เสียงปรบมือดังเกรียวกราวจากผู้คนมากมายทันทีที่เขาพูดจบจนหญิงสาวยังอดที่จะปรบมือตามไปด้วยไม่ได้ อีกฝ่ายสามารถใช้คำพูดต่อหน้าผู้คนได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ สมกับที่เป็นดาราชื่อดังจริง ๆ เขามีความเป็นมืออาชีพมากเสียจนเธอเทียบไม่ติด
“ทั้งสองท่านพูดได้ดีมากเลยครับ ผมฟังแล้วยังรู้สึกอยากจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของประเทศบ้างถึงจะไม่มีโอกาส... ถ้าอย่างนั้นขอเชิญคุณทั้งคู่ไปรอที่หลังเวทีก่อนนะครับ สำหรับค่ำคืนนี้ผมซึ่งเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมก็ขอให้ทุกท่านมีความสุขที่ได้มาร่วมงานคืนสู่เหย้านะครับ เดี๋ยวผมจะคืนไมค์ให้ท่านที่ร้องคาราโอเกะต่อ”
ชายหนุ่มและหญิงสาวเดินลงไปรอที่หลังเวทีโดยไม่ได้พูดคุยกันเพราะอริสารู้ตัวดีว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากเสวนากับเธอนัก เพียงไม่นานพิธีกรก็เดินตรงเข้ามาหาพวกเขาแล้วชื่นชมทันที “พวกคุณพูดได้ดีมากเลยครับ ในฐานะที่โรงเรียนของเรามีศิษย์เก่าที่เก่งมากจนสามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศได้ ผมอยากจะขอให้คุณสองคนช่วยไปแชร์ประสบการณ์ให้รุ่นน้องที่ยังเรียนอยู่ได้ฟังด้วย... พอจะสะดวกไหมครับ”
“สะดวกค่ะ” เธอรีบตอบทันทีเพราะปกตินอกจากการทำขนมก็ไม่ค่อยมีอะไรที่ต้องทำเป็นพิเศษ
“ผมขอดูตารางงานของตัวเองก่อนแล้วกันนะครับ” สายตาคมปรายมองเธอเพียงหางตาก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบอย่างที่มักจะได้ยินเป็นประจำ พิธีกรจึงหยิบกระดาษซึ่งดูเหมือนกำหนดการขึ้นมาดูแล้วบอกพวกเขาด้วยความสุภาพ “วันที่ทางโรงเรียนขอจะเป็นวันที่ 3 เดือนหน้านะครับ อีกสี่วันข้างหน้านี้... ไม่ทราบว่าพอจะสะดวกกันหรือเปล่า”
“สะดวกค่ะ ไม่ได้มีงานที่ต้องเร่งทำเป็นพิเศษอยู่แล้ว” เธอเอ่ยตอบแล้วจึงลอบมองคนตัวสูงซึ่งกำลังเช็กบางอย่างในโทรศัพท์ เขาผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้เช่นเดียวกัน ทว่าในสายตาของคนอื่นนั่นไม่ใช่ท่าทีที่แปลกแต่อย่างใด ดาราชื่อดังคิวงานแน่นก็คงจะมีเหนื่อยล้าบ้างเป็นธรรมดา
“วันนั้นผมว่างพอดีครับ”
“โอ้ เยี่ยมเลยครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะส่งหัวข้อในการพูดคร่าว ๆ ไปให้นะครับ...หากพวกคุณสองคนมีการส่งบทกันไปมาก็น่าจะช่วยให้ไม่น่าเบื่อ น้อง ๆ จะได้สนใจกับเนื้อหาที่พูดด้วย”
“ได้ครับ” คำพูดของเขาฟังดูเหมือนกัดฟันอย่างไรชอบกลขณะเบนสายตามามองเธอ “ถ้าอย่างนั้นคุณอริสาอยากจะพูดคุยเรื่องบทกับผมตอนนี้ดีไหมครับ”
หญิงสาวรับหัวข้อของบทที่ต้องพูดจากคุณพิธีกรก่อนจะหันมายิ้มแห้ง ๆ ให้กับอีกฝ่ายแล้วรีบโค้งศีรษะให้ เธอรู้สึกเหมือนจะโดนเชือดอย่างไรชอบกล “ได้ค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
พิธีกรที่เห็นว่าพวกเขาคุยกันรู้เรื่องแล้วจึงเดินแยกออกไปเอนเตอร์เทนคนในงานต่อ ทิ้งให้พวกเขายืนอยู่ด้วยกันโดยไม่รู้เลยว่าหญิงสาวอยากจะมุดหายไปจากตรงนี้เสียเหลือเกิน... แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้ใกล้ชิดกับคนที่ตัวเองแอบชอบมานานนะ ต้องสู้ ๆ สิ
“เอ่อ...คือ” อริสารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นรูปปั้นแข็งทื่อเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เธอไม่มีสติเอาเสียเลยจนเขาต้องเป็นฝ่ายเปิดประเด็นด้วยเสียงดุ “คุณอยากพูดส่วนไหนบ้าง”
เธอรีบหยิบกระดาษในมือขึ้นมาดูแล้วเรียบเรียงทุกอย่างในหัว “พี่...เอ่อ คุณ...แนะนำตัวก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะแนะนำแนวทางการสอบเข้าให้น้อง ๆ เอง เพราะว่าตอนที่สอบเข้าฉันเป็นคนหาซื้อหนังสือมาอ่านเองทุกวิชาเลย แล้วก็...”
