด
" ท่านย่าอย่าใส่ใจเลยเจ้าค่ะ หลานแค่พูดเล่นเท่านั้นเอง " เหมยรีบปรับสีหน้าไม่ให้มีพิรุธ หากเธอต้องอยู่ในร่างนี้ต่อเธอก็ต้องปรับตัวให้กลมกลืน
" รีบกินให้หมดเถอะหลานจะได้หายเร็วๆ เราต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด " ท่านย่าเฉินยังคงคิดเรื่องนี้ไม่หยุดท่านกลัวเหลือเกินว่าหลานสาวจะถูกพวกเจ้าหนี้จับตัวไป
" ข้าได้ยินที่ท่านหมอพูดหมดแล้วเจ้าค่ะท่านย่า แต่ว่าถ้าเราไปอยู่ที่บ้านเดิมของท่านย่า ท่านอาก็จะไม่ตามไปเหมือนเดิมหรือเจ้าคะ? " เหมยเอ่ยถามด้วยความสงสัย
" หลานไม่ต้องห่วงตั้งแต่ที่ย่าแต่งงานออกมาอยู่กับปู่ของหลานยังไม่เคยได้กลับไปที่นั่นเลยไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน ส่วนพี่น้องคนอื่นๆของย่าบางคนก็ตายจาก บางคนก็ไปสร้างครอบครัวเป็นของตัวเองบ้านหลังนั้นจึงถูกปล่อยทิ้งร้างไว้แบบนั้น " ท่านย่าเฉินเล่าทุกอย่างให้หลานๆฟัง ในขณะนั้นก็มีเสียงดังที่หน้าบ้านทุกคนเลยรีบออกมาดู
ปัง ปัง ปัง
" เปิดประตูใครอยู่ข้างในเปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ " เสียงโหวกเหวกโวยวายของเจ้าหนี้หน้าบ้านทำให้ผู้คนในละแวกนั้นออกมามุงดู
ปัง ปัง ปัง
" ข้าบอกให้เปิด เฉินตงเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้ " น้ำเสียงหยาบกระด้างยังคงตะโกนลั่นเรียกหาลูกหนี้ไม่หยุด
" ท่านย่าเราจะเปิดประตูกันดีหรือไม่เจ้าคะฟังจากที่พูดน่าจะเป็นพวกเจ้าหนี้ที่บ่อนของท่านอา" เหมยเอ่ยถามท่านย่าเฉิน
" เข้าไปเรียกท่านอาของหลานออกมาคุยเองเถอะ หลานอย่าเข้าไปยุ่งเลยอาเหมย อาเจินไปเป็นเพื่อนพี่สาวเจ้าด้วย"
ท่านย่าเฉินกลัวหลานทั้งสองจะเป็นอันตรายเลยให้หลานๆไปตามเจ้าตัวต้นเรื่องมาเอง
" ขอรับท่านย่า // เจ้าค่ะท่านย่า "