ประโยคคำพูดนั้นดังสะท้อนในใจของเธอซ้ำไปซ้ำมาเหมือนระฆังที่ดังไม่หยุด...สิ่งที่เขาต้องการจะบอกเธอคือสิ่งนี้สินะ หญิงสาวฝืนยิ้มพร้อมกับพยักหน้าตอบรับคำพูดของอีกฝ่ายแล้วพยายามเดินลงจากเวทีให้เร็วที่สุดจนสะดุดเกือบล้มทว่าก็ไม่มีใครสนใจ เพราะเธอเป็นเพียงหนึ่งในคนที่คนอื่นมองว่าเป็นแฟนคลับเท่านั้น ไม่ได้มีความสำคัญใด ๆ เลย...
และทันทีที่อริสาลงมาจากเวทีพร้อมข้อเท้าซ้ายที่เจ็บ เธอก็ตัดสินใจเดินออกไปจากงานโดยไม่สนใจใครอีกเลย ดวงตาคู่สวยฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตาที่พร้อมจะหยดลงมาได้ทุกเมื่อจนเธอต้องรีบปาดมันออกขณะเดินตรงกลับไปขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน
วิถีถนนหรือแม้แต่ทางเท้าของประเทศไทยนั้นไม่ได้น่าพิสมัยนัก มีแต่หลุมมีแต่บ่อ แต่ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์จะมาสนใจสภาพแวดล้อมที่ดีบ้างแย่บ้าง เพราะตอนนี้อริสากำลังอยากทำให้ตัวเองรู้สึกแย่จนถึงที่สุด เพื่อที่ว่าเธอจะได้ไม่ต้องกลับไปรักผู้ชายใจร้ายคนนั้นอีก...
หญิงสาวปล่อยน้ำตาให้ไหลอาบแก้มขณะเดินแบบไม่ค่อยถนัดเข้าไปในบ้านของตัวเอง เธอไม่สนใจเสียงเรียกของคนในบ้านที่ต้องการจิกหัวใช้ให้ทำงานบ้านอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เธอแค่ต้องการอยู่คนเดียว เธอต้องการเวลาทำใจ…
ร่างบอบบางนั่งชันเข่าซบใบหน้าลงบนนั้นแล้วร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในทีแรกท่าทางของเขาดูเย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึกอยู่แล้วก็จริง แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะถึงขั้นเกลียดเธอไปแล้ว...เธอทำอะไรให้เขาเสียใจกันนะ ถึงต้องทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้ เธอไม่เคยทำร้ายจิตใจเขาเลยสักครั้ง...ทำไมต้องเป็นตัวเองอีกแล้วที่ถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เธอยื่นมือไปหยิบกล่องพยาบาลมาทำแผลที่ข้อเท้าให้ตัวเอง แม้จะเจ็บปวดแต่ก็ต้องกัดฟันทนให้ได้... เพราะเธอดันเป็นคนซุ่มซ่ามเอง
Rrr! Rrr!
มือเรียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูคนที่โทร. เข้ามา เมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนคนสำคัญของแม่แท้ ๆ จึงกดรับสายโดยไม่ได้คิดอะไรทั้งที่ยังไม่หยุดสะอื้นดีนัก “สวัสดีค่ะคุณป้า”
(สวัสดีจ้ะหนูเอ๋ย เสียงหนูดูเศร้า ๆ นะจ๊ะ ป้าโทรมารบกวนหรือเปล่า)
ลูกชายคุณป้านั่นแหละค่ะที่ทำหนูร้องไห้... หญิงสาวคิดในใจขณะพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอให้หมดแล้วรีบพูดด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนเคย
“เปล่าหรอกค่ะ ว่าแต่คุณป้ามีอะไรหรือเปล่าคะ” เธอพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด
(จำพี่โฟมได้ไหมลูก ครอบครัวเราสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก...ป้าก็เลยจะมาถามเรื่องแต่งงานน่ะ อยากให้ลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที)
“จำได้ค่ะ แต่ตอนนี้พี่โฟมก็เป็นดาราดังไปแล้วนี่คะคุณป้า”
(ใช่จ้ะ ป้าอยากให้หนูแต่งงานกับพี่โฟม ป้ากับแม่ของหนูเคยพูดกันเรื่องนี้ ก่อนที่แม่ของหนูจะเสีย ป้าอยากดูแลหนู)
“จะดีเหรอคะคุณป้า พี่โฟมอาจจะมีผู้หญิงที่รักอยู่แล้ว”
(ดีสิ ป้าไม่เห็นใครเหมาะสมกับพี่โฟมเท่าหนูเอ๋ยอีกแล้ว เชื่อป้านะลูก หนูจะได้ออกมาจากบ้านหลังนั้นเสียที)
“หนูขอเวลาให้ทำความรู้จักกับพี่โฟมอีกครั้งนะคะคุณป้า”
(ขอบใจมากนะลูก ป้าจะได้นอนตายตาหลับได้แล้วเพราะรักษาสัญญาที่ให้กับแม่ของหนูได้)
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสักพักจึงวางสายไป ทิ้งให้อริสาอยู่กับความกังวล เพราะแค่นี้ปภังกรก็เกลียดเธอมากแล้ว ถ้าเขาต้องโดนบังคับให้แต่งงานกับเธอ เขาจะเกลียดเธอเพิ่มมากอีกแค่ไหน เฮ้อ…
