ตอนที่ 11

1910 Words
บริษัท สแปร์ยนต์… ด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะมีเรื่องให้ต้องคิด ทำให้รัญนราเกือบชนเข้ากับรุ่นพี่สาวในระหว่างที่เดินเข้ามายังล็อบบี้เพื่อไปขึ้นลิฟต์ “ขอโทษค่ะพี่มิกกี้” เธอค้อมหัวให้คนตรงหน้าเล็กน้อย “น้องเมย์เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมเดินใจลอยจัง?” หัวคิ้วของมิรันตีขยับชิดเมื่อเอ่ยถามเธอ เนื่องจากตั้งแต่รู้จักกันมาน้อยมากที่จะเห็นรัญนราดูเศร้าหม่นแบบนี้ “พี่มิกกี้… เออคือเมย์ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” รัญนราเริ่มปรับสีหน้าให้แจ่มใสเมื่อเห็นความแคลงใจฉายบนดวงหน้าสวยของรุ่นพี่สาว เธอไม่อยากเอาเรื่องส่วนตัวมาโพนทนาให้คนในบริษัทรู้ ถึงแม้เธอจะรู้จักกับรุ่นพี่สาว เพราะสมัยก่อนทั้งสองอยู่บ้านใกล้กันและเรียนโรงเรียนที่เดียวกัน แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมถึงขั้นจะเล่าเรื่องส่วนตัวได้ “ดีแล้ว พี่นึกว่าเมย์มีเรื่องทุกข์ใจเสียอีก” ฝ่ามือตบลงบนบ่าเล็กเบาๆ ก่อนจะถามถึงอีกคนที่ไม่ได้เจอกันนานพอสมควร “เออแล้วรวิเป็นไงบ้าง?” เมื่อถามถึงเจ้าของรอยยิ้มทะเล้น ทั้งขี้เล่นและอัธยาศัยดีคนนั้นมิรันตีอดยิ้มไม่ได้ โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าคำถามของเธอได้สร้างความอึดอัดให้กับคนถูกถามมากแค่ไหน “ก็…เอ่อ” น้ำเสียงของรัญนราเริ่มอึกอัก แล้วเมื่อนึกถึงน้องชายที่นอนอยู่ที่บ้านคนเดียว ไม่รู้ป่านนี้ตื่นหรือยังเพราะตอนที่เธอออกจากบ้านน้องชายยังไม่ตื่นเลย ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสะท้อนความกังวล มิรันตีเห็นอาการของรุ่นน้องสาวก็ยิ่งสงสัย ยิ่งเห็นดวงตากลมโตระริกไหวคล้ายคนมีเรื่องปิดบังก็ยิ่งอยากรู้ “น้องเมย์มีเรื่องอะไรหรือเปล่าบอกพี่ได้นะ” มือเล็กเข้ามาบีบแขนขาวนวลราวกับงาช้างของรุ่นน้องด้วยความเป็นห่วงพร้อมทำหน้าจริงจัง สายตาที่แน่วแน่อยากรู้และแฝงไว้ด้วยความจริงใจนั้น ส่งผลให้รัญนราต้องพูดในสิ่งที่ไม่อยากให้คนภายนอกรู้ว่าน้องชายไม่สบาย “รวิไม่ค่อยสบายค่ะ” เธอเลือกที่จะไม่บอกรายละเอียดอาการป่วยของน้องชายให้อีกฝ่ายรู้ แต่น้ำเสียงเศร้าที่เอื้อนเอ่ยยิ่งทำให้มินรันตีที่ขมวดคิ้วเข้าหากันอยากรู้ กำลังจะถามต่อแต่จำต้องหยุดบทสนทนาไว้เพียงแค่นั้น เพราะเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังเข้ามาใกล้ทางพวกเธอยืนอยู่ รัญนราที่ไม่ต้องตอบรายละเอียดแก่รุ่นพี่สาวเพราะมีคนเข้ามาเสียก่อน จึงรีบผินหน้าไปมองบุคคลผู้มาใหม่ ซึ่งเป็นท่านประธานหนุ่มในชุดสูทสีกาแฟนั่นเอง ใบหน้าคมเข้มแม้จะนิ่งขรึมกลับดูน่าค้นหา กับอีกหนึ่งหนุ่มที่เมื่อเห็นดลเทพอยู่ที่ไหนก็ต้องมีเขาอยู่ที่นั่นด้วยคือผู้ช่วยโยธิน เจ้าของร่างสูงโปร่งในสูทสีเข้มที่ส่งรอยยิ้มมาให้พวกเธอทั้งสองอยู่ในขณะนี้ แต่เมื่อเห็นสายตาเย็นชาของท่านประธานหนุ่มที่มองมา ทำเอาเธอต้องรีบละสายตาหันไปทางอื่น ดลเทพปรายตามองเลขาสาวแวบหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาไปทางอีกคนแล้วอดนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ไม่ได้ หญิงสาวร่างเล็กในชุดรัดรูปใส่รองเท้าส้นสูงสิบนิ้ว พูดคุยฉอเลาะพร้อมส่งยิ้มให้แขกผู้ชายในระหว่างเสิร์ฟเหล้าอย่างสนิทสนม ซึ่งต่างจากรัญนราในตอนนี้ เธอสวมชุดพนักงานออฟฟิศสีฟ้าอ่อน ปกปิดเรือนร่างเห็นเพียงเรียวแขนตั้งแต่ศอกลงมากับน่องเสลาภายใต้กระโปรงทรงสอบ และสวมรองเท้าคัทชูส้นเตี้ยห่อหุ้มเท้าเล็กแลดูมิดชิดเรียบร้อย ชายหนุ่มไม่เอ่ยอะไรเพียงแค่พยักหน้ารับไหว้มิรันตีเท่านั้น จากนั้นร่างสูงใหญ่เดินจากไปทิ้งให้อีกคนที่หรี่มองพื้น ถอนหายใจเบาๆ เมื่อกี้เธอหายใจไม่ทั่วท้องราวกับมีอะไรไปขัดขวางระบบหายใจ ความเคร่งขรึมและบุคลิกที่เยือกเย็นของเขาสามารถกดให้คนกลัวได้จริงๆ ….. เลิกงานแล้วรัญนราออกมายืนรอรถเมล์อยู่หน้าบริษัทเหมือนเฉกเช่นทุกวัน ยอมรับว่าวันนี้ทำงานผิดพลาดหลายอย่าง จนโดนรุ่นพี่ตำหนิหลายครั้ง สืบเนื่องมาจากที่ช่วงนี้มีเรื่องให้คิดหลายเรื่อง ไม่เฉพาะอาการป่วยของน้องชายเท่านั้น แต่เธอยังมีเรื่องหนักอกอีกเรื่องที่จะต้องไปทำในค่ำคืนนี้ ในระหว่างรอรถเมล์ด้วยความที่เอาแต่จมอยู่กับความคิดเลยไม่ทันเห็นรถสปอร์ตสีเงินขับผ่านมาจอดอยู่ตรงหน้า กระทั่งเสียงนุ่มทุ้มของคนที่นั่งในรถดังออกมา “น้องเมย์ขึ้นมาพี่จะไปส่ง” เรียกสติของรัญนราให้เงยหน้ามองเจ้าของเสียงทุ้ม รอยยิ้มละมุนที่ส่งมาให้ หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงจะดีใจและหัวใจดวงน้อยคงจะฟูฟ่อไม่น้อย ทว่าเวลานี้เธอกลับรู้สึกเฉยๆ ไม่หลงเหลือความรู้สึกพิเศษเหล่านั้นอีกแล้ว และการที่ชายหนุ่มมาทำแบบนี้เธอไม่ค่อยสบายใจนักเพราะไม่อยากมีปัญหากับครอบครัวของเขา ยิ่งรู้ว่าเขามีคู่หมั้นแล้วยิ่งไม่อยากจะเข้าไปวุ่นวายแทรกกลางระหว่างพวกเขา “ไม่เป็นไรค่ะรถเมล์มาพอดีเมย์ขอตัวนะคะ” รัญนราเอ่ยปฏิเสธออกไปอย่างนุ่มนวลก่อนจะรีบขึ้นรถอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องคิดหาทางปฏิเสธเขา ส่วนคนที่โดนปฏิเสธทำได้แค่สตาร์ตรถออกอย่างเร็ว “น้องเมย์ยังโกรธพี่ใช่ไหมถึงได้เย็นชากับพี่เช่นนี้” เขาพึมพำเบาๆ สองมือที่บังคับพวงมาลัยบีบแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน ครืด!!! แล้วเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เตือนให้คนที่ตกอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัวได้สติก่อนจะเอื้อมไปคว้ามือถือที่วางอยู่ในช่องเก็บของขึ้นมา เมื่อเห็นชื่อคนโทรมาแล้วดวงหน้าเข้มขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็กดรับสาย “ฮัลโหล ว่าไงแพรว” “พี่ติณเลิกงานหรือยังคะ เย็นนี้มากินข้าวที่บ้านแพรวนะคะคุณพ่อคุณแม่อยากเจอค่ะ” “ได้ครับ งั้นเดี๋ยวพี่ไปหาตอนนี้เลยนะครับ” ติณณภพหรี่มองมือถือที่เพิ่งกดวางแล้วถอนหายใจหนักๆ ขณะที่อีกฝั่ง หลังจากที่แพรวนภาวางสายคู่หมั้นหนุ่มไปแล้ว หญิงสาวเดินกลับเข้ามาในห้องโถงอีกครั้ง “คุณพ่อคุณแม่ขาเดี๋ยวพี่ติณจะมากินมื้อเย็นกับเราด้วยนะคะ” หญิงสาวบอกกับพวกท่านซึ่งตอนนี้กำลังคุยเล่นกับน้องสาวคนเล็กของเธออย่างอารมณ์ดี ขณะที่น้องสาวนั้นกลับยิ้มกว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้นจากนั้นก็คว้ามือของเธอฉุดให้ลงนั่งข้างๆ “พี่แพรวดีใจใช่ไหมล่ะที่พี่ติณจะมาที่นี่ ความจริงพี่ไม่เห็นจะต้องตื่นเต้นอะไรเลยนี่คะ พี่กับเขาอยู่เมืองนอกด้วยกันมาตั้งห้าปีแล้ว” สิ้นประโยคของน้องสาว แพรวนภาแน่นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้ายิ้มเบาๆ “จ้า” หลังจากเข้าพิธีหมั้นหมาย เธอกับติณณภพก็เดินทางไปเรียนต่อที่เมืองนอก ในระหว่างที่อยู่ด้วยกันที่นู่น ติณณภพดูแลเธอดีมาก แต่นั่นเขาทำมันเพราะหน้าที่ไม่ใช่เพราะหัวใจ แม้จะรู้ว่าเขาไม่รักเป็นเธอที่รักเขาฝ่ายเดียว แต่เธอก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเขา “แล้วนี่ลูกคิดไว้หรือยังว่าจะไปทำงานที่ไหน” เสียงของบิดาที่เอื้อนเอ่ยถามทำให้เธอหลุดจากห้วงภวังค์ ก่อนจะตอบว่า “หนูอยากจะพักสักหน่อยก่อนค่ะคุณพ่อ” “ได้สิลูก” ท่านธีระยิ้มให้บุตรสาวคนที่สองอย่างอ่อนโยนพร้อมๆ กับยกมือลูบหัวทุยเบาๆ ลูกๆ ของเขาเป็นเด็กที่น่ารักทุกคน เขาต้องยกความดีความชอบให้กับภรรยาของเขาที่เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนลูกๆ ได้ดีขนาดนี้ ส่วนเขานั้นตั้งแต่โลดแล่นอยู่ในวงการการเมืองไม่ค่อยมีเวลาเลย “แม่ว่าหนูไปทำงานที่บริษัทของคุณลุงยงยุทธก็ได้นี่จ้ะ เดี๋ยวถ้าพ่อติณมาลูกลองคุยกับเขาดูดีไหม” คุณหญิงแพรวาที่นั่งอยู่ข้างสามีออกความเห็นบ้าง “ค่ะคุณแม่” แพรวนภาตอบรับคำแนะนำของมารดา