“ก็จินนี่โทรหาแล้วพี่โฟมไม่รับสายนี่คะ เป็นห่วงกลัวว่าพี่จะเป็นอะไร...เลยอยากมาเจอพี่ด้วยตัวเอง จินนี่คิดถึงพี่มากเลยนะคะ” นัยน์ตาคู่สวยช้อนขึ้นมองเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“เราเลิกกันแล้วนะครับเผื่อคุณลืม” ปภังกรพูดออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยติดจะไม่พอใจ หึ…
“จินนี่แค่อยากขอโทษสำหรับเรื่องที่ผ่านมาค่ะ ขอโทษที่เคยทำร้ายจิตใจพี่แบบนั้น... พี่โฟมยังไม่ต้องให้อภัยตอนนี้ก็ได้นะคะ แต่...ฮึก ให้โอกาสจินนี่พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งได้ไหมคะ” เสียงร้องไห้ของคนที่เคยรัก ทำให้ดาราหนุ่มในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะยื่นทิชชู่ให้เธอ แม้จะไม่ได้เอ่ยคำปลอบโยนอย่างจริงจังทว่าการกระทำเพียงเท่านี้ก็มากพอที่จะทำให้แฟนเก่าอย่างเธอมีหวัง เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาทั้งน้ำตา
ถึงแม้ว่าเขาจะใจอ่อนลงมากพอสมควรแต่ไม่ได้หมายความว่าจะยอมเธอได้ทุกอย่าง อย่างน้อยเหตุการณ์ในอดีตก็สร้างบาดแผลในจิตใจของเขามากพอจนไม่อยากเชื่อใจคนคนนี้ง่าย ๆ เขาจึงตัดสินใจตอบตัดบทให้มากที่สุด “พอเถอะครับ กลับไปได้แล้วและไม่ต้องมาหาผมที่นี่อีก” เขาพูดออกมาอย่างไม่รักษาน้ำใจ เพราะเธอเป็นคนที่ทิ้งเขาไปก่อนเมื่อหลายปีก่อน เพราะตอนนั้นเขายังเป็นแค่นายแบบโนเนม แต่พอตอนนี้เขามีชื่อเสียงก็เลยจะกลับเข้ามาหวังผลประโยชน์จากเขาอีก
ปภังกรจำได้ว่าตอนนั้นเขาหัวใจแหลกสลายมากขนาดไหน...
“...” ใบหน้าสวยหวานเปื้อนคราบน้ำตายิ้มกว้างออกมาจนดูจริงใจเหมือนรอยยิ้มเมื่อก่อนที่เขาชอบมอง ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรต่อโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของดาราหนุ่มก็มีสายเรียกเข้าเขาจึงได้โอกาสรับโทรศัพท์เพื่อหลีกเลี่ยงบทสนทนากับเธอ
“สวัสดีครับคุณแม่คนสวยของผม”
(ได้ยินเสียงลูกแล้วชื่นใจดีจริง ๆ เลย... ตอนนี้สุดหล่อของแม่อยู่ที่ไหนคะ)
“อยู่บริษัทคุณพ่อครับ ว่าแต่คุณแม่โทรมามีอะไรหรือเปล่าครับ”
(แม่แค่คิดถึงลูกชายคนดีไงคะ ว่าจะชวนมาดินเนอร์ด้วยกันสักหน่อย... พอจะสะดวกมาไหมลูก)
“ได้เลยครับคุณแม่” นัยน์ตาคมแอบเหลือบมองอดีตคนรักที่กำลังพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกโล่งใจ ต้องขอบคุณแม่ที่ติดต่อมาได้ทันเวลาจึงทำให้เขาได้ข้ออ้างปลีกตัวออกจากเธอเสียที “คืนนี้ผมว่างทั้งคืนเลย แล้วเจอกันที่บ้านนะครับ”
นิ้วเรียวยาวกดตัดสายจากผู้เป็นมารดาก่อนจะลุกขึ้นยืน พร้อมกับเก็บของให้เรียบร้อย ส่วนเอกสารที่เหลือพวกนั้นเดี๋ยวเลขาของพ่อของเขาจะมาเคลียร์ต่อเอง “ขอตัวก่อนนะครับ ผมมีนัดทานข้าวกับที่บ้าน”