…
ร่างสูงก้าวเข้าไปภายในร้านอาหารหรู สำหรับเรื่องเมื่อตอนกลางวันที่เขาบอกกับอริสาไปนั้นเป็นความจริงทุกประการ แม้ว่าเศษเสี้ยวหนึ่งในใจของเขาจะรู้สึกแย่ที่เห็นแววตาเสียใจมากขนาดนั้น แต่บางทีอีกฝ่ายอาจจะเสแสร้งให้ตัวเองดูน่าสงสาร และเขาไม่มีวันที่จะสงสารคนแบบนั้นอย่างแน่นอน ปภังกรคิดพลางนั่งลงที่เก้าอี้ตรงโต๊ะอาหารตัวหนึ่งซึ่งมีหญิงสาวนั่งรออยู่แล้ว เขาไม่อยากมาพบเธอแต่เพราะเธอบอกว่าจะพบกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย เขาจึงยอมมา
“สั่งอะไรก่อนไหมคะพี่โฟม จินนี่สั่งอาหารไว้แล้วสองสามอย่าง”
“ไม่เป็นไรครับ เข้าเรื่องมาเถอะ” ดวงตาคมมองลึกเข้าไปยังนัยน์ตากลมโตหวานซึ้งราวกับต้องการล้วงความจริงบางอย่างออกมา ริมฝีปากสวยกดยิ้มเล็กน้อยแล้วหยิบไวน์ชั้นดียกขึ้นจิบก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“ที่ผ่านมาจินนี่ใจร้ายกับพี่ไปเยอะมากเลย ขอโทษจริง ๆ นะคะ...ตอนนั้นจินนี่ยังรักสนุกเกินไปเลยไม่ทันยั้งคิดว่ามันจะทำให้พี่เสียใจถึงขนาดนี้”
“เหรอครับ?” ปภังกรพูดออกมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาของอริสาลอยเข้ามาในหัวของเขาราวกับมันต้องการเตือนอะไรเขาบางอย่างจนปภังกรต้องรีบสลัดหัวไปมา
“ก็ได้ค่ะ จินนี่ขอโทษค่ะ” จินนี่หน้าตาหม่นเศร้าลง
“อืม…” ชายหนุ่มตอบรับไปแบบส่ง ๆ เพราะไม่อยากสนทนาอะไรกับเธอมากไปกว่านี้
“ไม่เป็นไรค่ะ จินนี่เข้าใจค่ะ ขอโทษที่ทำให้พี่โฟมลำบากใจนะคะ” ชายหนุ่มหันเหความสนใจไปที่จานอาหารแทน เขาใช้ส้อมจิ้มมันฝรั่งเข้าปากก่อนจะพยักหน้ารับ
“จินนี่จะไม่บังคับให้พี่อึดอัดใจหรอกค่ะ...งั้นเรามาทานอาหารกันดีกว่านะคะ” หญิงสาวพูดพลางรับประทานอาหารในจานของตนเองด้วยท่าทีปกติ พวกเขาพูดคุยสัพเพเหระกันไม่เยอะนัก ส่วนมากจะเป็นฝ่ายจินนี่ที่ชวยคุยเสียมากกว่า...จนกระทั่งดินเนอร์ในวันนี้จบลง ในตอนที่ดาราหนุ่มกำลังจะลุกขึ้นขอตัวกลับเธอก็เอ่ยรั้งเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวสิคะ...ข้อมือพี่ไปโดนอะไรมาเหรอคะ เหมือนจะเป็นแผลเลย”
ชายหนุ่มนำแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวมาปกปิดข้อมือของตนเอาไว้ทันทีก่อนจะเอ่ยบอกเธอด้วยน้ำเสียงปกติ “ไม่มีอะไร แค่เผลอไปโดนของมีคมน่ะ เดี๋ยวก็หายแล้ว”
เขาไม่อยากนึกถึงแผลนี้สักเท่าไรนัก เพราะมันเป็นแผลที่เขาเพิ่งจะโดนกระดาษบาดมาในเวลาไล่เลี่ยกับที่ผู้หญิงคนนั้นสะดุดล้มบนเวที แววตาเศร้าปนโศกยามที่พยายามฝืนยิ้มให้เขามันยังติดอยู่ในหัว ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าเขาก็รู้สึกเสียใจเหมือนกันที่ใช้คำพูดรุนแรงแบบนั้นกับเธอ
“แต่แผลดูเหมือนเพิ่งมีไม่นานเองนะคะ”
“ผมจัดการตัวเองได้”
ชายหนุ่มเดินเร็ว ๆ ออกจากร้านหลังจากเช็กบิลเสร็จเรียบร้อยโดยไม่ทันได้ฟังสิ่งที่หญิงสาวพูดตามหลัง เขาตรงไปขึ้นรถแล้วขับออกไปที่คอนโดของตนหวังจะพักผ่อนหลังจากเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน
ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างพลางถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า เขากำลังรู้สึกวุ่นวายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและไม่ควรจะเป็น... แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเกิดขึ้นไปแล้ว เขาไม่ชอบตัวเองในตอนที่ต้องคิดหลายเรื่องจนตีกันในหัวมากมายแบบนี้เลยสักนิด ทั้งเรื่องของผู้หญิงที่เขาเกลียดซึ่งเซนส์ของเขาบอกว่าเธอคนนี้ไม่ใช่คนแบบที่คิด ไหนจะเรื่องของจินนี่ แฟนเก่าที่พยายามกลับเข้ามาในชีวิตเขาโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใดกันแน่
มือหนาวางก่ายบนหน้าผากของตนก่อนจะนึกทบทวนเรื่องราวซ้ำไปซ้ำมาแล้วจึงผล็อยหลับไปด้วยความเพลียในที่สุด