แคว้นเฉิงหนาน ยามนี้สายลมพัดโชยแผ่วเบาชำแรกผิวกาย ดอกท้อในสวนผลิบาน ส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปทั่วนำความรื่นรมย์ ให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา หากทว่าในพื้นที่ของวังหลวง ณ ตำหนักหนึ่งภายในนั้นกลับมีผู้หนึ่งที่มีสีหน้าเคร่งขรึม แผ่รังสีกดดันคนที่อยู่ภายในจนไม่กล้าหายใจ
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ชินอ๋องขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เข้ามา” ขันทีคำนับศีรษะแทบติดพื้น ถอยหลังทีละก้าวก่อนเหลียวกายเดินออกไปนอกประตูเพื่อเชิญบุรุษรูปงามกำยำเข้ามา
“ข้าน้อยชินอ๋องถวายบังคมฝ่าบาท”
“มาแล้วรึ กว่าข้าจะตามตัวเจ้าเข้าวังได้มิใช่เรื่องง่ายเลยนะ” สุรเสียงเยียบเย็นเปล่งออกมาระคนหนักใจ
“กระหม่อมขอพระราชทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าฝ่าบาทประสงค์ให้กระหม่อมทำการสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องมากพิธี เจ้าพูดกับข้าดังบุตรสนทนากับบิดาเถอะ”
“หากพระองค์ทรงโปรด กระหม่อมจะทำตามรับสั่ง แล้วเสด็จพ่อมีเรื่องใดจะเรียกใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ามีแน่ และเรื่องที่ข้าจะพูด เป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้าโดยตรง”
“ขอเสด็จพ่อโปรดชี้แจง”
“แม่ทัพหลินหมิงซู่เป็นสหายรักของข้า เจ้าจำได้หรือไม่”
“เอ่อ... กระหม่อมพอจำได้ลางๆ พ่ะย่ะค่ะ" เขาตอบแบบขอไปที ทั้งๆ ที่เขาก็จำได้แม่นยำเพราะเขาไปฝึกยุทธกับแม่ทัพท่านนี้บ่อยครั้ง เมื่อหลายปีมาแล้ว
“อืม หากเจ้าจะจำไม่ได้ก็มิแปลก เจ้าเคยพบกับสหายผู้นั้นนานมากแล้ว แต่ด้วยเขาจำต้องปกป้องแคว้นจำเป็นต้องไปอยู่นอกด่าน แต่เสียดายที่เขาได้เสียไป ต่อมาเกิดภัยธรรมชาติทำให้หลินฮูหยินและบุตรีจำต้องหนีภัย หากเดาไม่ผิดนางคงอายุราวสิบสี่ปีแล้ว ข้าต้องการให้เจ้าตามหาพวกนางกลับมายังเมืองหลวง”
“เรื่องเพียงแค่นี้เอง กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
“ยัง! ไม่เพียงเท่านั้น” เสียงเรียบหากแต่แววตานั้นลึกล้ำยากอธิบาย
“แล้วมีเรื่องอันใดอีกหรือเสด็จพ่อ" ความรู้สึกบางอย่างทำให้ผู้ฟังเกิดความหว่างโหวงในโพรงอกยังไงพิกล
"ข้าเคยรับปากทั้งให้คำสัญญาหมั้นหมายระหว่างเจ้ากับบุตรีของหลินหมินซู่ไว้และเวลานี้ก็เหมาะสมที่เจ้าควรตกแต่งนางเป็นหวางเฟย”
“ว่ายังไงนะ กระหม่อมฟังผิดไปใช่หรือไม่” ชินอ๋องถึงกับตะลึงเมื่อได้ยินจนต้องเปล่งวาจาถามให้แน่ใจ
“เจ้าฟังไม่ผิด" เสียงเรียบเอ่ยตอบอย่างไม่ยี่หระต่อท่าทีของบุตรชายเอาแต่ใจคนนี้
“เสด็จพ่อ. กระหม่อมขอทราบเหตุผล” น้ำเสียงจากเดิมที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วกลับยิ่งห้วนกระด้างมากขึ้น
“เจ้าคือคู่หมั้นหมายที่ข้าตกลงกับหลินหมินซู่”
“กระหม่อมไม่ขอแต่ง” เขาเอ่ยปฏิเสธทันควันไม่สนใจชายสูงวัยที่นั่งจ้องมองตนตาเขม็ง
“'รึเจ้าจะขัดบัญชาของข้า” ฮ่องเต้เริ่มมีโทสะเจือปนในน้ำเสียง
“เหตุใดเสด็จพ่อไม่รับนางมาเป็นสนมเล่า” นั่นไม่ใช่คำถามแต่เนื้อคำล้วนเต็มไปด้วยการประชดประชันจากน้ำเสียงของชินอ๋องเพราะนั่นเขาไม่พอที่มีใครสักคนมาบังคับเรื่องชีวิตของตน เขากล่าวพร้อมสะบัดหน้าหนีเพราะด้วยเวลานี้เขากำลังควบคุมอารมณ์โกรธของตนเองอยู่ หลังจากได้รับหวางเฟยแบบไม่ทันตั้งตัว
“ข้ามีรัชทายาท และบรรดาองค์ชายอย่างพวกเจ้าแล้ว ไยต้องคิดหาสนมให้ล้นวังอีกเล่า"
“ถ้าเช่นนั้นก็ควรให้กระหม่อมเลือกเอง" ฉีเทียนเหล่ยเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา น้ำเสียงใกล้เคียงกับการวิงวอนอย่างมาก จนแทบจะไม่รู้เลยว่าคนอย่างชินอ๋องก็สามารถวิงวอนขอความเป็นธรรมกับตนเองด้วยเช่นกัน
“เจ้าจะรับหรูเหริน หรืออนุใดก็เลือกเอาสิ แต่ตำแหน่งหวางเฟยข้าได้กำหนดให้เจ้าแล้ว”
“แต่กระหม่อมมิปรารถนาเช่นนั้น”
"ข้าปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น โอรสสวรรค์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ข้าสัญญาและหมั้นหมายไว้แล้ว อย่างไรก็ต้องแต่ง”
“เสด็จก็ทรงเลือกใครก็ได้นี่พ่ะย่ะค่ะ เหตุใดต้องเลือกกระหม่อมด้วยเล่า” เขาข่มความหงุดหงิดกดเอาไว้ใต้โพรงอกที่พลุกพล่านจนอึดอัดพลางกล่าวต่อ "หรือไม่เรื่องราวก็ผ่านมานานถึงสิบสี่ปีคงไม่มีใครมาจดจำหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“เก็บความคิดของเจ้าเสีย ข้ายึดในคำสัตย์ สัจจะใดที่กล่าวไว้ข้ามิอาจกลืนคำ และเจ้าตามหานางเพื่อแต่งเข้าเป็นหวางเฟย" ฉีเทียนเหล่ยหรี่ตานึกสงสัยในข้อกังขา
“ตามหานางอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ" น้ำเสียงปนประหลาดใจเอ่ยถาม
“ใช่... ตามหานางให้พบและนี่คือหลักฐานที่แสดงความเป็นตัวนาง" ฮ่องเต้ตรัสให้กงกงไปมอบให้ฉีเทียนเหล่ย
“เหตุใดต้องเป็นกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะข้าเชื่อในตัวเจ้า และเชื่อในสายตาของข้าเอง”
“คงไม่มีใครจำได้กระมังว่านางยังมีชีวิตอยู่” ชินอ๋องกล่าวด้วยโทสะที่เริ่มจะอัดอั้นไม่ไหว ส่วนฝ่าบาทมิได้ตำหนิสิ่งใดต่ออารมณ์ของชายตรงหน้า
“เจ้าเตรียมตัวเดินทางได้แล้ว ข้าจะให้เซียวหรูตามเจ้าไปด้วย ในการเสาะหานาง”
“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องน้อมรับอย่างไม่เต็มใจเหลียวหลังเดินออกห้องพระอักษร โดยมีองครักษ์เซียวหรูเดินตามออกมาด้วย
“เอ่อ กระหม่อมว่าชินอ๋องควรระงับอารมณ์ไว้ให้ดีกว่านี้ต่อหน้าฮ่องเต้นะขอรับ” เซียวหรูเอ่ยอย่างเกรงๆ