“ถ้าจินนี่ขอไปด้วย...จะเป็นการขอมากไปหรือเปล่าคะ” ดวงหน้าสวยจัดเงยขึ้นมองเขาอย่างอ้อนวอนอีกครั้ง ทว่าเขาคิดทบทวนมาแล้วว่าหากเธอไปด้วยคงไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงตัดความหวังของเธออย่างง่ายดาย
“ผมไม่สะดวกใจครับ เชิญกลับไปได้แล้ว”
รถยนต์คันหรูสมฐานะขับเคลื่อนเข้ามาภายในรั้วคฤหาสน์หลังใหญ่ โดยผู้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของครอบครัวที่ไม่ได้กลับมาบ้านเป็นเดือน เนื่องจากหน้าที่การงานทำให้ยากจะหาเวลาว่างกลับมาทานข้าวกับพวกท่านได้ ชายหนุ่มขับรถผ่านลานน้ำพุขนาดใหญ่บริเวณหน้าบ้านที่ยังคงสวยงามตระการตาเหมือนอย่างเคย เขาขับรถไปจอดที่หน้าบ้านแล้วจึงขึ้นบันไดมาที่ส่วนโถง ดวงตมคมกวาดมองไปรอบบ้านคล้ายกำลังมองหาใครสักคน พลางเดินไปทางห้องรับประทานอาหารก่อนเขาจะเจอกับมารดาผู้กำลังช่วยแม่ครัวจัดวางจานอาหารอยู่จึงต้องเอ่ยทักพร้อมกับยกมือไหว้
“สวัสดีครับคุณแม่ ไม่เห็นต้องลำบากทำเองเลยครับ” เขารีบปรี่ไปช่วยมารดาจัดวางอาหารแล้วประคองให้หญิงวัยกลางคนซึ่งยังสวยสะพรั่งนั่งพักที่เก้าอี้ข้างหัวโต๊ะ
“ไม่ลำบากหรอกจ้ะ ลูกแม่จะมาทั้งทีก็อยากให้ได้ชิมฝีมือแม่บ้างสิจ้ะ” ชายหนุ่มระบายยิ้มจางๆ ให้แม่ของตน เขาค่อนข้างสนิทกับแม่มากกว่าพ่อเพราะแม่มักจะมีเวลาว่างให้เขามากกว่า เนื่องจากส่วนใหญ่แม่ของเขาจะอยู่บ้านและออกงานตามที่ได้รับเชิญเป็นส่วนใหญ่ แม่ของเขาที่มีนิสัยอ่อนโยนมากกว่าพ่อของเขาหลายเท่าจึงทำให้เขาสะดวกใจที่จะบอกหลายสิ่งหลายอย่างกับผู้เป็นแม่
“ขอบคุณครับ ผมคิดถึงแม่มาก...ไม่ได้เจอแม่มาน่าจะเดือนกว่าแล้วหรือเปล่าครับ นับจากที่ผมมาทานข้าวที่บ้านครั้งล่าสุด” ร่างสูงใหญ่สวมกอดผู้เป็นแม่ด้วยความคิดถึง จากเมื่อก่อนที่เขาเคยเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กกว่ามารดาทว่าตอนนี้กลับตัวสูงกว่าแม่ไปไกลเสียแล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ
“แม่ก็คิดถึงลูกมากจ้ะ จัดโต๊ะอาหารเสร็จแล้วเรามาทานข้าวกันเถอะ เดี๋ยวพ่อของลูกก็คงมา แม่ได้ยินเสียงรถเข้ามาแล้ว”
หลังจากนั่งรออยู่เพียงครู่คุณพ่อของเขาก็มานั่งประจำตำแหน่งหัวโต๊ะเหมือนอย่างเคย นับเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ครอบครัวเราได้รับประทานอาหารกันพร้อมหน้าพร้อมตา ดังนั้นวันนี้ปภังกรจึงรู้สึกมีความสุขมากเป็นพิเศษ และแม้เจ้าตัวจะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้ามากนัก แต่หากมองแววตาก็จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความสุขจากภายใน