นาฏศิลป์ในความมืด

1119 Words
“มาที่นี่เพราะเควสเหรอ?” เสียงหญิงสาวสวมแว่นผมสีชมพูถามขึ้น ขณะที่ทั้งสามสาวเท้าเดินไปตามถนนในมหาวิทยาลัย ใช่แล้ว ตอนนี้ดิส มิกส์ และราชาวดีเข้ามาในมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อย ในตอนนั้นดิสคิดว่าเขาจะโดนไล่ออกไปจากที่เกิดเหตุซะแล้ว เพราะราชาวดีที่โผล่มาอย่างไม่คาดคิด แต่เธอกลับทำตรงกันข้าม ด้วยอำนาจของพรานทมิฬคลาส S เธอกลับช่วยพาเขาเข้ามหาวิทยาลัยแทน และสั่งห้ามไม่ให้ใครมายุ่งย่ามในพื้นที่ ดิสจึงขอพามิกส์ตามเข้ามากับตัวเองด้วย เธอก็ไม่ได้ขัดอะไรต่อความต้องการเขา ดิสไม่รู้เหตุผลของเธอ จนตอนนี้ที่ทั้งสามเข้ามาในเขตอันตรายแล้ว สิ่งที่ราชาวดีถามก็มีแค่ ‘มาที่นี่เพราะเควสเหรอ? ’ เท่านั้น ดิสหันไปพยักหน้าตอบอีกฝ่าย ก่อนจะเดินต่ออย่างระมัดระวัง ไม่รู้พวกเขาจะถูกซุ่มโจมตีอยู่รึเปล่า แต่ทันใดนั้นเองราชาวดีก็หยุดเดิน ดิสชะงักไปก่อนจะหยุดนิ่งเลิกคิ้วหันไปมอง ทำให้มิกส์ต้องหยุดตาม “เป็นอะไรรึเปล่า?” ดิสถามหญิงสาวด้วยความสงสัย พอราชาวดีได้ยินแบบนั้นก็ก้มหน้าลง “เราขอโทษเรื่องวันนั้นด้วยนะ เราแค่พยายามจะช่วยดิส เราไม่แก้ตัวอะไรทั้งนั้น” “เราแค่อยากขอโทษ” พอชายหนุ่มเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจ ช่วงที่ผ่านมาดิสคิดเรื่องนี้อยู่หลายครั้งเหมือนกัน เขาทำเกินกว่าเหตุไปจริงๆ ราชาวดีไม่ได้ผิดอะไรขนาดนั้น ดิสเข้าใจว่าราชาวดีเองก็ลำบากใจในหลายๆ ด้าน พรานทมิฬนั้นขึ้นตรงต่อเบื้องบน แต่ที่ตอนนี้ชีวิตเขายังสงบสุขดีไม่ถูกจับตามอง แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยังไม่รู้ความสามารถของเขา ราชาวดียังปกปิดความลับของเขาไว้อยู่ สิ่งที่ดิสระแวงคือวดีอาจเล่าให้คนใหญ่คนโตฟัง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเอง การที่ราชาวดีเล่าให้หัวหน้ากิลด์ขี้เก๊กฟัง อาจจะเป็นเพราะว่ามันเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถปกป้องเขาได้ เธอคงหาทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ ดิสเอื้อมมือไปจับไหล่ราชาวดี ก่อนจะเป็นเขาเองที่ก้มหัว “เราต่างหากที่ต้องขอโทษ วดีพยายามจะช่วยเราแท้ๆ เราเองแหละที่งี่เง่า…” เมื่อราชาวดีเห็นแบบก็เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “ไม่หรอก… ไม่ใช่ความผิดดิสหรอก” ดิสเงยหน้าขึ้นมาเหมือนกัน ก่อนจะยิ้มให้อีกฝ่าย “งั้นก็ถือว่าเราดีกันแล้วนะ” ดิสว่าแล้วเอื้อมมือไปทางราชาวดี หญิงสาวผมสีชมพูเห็นแบบนั้นจึงค่อยๆ คลี่ยิ้มบาง พลางยื่นมือมาจับ มิกส์มองภาพตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจ ‘เอาตูเข้ามาเป็น กขค. รึไงวะเนี่ย…’ ระหว่างบรรยากาศทุกอย่างกำลังไปได้ดี ก่อนจะถูกขัดด้วยเสียงดนตรีไทยที่ค่อยๆ บรรเลงขึ้น ระนาด ฉิ่ง กลอง หรือแม้แต่ขลุ่ย ดังประสานขับร้องไปกับเสียงของหญิงสาวปริศนาสักคน ชวนให้ประสาทปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก ทำพวกเขาชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ราชาวดีรีบเรียกวงเวทย์สีชมพูมาที่มือทั้งสองข้างเตรียมตั้งรับ ในขณะที่มิกส์ในชุดตำรวจนั้นรีบเปลี่ยนร่างเป็นหมูเหล็กควงศาสตราทมิฬในมือเช่นกัน ขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมพร้อม ดิสกลับคุกเข่าลงไปกับพื้นพร้อมอาการสั่น เขายกมือสองข้างขึ้นกุมศรีษะจิกเส้นผม อ๊ากกกก! ดิสกรีดร้องออกมา บัดนี้ความทรมานพวกนั้นมันกลับอีกแล้ว เขาทนไม่ไหวแล้ว… บอดี้การ์ดหนุ่มรีบพยุงนายจ้างตนลุกขึ้นยืน ในขณะที่ราชาวดีก็พยายามฮีลให้ แต่มันไม่เป็นผล นี่ไม่ใช่บาดแผลทางกาย ดิสพยายามอ้าปากหอบหายใจ อาการเขาดูไม่ต่างจากคนผีเข้าเลย ขณะที่อีกสองคนกำลังพยายามให้ความช่วยเหลือสุดความสามารถ ไฟทั่วมหาวิทยาลัยก็ได้ดับลง . . . ไม่ใช่แค่ในมหาวิทยาลัย แต่เป็นระแวกชุมชนรอบๆ เลยต่างหาก… ดิสสะดุ้งตื่นขึ้นมาในความมืด รอบๆ ตัวเขามันมืดไปหมด รอบข้าง… มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ‘วดีกับบอดี้การ์ดเราหายไปไหน? ’ เขามองรอบๆ อย่างฉงน และไม่เข้าใจ ส่วนเพลงไทยเดิมก็ยังบรรเลงคลออยู่ไม่ขาด ดิสไม่มีอาการอะไรแล้ว สิ่งที่เขารู้สึกอยู่ตอนนี้มีเพียงความวังเวงตามบรรยากาศเท่านั้น ดิสเลิกคิ้วขึ้นสูง เขาเพิ่งจะเห็นว่าถึงแม้รอบข้างจะมืด แต่เขากลับเห็นร่างตัวเองชัดเจน เขาเข้าใจได้ทันทีว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์อะไรสักอย่างแน่ ‘มันเหมือนกับตอนเจอพญาครุฑเลย…’ ดิสยันกายลุกขึ้นยืน เขารู้ตัวแล้วว่านี่ไม่ใช่โลกแห่งความจริง แต่ที่อยากรู้มากที่สุดในตอนนี้คือวิธีที่จะหลุดออกไป เสียงเพลงยังคงบรรเลงต่อ มันทำให้เขารู้สึกรำคาญมาก จนเขาอดไม่ได้ที่จะด่าทอ “หยุดเล่นสักทีได้ไหม รำคาญโว้ย!” ดิสตะคอกเสร็จก็เริ่มเดิน เขาไม่มีเวลาแล้ว อีกสองคนที่ดูแลร่างหมดสติของเขาคงกำลังเป็นห่วงแน่ ชายหนุ่มสาวเท้าเดินไปรอบๆ มันไม่มีที่หมาย ไม่มีทิศทาง มันมีแค่ความมืดมิดอันไร้จุดสิ้นสุดกับบรรยากาศวังเวงชวนกระอักกระอ่วน จนแอบรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเป็นไปหมด ดิสพยายามครุ่นคิด… คิดหาวิธีว่าจะออกจากที่นี่ยังไง แต่สิ่งที่เจอกับทำเขานิ่งชะงักไป ตึ่ก…แกร๊ก เพลงไทยเดิมบรรเลงดังขึ้น หญิงสวมชฎาร่างกายห่อหุ้มผ้าปักลายงามวิจิตร ทุกครั้งที่ร่ายรำอยู่ไม่ห่างจากเขา จะเห็นผ้าห่มนางยาวถึงข้อเท้าไหวตามท่าทางแช่มช้อย ก่อนท่วงท่าเหล่านั้นจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปอย่างสยดสยอง กระทั่งข้อต่องอหักเกิดเสียงดัง จนดิสที่ตกตะลึงค่อยๆ ผละถอย ใบหน้าหญิงสาวสวมปิดทับด้วยหน้ากากทองมันวาว ซึ่งทวีคูณความกดดันจนดิสเริ่มหน้าซีด ‘นี่เรามาปิดดันเจี้ยน หรือมาปราบผีกันแน่วะเนี่ย? ’ ปลายนิ้วนางรำค่อยๆ งอกจนยาวแหลม สะบัดหมุนข้อมืออย่างงดงาม แต่เมื่อขูดขีดโดนความมืดรอบข้างกลับเกิดสะเก็ดไฟขึ้น ดิสค่อยๆ พยายามตั้งสติ ก่อนจะลุกยืนขึ้นช้าๆ ‘ใจเย็นมันคือมอนเตอร์ไม่ใช่ผี เราจัดการได้น่า’ พอดิสว่าจบก็สูดหายใจเข้าเต็มปอด “มาลองกันดูสักตั้ง” To be continued →
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD