อ๊า...อื้อ!เจ้านี่มันสุดยอด จริงๆ เลย
เสียงครวญครางของคู่หญิงสาวบนตั่งเตียงซึ่งนอนทับร่างกันจนผิวกายชุ่มเหงื่อร่างแนบชิดราวกับวิญญาณผสานเป็นบุคคลเดียวกันและแล้วสองคนได้จบลงพร้อมเสียงเคาะประตู
ก๊อก ก๊อก
“เข้ามาสิ” เสียงหญิงสาวเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับสตรีเริ่มสวมอาภรณ์อย่างเอื่อยเฉื่อย
“ข้าเอาน้ำมาเปลี่ยนให้ ตามคำสั่ง”
“โคว่เอ๋อเองรึ เอาไปไว้ที่แล้วก็ไปพักเถอะเจ้าเหนื่อยทั้งวันแล้วนี่” หญิงที่ฟังคำสั่งพยักหน้าสาวเท้านำน้ำร้อนไปเทเพื่อให้หญิงผู้นั้นและชายซึ่งนอนเอกเขนกชำระร่างกาย หลังจากสู้รบกันบนเตียงมาหมาดๆ หลังนางเดินออกมา
“นี่โคว่เอ๋อ ข้าให้เจ้าสองอีแปะ ค่าเดิน” นางเดินไปรับเงินที่หญิงผู้นั้นหยิบยื่นให้
“หน้าตาเจ้าล้างบ้างนะ ดำมอมแมมอย่างนี้ เถ้าแก่เนี๊ยก็ให้เจ้าอยู่แต่ในครัว ทำงานเป็นกุลีอยู่นั่นแหละ ไปได้แล้ว… ข้าจะอาบน้ำ”
“ขอบใจนะ ข้าไปล่ะ” แต่ในใจของนางก็คิด หน้าตาอย่างนี้สิดี ข้าจะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยกับผู้ชายมักมาก แล้วก็เดินจากห้องเพื่อกับเรือนของตนในการพักผ่อนอันมีแสนน้อยนิด
--------------------------------------------------------------------------------------
ล่วงเข้ายามสี่ [1] หอนางหมื่นบุปผาหลินโคว่เอ๋อ รับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นต้องผิวกายจนต้องลืมตาตื่นขึ้นมา สายลมโชยปะทะแมกไม้ใบหญ้าส่งเสียงเสียดสีกัน บานหน้าต่างที่ดูจะเริ่มเก่ามีแสงประกายสีขาวเลือนรางให้คนด้านในเห็นว่าเป็นหิมะตกแรกแห่งปี
เท้าของนางมีแผลที่ทั้งแห้งและแตก นางทั้งเจ็บและคันจนเริ่มทนไม่ไหว ใช้เท้าทั้งสองข้างถูกันไปมาใต้ผ้าห่มที่แสนจะบาง นางนอนรอให้ฟ้าเริ่มสว่างเพื่อเตรียมเก็บกวาดห้องแต่ละห้องดังเช่นทุกครั้งหรือรอเวลาให้แขกเหรื่อที่มาเที่ยวยังหอแห่งนี้ จวบจนตะวันขึ้น
นางค่อย ๆ ลุกขึ้นจากที่นอน เตรียมพร้อมที่จะเริ่มภารกิจของวัน โคว่เอ๋อต้องล้างหน้าล้างตา เข้าครัวเพื่อทำอาหารเช้า นางง่วนอยู่กับการทำอาหารมื้อแรกของวันจวบจนนางทำมันเสร็จสิ้น นางลิ้มรสชาตินั้นก่อนผู้ใดเพราะความลำบากในอดีตสอนให้นางรับรู้ถึงการหาตัวรอดเพื่อให้ท้องต้องอิ่มก่อนดั่งคำมารดาเคยพร่ำสอนกองทัพต้องเดินด้วยท้อง
นางกินหมั่นโถว ข้าวต้ม พร้อมผัดผัก นางกินไปก็นึกถึงคำสอนถึงมารดา มารดานางเคยเล่าว่าบ้านของท่านที่แท้จริงเป็นเช่นไร แม่มีเรื่องเล่ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตในบ้านเมืองของท่านเพราะแม่เคยเล่าว่านางมาจากโลกอนาคต โลกในศตวรรษที่มีความเจริญก้าวหน้าในทุกด้าน นางชอบเรื่องราวที่แม่เล่าให้ฟัง โดยเฉพาะเรื่องเล่าที่ท่านบอกว่ามันเป็นนิทาน แม่เล่าให้นางฟังทุกคืนก่อนนอนและนางจำเรื่องราวเรื่องหนึ่งได้อย่างแม่นยำ และมันก็ดันมาคล้ายกับเรื่องราวของนางในเวลานี้
“ท่านแม่ ข้าไม่อยากเป็นซินเดอเรลล่า” นางพูดกับตนเองด้วยเสียงแผ่วเบา ดวงตาชื้นที่หน่วยตาพาความแสบร้อนมาที่ลำคอและโพรงจมูกหากแต่นางพยายามมิให้มันร่วงหล่นลงมา หลังกินอาหารเช้าเคล้าความแสบในลำคอนางจำต้องลุกเพื่อจัดเตรียมอาหารเช้าขึ้นไปยังห้องหนึ่ง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเถ้าแก่เนี๊ยของหอแห่งนี้
[1] ตีสามไปจนย่ำรุ่งหรือหกนาฬิกา เราเรียกว่ายามสี่ ซึ่งเป็นยามสุดท้ายของคืน