“ผมไม่อยากรู้” คนที่โดนตัดบทถึงกับหน้าเจื่อน เธอจึงทำได้เพียงเงียบฟังเขาเอ่ยต่อ “ถ้าอย่างนั้นผมเล่าประสบการณ์ของตัวเองและให้กำลังใจรุ่นน้องก็แล้วกัน คุณก็พูดประเด็นถัดจากผมไป”
“ได้ค่ะ” เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจดบันทึกสิ่งที่ต้องทำแล้วรวบรวมความกล้าเอ่ยถามเขา “คือว่า...คุณอยากจะซ้อมบทไหมคะ”
“ไม่จำเป็นหรอก ตกลงกันเท่านี้ก็พอ” เขาเอ่ยแทบจะทันที อีกทั้งยังไม่มีวินาทีไหนที่มองเธอแล้วเดินจากไปท่ามกลางฝูงชนที่รายล้อมรอบตัว เธอได้แต่มองตามเขาพลางนึกในใจว่าอีกฝ่ายยังใจร้ายใส่กันเหมือนเคย แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังคงดูดีและเปล่งประกายในสายตาเธอเป็นอย่างมาก ทั้งใบหน้าหล่อจัด ผิวพรรณสะอาดสะอ้านและบุคลิกท่าทางอันมีเสน่ห์น่าหลงใหล ไม่แน่ว่าตอนนี้เธออาจจะทั้งรักและหลงเขาไปแล้วจริง ๆ
“ไปก่อนนะแก ว่าง ๆ ก็มาคุยกันได้นะ” หญิงสาวบอกลาเพื่อนในเวลาเกือบห้าทุ่มหลังจากจบงานเลี้ยงคืนสู่เหย้าแล้วจึงโบกแท็กซี่แถวนั้นนั่งกลับบ้าน เธอนั่งคิดถึงเรื่องวันนี้ไปตลอดทางจนกระทั่งถึงบ้าน และความเหนื่อยอ่อนก็ทำให้อริสาผล็อยหลับไปในเวลาไม่นาน
เมื่อถึงวันที่ต้องออกไปเล่าประสบการณ์ให้รุ่นน้องในโรงเรียนฟังจริง ๆ เธอก็สามารถทำได้เป็นอย่างดีเพราะฝึกซ้อมหน้ากระจกแทบทุกวัน โดยไม่ต้องพูดถึงคนข้างกายเลย...เพราะเขาไม่เคยผิดพลาดกับเรื่องใดอยู่แล้ว เขาสามารถทำให้งานวันนี้ออกมาได้อย่างไร้ที่ติตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ว่าอีกฝ่ายอาจจะเกลียดเธอด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่เธอก็อยากขอบคุณเขาที่ช่วยให้ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
“ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะสำหรับวันนี้”
“นี่เป็นงานของผม คุณไม่จำเป็นต้องพูดคำนั้นหรอก” ชายหนุ่มมีสีหน้าแปลกใจซึ่งมันเปลี่ยนไปจากที่เธอเคยเห็นเล็กน้อย หญิงสาวยิ้มกว้างก่อนจะรีบโค้งตัวลงพร้อมยกมือไหว้คนอายุมากกว่า “ถ้าไม่มีคุณทุกอย่างคงลำบากกว่านี้มาก ก็เลยแค่อยากขอบคุณเท่านั้นเองค่ะ”
“ครับ ถ้าอย่างนั้นแยกกันตรงนี้เถอะ ผมมีงานต้องไปทำต่อ” ร่างสูงใหญ่ยกนาฬิกาขึ้นมาดูหน้าปัดซึ่งแสดงเวลาราวกับต้องการจะบอกเธอว่าเขากำลังจะสาย ทั้งสองจึงแยกย้ายกันไปทำสิ่งที่ต้องทำต่อ โดยที่วันนี้อริสายิ้มได้กว้างขึ้นกว่าวันที่แล้วมา
อย่างน้อย... พี่ยังมีความใจดีหลงเหลืออยู่บ้างนี่นะ