นางถือถาดเข้ามาและวางลงบนโต๊ะภายใต้สายตาของจูชุนลี่ว่านางปฏิบัติต่อแขกดีเพียงใด โคว่เอ๋อวางของว่างลงพร้อมเอ่ยประโยคแผ่วเบาหวังให้แค่กลุ่มของ ฉีเทียนเหล่ยได้ยินเท่านั้น
“นี่พวกท่าน รีบกิน รีบดื่มและรีบขึ้นไปเหอะ ข้าเหนื่อยมาทั้งวัน อย่าได้ให้ข้ารอเก็บโต๊ะท่านแค่โต๊ะเดียวเลยนะ” การขอร้องของนางแสดงให้เห็นอีกฝ่ายเห็นใจหากแต่น้ำเสียงนั้นแกมบังคับอยู่กลาย ๆ หลังจากพูดจบโคว่เอ๋อจึงเดินออกมาเก็บข้าวของเพื่อทำความสะอาดยังโต๊ะตัวอื่นต่อ
ด้านจูชุนลี่เห็นว่าโคว่เอ๋อมิได้สร้างความเดือดร้อนอะไร นางจึงเดินกลับเข้าห้องเพื่อที่จะพักผ่อนต่อไปโดยไม่ลืมลากลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนักแต่อย่างใด
ทั้งสามนั่งดื่มได้สักพัก ฉีเทียนเหล่ยก็ให้ตงเหลียนและเซียวหรูขึ้นไปชั้นบนก่อน โดยที่ตนยังคงนั่งอยู่ที่นี่เพียงลำพัง
พวกเขาทั้งสองรับคำสั่งจึงลุกจากไปโดยไม่คารวะตามคำสั่งของฉีเทียนเหล่ย เพราะการเดินทางครั้งนี้เขาไม่ต้องการเปิดเผยตนเอง เมื่อเห็นว่าทั้งสองขึ้นไปที่ห้องเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอ่ยคำพูดกับโคว่เอ๋อ
“วันนี้เจ้าแสดงพิณได้ดีนี่” คำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้โคว่เอ๋อใบหน้าแข็งค้างด้วยความตกใจระคนประหลาดใจว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าเป็นนาง ทั้ง ๆ ที่เวทีการแสดงอยู่ไกลจากตรงนี้พอสมควรทั้งนางยังปกปิดใบหน้า
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้านี่นะจะดีดพิณเป็น ขี้ข้าอย่างข้าจะเอาปัญญาที่ไหนไปหัดได้เล่า” คำตอบที่ไม่เต็มเสียงนั้นชี้ชัดว่านางกำลังโป้ปดมิหนำซ้ำนางยังใจกล้าใช้สายตาจ้องมองชายเจ้าของคำถามหลังจากที่ตอบคำถามเขาไปแล้ว ถึงแม้สัญชาตญาณจะร้องเตือนว่า อย่ามองเขาอีก เก็บสายตาตนกลับมา หากแต่นางก็ยังจ้องเขาอย่างนั้น
“เจ้ามาทางนี้หน่อยได้หรือไม่” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมยกน้ำจัณฑ์ขึ้นกระดก
อย่าขวัญอ่อนไปหน่อยเลยน่า เขาไม่ใช่ปีศาจนะ! แม้จะไม่อยากเดินตรงไปตามคำขอร้องแต่กระนั้นนางก็เดินตรงไปหาเขาเพียงแต่ฝีเท้านั้นช้ากว่าปกติ นางไม่เคยเดินช้าเท่านี้มาก่อน
นางแทบจะหัวเราะเยาะถึงการกระทำอันโง่เขลาของตนเองและบัดนี้นางอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่ก้าว โคว่เอ๋อเห็นใบหน้าที่งดงามได้รูปราวกับสลักไว้ ดวงตาดำสนิทแต่แฝงไปด้วยความแวววาวจากด้านในช่างดูสวยงามเสียจริง
นางได้แต่ยิ้มกว้างระคนเหยียดหยันที่ได้เห็นบุรุษรูปงามทั้งยังเคอะเขินในทีเพราะนับตั้งแต่ที่นางทำงานพวกนี้เพราะในขณะที่ตนต้องมานั่งเก็บกวาดข้าวของโดยมีชายรูปงามมานั่งมองตน เพราะอารมณ์ขันของนางนั้นเป็นอารมณ์คิดถึงสภาพที่ทรุดโทรมของตนเองซึ่งนางก็มิได้ตั้งใจจะให้มันเป็น นางเยาะหยันกับนิทานของมารดาที่อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาในห้วงความคิดอีกครั้ง
“มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้เจ้าคะ” นางยิ้มส่งให้เขาอย่างที่เคยยิ้มให้แก่มารดาโดยไม่รู้ว่าทำไมต้องยิ้มเช่นนั้นด้วย
รอยยิ้มนั้นทำให้เขาแปลกประหลาด ไม่ใช่เพราะมันดูประหลาดเพียงเพราะรอยยิ้มนั้นเมื่ออยู่บนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของนาง แต่ที่เขาประหลาดเพียงเพราะไม่เคยมีใครยิ้มจริงใจออกมาให้เขาก็เท่านั้น แต่ละคนที่ยิ้มและออดอ้อนเขาเพียงเพื่ออยากได้กับสิ่งที่พวกนางต้องการ
เขารู้สึกพึงพอใจอย่างประหลาดต่อปฏิกิริยาตอบสนองของนางที่มีต่อเขา เขาจ้องมองนางตอบ นางมีดวงตาของเด็กขี้เล่น แพรวพราวด้วยอารมณ์ขัน ฟันขาวเรียงตัวสวยงาม แต่สิ่งที่รบกวนเขาในตัวนางคือการแต่งกาย กระโปรงสีเทาเป็นผ้าเนื้อหยาบแบบชาวบ้านสวมใส่อีกทั้งแลดูเก่าเอามากๆ และหากสังเกตดีๆ จะเห็นมีมีดเหน็บอยู่บนสะโพกของนางด้วย
แล้วนางจะพกมีดติดตัวไว้ทำไม นางต้องการมันไปทำอะไร มือของนางออกจะเล็กปานนั้น มือที่มีแต่สีแดงเพราะความเย็นทั้งยังแลดูหยาบกร้านในด้านหนึ่งและอีกด้านหนึ่งเป็นสีลูกพีชเรื่อๆ มันช่างตัดกับผิวหน้าที่ดูจะซูบเซียวและมีร่องรอยของความเหนื่อยล้า
การเดาสุ่มของเขาก็เริ่มขึ้น “สีเปลือกตาชมพูไม่ค่อยจะเข้ากับชุดนี้ของเจ้าเท่าไหร่นะ เจ้าว่าไหม?”
เขาหัวเราะเมื่อเห็นนางร้อง ห๊า! ออกมาและยิ่งหัวเราะเยาะนางมากขึ้นเมื่อนางยกมือมาขยี้เพื่อให้สีของเปลือกตาหลุดออกอย่างขะมักเขม้น มันไม่แปลกหรอกที่นางต้องแต่งหน้าขึ้นเวทีเพื่อแสดงพิณและนั่นก็หาใช่เรื่องประหลาดแต่อย่างใดเพราะนางก็ใช่คนมีเสน่ห์ หากไม่แต่งขึ้นมีหวังนางขึ้นแสดงด้วยสภาพโทรมเช่นนี้ การแสดงไม่แย่ตัวนางก็ต้องแย่แน่ๆ สุดท้ายโคว่เอ๋อจึงเปิดปากต่อว่าชายตรงหน้าออกมา
“มันไม่ตลกเลยนะท่าน” นางพูดเสียงห้วนแกมหงุดหงิดทั้งขึงตาใส่เขาเมื่อคิดว่าเช็ดรอยเปื้อนหมดแล้ว
“อยากให้ข้าช่วยเช็ดให้ไหม?” เขาเสนอตัวช่วย
“ท่านหมายความว่ามันยัง... ไม่ล่ะ ขอบคุณ” นางเค้นเสียงไม่เป็นมิตรกับเขาเสียแล้ว