“หุบปาก!” เสียงตวาดดังลั่นจากคนตรงหน้าเซียวหรูส่งผลให้คนด้านหลังที่ติดตามมารับรู้ถึงพื้นอารมณ์ได้ดี
ฉีเทียนเหล่ยตวาดลั่นออกมาโดยมิสนใจผู้ใดในวัง แม้กระทั่งทหารที่ยืนประจำการอยู่ยังพลอยรับแรงโทสะนั้นไปด้วย จากเดิมที่ยืนตระหง่านราวภูผาต้องล้มครืนเพราะถูกฝ่าเท้าสัมผัสแรงด้วยแรงถีบเพียงเพราะขวางหูขวางตาตน
เขาเพียงแค่หวังว่าจะให้พระราชบิดาจะทรงยกเลิกพระราชโองการนี้ให้เหมือนหมอกควันแล้วมลายหายไปทันที ศักดิ์ศรีของความเป็นราชนิกุลอยู่ที่ใด และเหตุใดคนเช่นเขาต้องออกตามหาหญิงเพียงเพื่อเหตุผลที่ตนมิได้ก่อด้วยเล่า
ฉีเทียนเหล่ยจำต้องเดินทางกลับจวนชินอ๋องเพื่อเตรียมข้าวของในการเดินทางที่ไม่รู้ทิศทางและจุดมุ่งหมายแน่นอนและเตรียมคนให้พร้อมกับการพลิกแผ่นดินตามหาคุณหนูใหญ่ตระกูลหลินด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งยวด
แคว้นต้าเหว่ย
“เรียนชินอ๋อง เราหามาหลายแคว้นแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างรายละเอียดที่ฝ่าบาทให้มาไม่ได้ระบุชี้ชัดว่าอยู่ที่แคว้นนี้” เซียวหรูเอ่ย
“หาต่อไป ไม่เจอแคว้นนี้ก็เตรียมตัวกลับ แต่ต้องหาทุกที่ถ้าหาตามบ้านเรือนไม่ได้เจ้าก็ลองหาที่หอนางโลม” คำสั่งที่ดูไม่จริงจังดังออกจากปาก
“ขอรับ” เซียวหรูองครักษ์เอ่ยปากตอบเพราะตัวเขาเองก็เหนื่อยมากแล้ว
ฉีเทียนเหว่ยออกคำสั่งให้คนตามหาหลินโคว่เอ๋อตามพระราชบัญชาของฮ่องเต้ผู้เป็นพระราชบิดา ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองนั้นยังไม่เคยเห็นสีหน้าค่าตาของอีกฝ่าย และหลักฐานในการยืนยันว่าเป็นตัวนางคู่หมั้นหมายมีเพียงลายสักรูปดอกเหมยที่บั้นท้าย แล้วเขาจะขอให้ใครมาเปิดให้ดูได้เล่า เขาเป็นถึงชินอ๋องแห่งแคว้นเฉิงหนาน หาใช่โจรปล้นราคะ หรือครั้นจะป่าวประกาศออกไปมิใช่สตรีน้อยใหญ่ไปสักลายดอกเหมยมาสวมลอยเป็นนาง ตัวเขามิต้องแต่งเป็นหวางเฟยทั้งหมดหรอกหรือ ระหว่างที่เขาตกอยู่ในภวังค์ความคิดพลันมีคนผู้หนึ่งวิ่งตรงมา
“ชินอ๋องขอรับข้าน้อยให้คนจัดหาโรงเตี๊ยมไว้แล้วขอรับ”
“อืม แล้วระหว่างอยู่ที่นี่ห้ามใครเอ่ยนามข้า ทำตัวเป็นพ่อค้าเข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ”
“คืนนี้เจ้าลองไปหาที่หอนางโลม เจ้าไปดูสิว่าหอนางโลมที่แคว้นนี้มีที่ใดบ้าง” เขาสั่งนายทหารผู้นั้นหลังจากนั้นจึงหันไปสั่งอีกคน
“ส่วนเจ้าไปสืบมาว่ามีแม่ลูกคู่ใดย้ายมาอยู่ที่แคว้นนี้เมื่อสิบสี่สิบห้าปีก่อน”
“ขอรับ”
“ที่เหลือไปพักที่โรงเตี๊ยมก่อน” ฉีเทียนเหล่ยออกคำสั่งน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะเดินนำไปโดยมิได้สนใจผู้ใด ระหว่างนั้นเขาพลันครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรกับผู้หญิงที่จะมาเป็นหวางเฟยของเขา และหากเจอนางตัวเขาจะปฏิเสธนางเช่นไร