3
2
1
วดีเริ่มนับพอถึง 0 โดมบาเรียก็ค่อยๆ เปิดออก ดิสมองภาพเงาะป่า 3 – 4 ตัวพุ่งเข้ามาด้วยความประหม่า
ไม่ได้ ตอนนี้เขาจะมัวแต่เหม่อไม่ได้ ดิสเบี่ยงตัวหลบกรงเล็บที่ข่วนมาทางเขาอย่างรวดเร็ว แล้วชกสวนไปอย่างจังที่ท้องของมอนเตอร์ด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
อสูรกายร่างยักษ์กระเด็นไถลไปกับพื้น ดิสมองภาพนั้นอย่างอึ้งๆ ไม่เชื่อสายตาตัวเองสักเท่าไหร่
‘อัปไปนิดเดียวเอง เราเร็วแล้วหมัดแรงขนาดนี้เลยเหรอ? ’
ดิสคิดว่าพลังโจมตีของเขาที่มีแค่ 25 นั้นจะไม่ต่างจากคนธรรมดาสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เขาก็ได้รู้แล้วว่าหมัดตัวเองนั้นทรงภารานุภาพขนาดไหน ส่วนความเร็วก็พอๆ กับนักกรีฑามือาชีพไม่ก็มากกว่านิดหน่อย
ขณะที่ดิสมัวแต่มองภาพเงาะป่าตัวที่เขาเพิ่งต่อยยันกายลุก ราชาวดีก็ตะโกนเรียกสติ
“ดิส อย่ามัวเหม่อลอย!”
เขาหลุดจากห้วงภวังค์แล้วหันกลับไปมองเงาะป่าที่พุ่งเข้ามาทันที ปรากฏว่าที่เขายังยืนเหม่อลอยได้แบบนี้เป็นเพราะว่าราชาวดีนั้นกางบาเรียกันการโจมตีจากเงาะป่าที่เหลือไว้ให้
พอเห็นว่าดิสกลับมาโฟกัสกับการต่อสู้อีกครั้งแล้ว ราชาวดีจึงสลายบาเรียออก ดิสพุ่งไปต่อยเข้าที่หน้าเงาะป่าตัวหนึ่งทันที
มอนเตอร์ตัวนั้นกลิ้งไปหลายตลบ แต่ดิสก็ไม่มีเวลาได้ชะล่าใจเพราะเงาะป่าอีกตัวได้ข่วนกรงเล็บใส่เต็มแรงที่ท้องของเขาจนกลิ้งไปกับพื้น
อั่ก!
ดิสยันกายลุกขึ้นคลานในจังหวะเดียวกันนั้นราชาวดีก็รีบกางบาเรียเวทย์กันไว้ให้
“เป็นไรมั้ยดิส!? ” ราชาวดีตะโกนถามอย่างเป็นห่วง
ดิสที่ลุกขึ้นนั่งได้ก็หันไปมองราชาวดีที่ยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลัง เขาสำรวจตัวเองก็พบว่านอกจากเสื้อที่ขาดแล้ว เขาก็มีเพียงรอยข่วนจางๆ เท่านั้น
‘นี่คงเป็นเพราะค่าความอึดที่อัปมาสินะ’
เขาหันไปตะโกนตอบราชาวดีก่อนจะลุกขึ้นยืน “ไม่เป็นไร ยังไหวอยู่”
ราชาวดีได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วสลายบาเรียอีกครั้ง
คราวนี้ดิสเพ่งสายตามองไปมอนเตอร์ที่พุ่งเข้ามา 3 – 4 ตัวอย่างมีสมาธิ เขาค่อยๆ ยกมือสองข้างขึ้นมากำหมัดและตั้งการ์ด
‘เห็นได้ชัดแล้วว่าเราอยู่ในระดับที่เหนือกว่าเจ้าพวกนี้ เราไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีกแล้ว’
มอนเตอร์ตัวที่เขาต่อยไปก่อนหน้านี้พุ่งมาอย่างฉุนเฉียวหมายจะแก้แค้น ตอนนี้เขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ไอ้ลูกกระจ๊อกพวกนี้เขาไม่มองมันเปัญหาอีกต่อไป
ดิสหลบกรงเล็บแหลมก่อนจะชกเข้าที่ปลายคางมันอย่างแรง มันตายคาที่ทันทีอย่างไม่รู้ตัว ร่างยักษ์กลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ
ดิสรีบผละถอยหลบการโจมตีของอีกตัวแล้วเตะเข้าที่ก้านคออย่างแรงจนได้ยินเสียงดัง กร๊อบ!
อีก 2 ตัวคำรามเสียงดังแล้วพุ่งเข้าหมายจะแก้แค้นให้เพื่อนมัน แต่ดิสยังคงคุมสถานการณ์ได้ เขาย่อตัวหลบการโจมตีของเจ้าตัวแรกที่พุ่งมา ก่อนจะสปริงตัวต่อยเสยคางอย่างแรง จนตัวมันลอยขึ้นกลางอากาศแล้วตกลงมากระแทกชักดิ้นชักงอกับพื้น
ตัวที่สองยิ่งไม่ใช่ปัญหา เขาถีบเข้าที่ท้องมันอย่างแรงได้ยินเสียงกระดูกสันหลังหัก
เขามองมอนเตอร์ที่ตนสังหารนอนกองกับพื้นพลางกับสูดลมหายใจ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะฆ่าสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่าง แต่เมื่อมันเป็นเหตุจำเป็นแบบนี้เขาก็ต้องทำใจ อนาคตตนอาจต้องทำมากกว่านี้เป็นแน่
เขาสะบัดมือสองข้างไปมาเพื่อผ่อนคลาย ‘ดีนะที่ยังจำวิชามวยที่เคยเรียนตอนเด็กๆ ได้ ไม่นึกเลยว่าต้องเอาใช้กับอะไรแบบนี้’
พอได้อัดมันล้มไปหลายตัว ความกลัวที่มีในใจก็หายไปหมดสิ้น เขาพุ่งกระโจนเข้าไปซัดพวกที่เหลืออย่างไม่ยากนักจนหมด ตอนนี้ไม่เหลือพวกเงาะป่าบนถนนอีกแล้ว
“ตอนนี้ก็เก็บพวกลูกกระจ๊อกครบตามเควสแล้ว”
เขาว่าด้วยอาการหอบ มันอาจจะไม่ยาก แต่ก็เหนื่อยไม่น้อยที่ต้องทำแบบนี้
ราชาวดีเดินตรงมาหาเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าคาดไม่ถึง
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าดิสทำมันได้ง่ายๆ แบบนี้ไม่ต้องพึ่งเรายังได้”
ดิสยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองเบาๆ “เราก็พึ่งจะรู้นี่แหละว่าเราทำได้ขนาดนี้”
ราชาวดีหันไปมองรอบๆ “ถ้าให้เราพูด ตอนนี้ดิสคงมีฝีมือที่สูงกว่าพวกคลาส B ไม่น้อยเลย”
ดิสเกาแก้มตัวเองเล็กน้อย ‘ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเราจะเก่งขนาดนี้’
ราชาวดีมองดิสอย่างพินิจ เธอไม่คิดว่าเขาจะมีฝีมือถึงเพียงนี้ เธอประเมินเขาต่ำเกินไป เลยค่อนข้างจะรู้สึกผิดเล็กน้อย
ขณะที่หนุ่มสาวกำลังยืนคุยกัน ประชาชนก็ถูกอพยพจนเสร็จสิ้น ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มกลับมาปกติแล้ว แต่ราชาวดีไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไม่มีพรานทมิฬคนไหนโผล่มาที่นี่
ดิสที่เห็นราชาวดีทำท่าทางเหม่อลอยแบบนั้นก็ยื่นมือไปสะกิดไหล่เธอ “เป็นอะไรรึป่าว? ”
เธอหันไปมองทางดิสเล็กน้อย “เราแค่สงสัยว่าทำไมพวกพรานทมิฬคนอื่นๆ ยังมาไม่ถึงสักที? ”
ดิสที่ได้ยินแบบนั้นก็เลิกคิ้ว ‘นั่นสิ พวกนั้นควรจะมาถึงตั้งนานแล้ว ถ้าราชาวดีไม่ลงมา บอกเลยว่ามีการสูญเสียเกิดขึ้นแน่นอน’
ในขณะนั้นเองก็ปรากฏวงเวทย์สีฟ้าใสขึ้นที่พื้นไม่ห่างจากพวกเขานัก ทั้งสองหันขวับไปมองเป็นตาเดียว ไม่นานก็ปรากฏกลุ่มวัยรุ่นยืนขึ้นกลางวงเวทย์
ดิสเลิกคิ้ว ‘การเทเลพอร์ตเหรอ? ’
คนกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยวัยรุ่นสามคน หญิง 1 ชาย 2 แล้วที่สำคัญคัญคอพวกเขาทุกคนห้อยสร้อยแท็ก ซึ่งนั่นมีความหมายว่าพวกเขาคือ ‘พรานทมิฬ’
To be continued →