ใจจริงเธอก็อยากทำงานใกล้ชิดกับติณณภพ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะว่ายังไงเพราะยังไม่เคยคุยเรื่องนี้กันเลย แต่ถ้าไม่ได้ทำงานกับเขา ไม่แน่เธออาจจะเปิดร้านเบเกอรี่เล็กๆ ตามที่อยากทำ ….. รัญนราในชุดเดรสสีขาว เดินเข้ามาในล็อบบี้ของโรงแรมหรูที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองตามที่พี่เบียร์ได้บอกกับเธอไว้ และทันทีที่เธอปรากฏตัวขึ้นเรียกสายตาของคนที่อยู่ในบริเวณนี้หันมามองทางเธอเป็นตาเดียว จนเธอเริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ใส่ชุดรัดรูปมากขนาดนี้ในที่สาธารณะ “เชิญค่ะ” พนักงานสาวของโรงแรมที่เหมือนยืนรอเธอตั้งแต่ต้นแล้วเดินเข้ามาหาเธอพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเดินนำเธอเข้าไปในลิฟต์ เนื่องจากตัวลิฟต์เป็นกระจกใสจึงสามารถมองเห็นวิวข้างนอกได้อย่างชัดเจน และในระหว่างที่ห้องโดยสารสี่เหลี่ยมกระจกใสเคลื่อนตัวขึ้นสู่ชั้นบนสุดของตึก รัญนรากดความรู้สึกหวาดหวั่นด้วยการมองออกไปด้านนอกตึก แสงไฟระยิบระยับตามตึกน้อยตึกใหญ่ ทำให้แลเห็นความงดงามของเมืองหลวงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองเศรษฐกิจได้อย่างดี ยิ่งเมื่อมองลงไปยังแม่น้ำสายหลักของเมืองหลวงในยามค่ำคืนแบบนี้ แสงนีออนวิบวับจากเรือลำเล็กลำใหญ่ที่ล่องอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้น่าชื่นชมยากจะละสายตากับความสวยงามนั้น รัญนราเผลอใจไปกับความงดงามตรงหน้าจนลืมไปว่าเธอมาทำอะไรที่นี่ กระทั่งเมื่อลิฟต์เคลื่อนมาหยุดอยู่ที่ชั้น 72 หัวใจดวงน้อยเริ่มหวั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ก้าวออกจากลิฟต์ตามการผายมือเชื้อเชิญของพนักงานสาว เสียงรองเท้าส้นสูงที่กระทบพื้นหินอ่อนตามระเบียงทางยาว ดังกึกก้องคล้ายเสียงสะท้อนจากก้นเหวลึก นั่นยิ่งทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องที่เธอไม่รู้ว่าจะได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ยิ่งทำให้หายใจไม่ทั่วท้อง แต่พร้อมจะยอมรับมัน… “ถึงแล้วค่ะ” พนักงานสาวยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร ก่อนจะหมุนตัวจากไป ทิ้งให้รัญนรายืนใจเต้นตึกๆ อยู่หน้าห้องคนเดียว เธอหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกความมั่นใจจากนั้นยกมือเคาะบานประตูเบาๆ เมื่อได้รับอนุญาตจากข้างในแล้ว มือเล็กที่จับลูกบิดสั่นน้อยๆ ยากจะควบคุมได้ เพื่อน้องท่องไว้เพื่อน้อง เธอบอกกับตัวเองในใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD