ฉีเทียนเหล่ยผลักนางให้เข้าไปจัดการแต่งกายเสียใหม่ ยังห้องของนางเองและกำชับกำชาให้หลินโคว่เอ๋อลบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยเขม่าสีเทาจากการแต่งแต้มด้วยฝีมือของนางออกเสีย เพราะเท่าที่เขาจำได้ตอนบีบแก้มนาง ขี้เถ้าได้ติดมืออีกทั้งมีรอยเปื้อนจากแก้มทั้งสองข้างของนาง
หลินโคว่เอ๋ออยู่เพียงคนเดียวในห้อง นางเดินไปเดินมาจนเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้งที่นางประกอบจากโต๊ะเก่าๆ พังๆ ของหอเมื่อต้นปีก่อน นางหยิบเศษคันฉ่องที่แตกซึ่งนางเก็บมาจากหญิงคณิกานางหนึ่งซึ่งทิ้งไว้หลังจากนั้นจึงถกกระโปรงเพื่อดูรอยสักที่อยู่บนสะโพกขาวนวล
นางอยากรู้ว่ารอยสักอยู่กับนางตั้งแต่เด็กแล้วเหตุใดนางถึงไม่เคยถามมารดา หรือจะสังเกตบ้าง นางดูเสร็จจึงรีบถกกระโปรงลง ใบหน้านางรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาพิสูจน์หลักฐานบนตัวนาง นางรู้สึกอับอายไปถึงกระดูก ทั้งรู้สึกวูบโหวงที่โพลงอกขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เนื่องด้วยนางยังไร้เดียงสาเหลือเกิน ถึงนางจะอยู่ที่หอนางโลม เห็นเพื่อนร่วมหอทำกับแขกแต่ใช่นางจะต้องรู้ทุกอย่างเสียหน่อย
นางอาจจะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง จากปากผู้ชายที่มักจะไม่ระวังปากของตนเองหรือแม้เรื่องที่นางคณิกาสนทนากัน นางอาจจะเคยเห็นมันกับตาครั้งหรือสองครั้งเมื่อบังเอิญเข้าห้องนำอาหารไปให้ตามคำสั่ง หรือไม่นางเคยฟังเหมยซานหรือคนอื่น ๆ เล่าประสบการณ์ชีวิตให้ฟัง ซึ่งเหตุการณ์ที่นางเจอและโดนขโมยจูบ อาจเป็นเหตุผลที่นางรู้สึกวาบหวิวก็เป็นได้
หรือว่าจะเป็นเมื่อตอนที่ฉีเทียนเหล่ยเสนอให้นางร่วมรักกัน แต่จู่ ๆ นางรู้สึกอับอายปนโทสะอีกระลอก ไม่! พวกเขาทั้งหมดรวมกับเถ้าแก่เนี๊ยต้องหลอกนางเป็นแน่ ก่อนหน้าจูชุนลี่เกลี้ยกล่อมให้นางเป็นหญิงคณิกา นี่นางอาจจะถูกขายให้ไปอยู่กับเขาเป็นแน่ ไปเป็นนางโลมที่ใหม่
เถ้าแก่เนี๊ยจูอาจไปมีหุ้นส่วนที่หมู่บ้านอื่น ใช่! ต้องใช่แน่ๆ นางตัดสินใจควานหามีดพกและเงินที่นางพอมีซ่อนเอาไว้พร้อมกับควักขี้เถ้าที่อยู่ในถ้วย ซึ่งใช้แทนแป้งผลัดหน้าขึ้นมาทาหน้าของตนเองอีกครั้ง
นางเกลี่ยขี้เถ้าที่ทาแทนแป้งตามใบหน้าเพื่ออำพรางใบหน้าของตนเองเท่าที่ทำได้ ทว่าจู่ ๆ ประตูห้องของนางพลันถูกเปิดออก สายตาเขาเป็นการเตือนว่านางช้าเกินไปแล้ว
“หากลูกสุนัขอย่างเจ้าไม่รู้จักเคาะประตู ข้าจะสอนให้” หลินโคว่เอ๋อย่อมไม่พอใจกับการกระทำอุกอาจเช่นนี้จึงตวาดเสียงห้วนกลับไป เขาไม่ตอบหรือโต้เถียงแต่เดินตรงไปยังนางพร้อมลูบที่แก้ม
“นี่คือ?” หากให้นางทายคำนั้นที่เขาเอ่ยมาว่ามันหมายความว่าอะไร เพราะนิ้วเรียวยาว หยาบกร้านของเขาเต็มไปด้วยแป้งสีเทา นางทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่ตอบคำถามใดๆ จากเขาและเดินเลี่ยงตัวเขาไป
“ข้ากำลังถามคำถามเจ้าอยู่นะ สาวน้อย”
“ข้าว่าวันนี้เจ้าถามคำถามข้ามากเกินไปแล้ว อีกอย่างข้าไม่นึกอยาก...” การหลบหลีกคำตอบจากปากนางหยุดลงเมื่อมวยผมที่นางมัดไว้ตรงท้ายทอยถูกรั้งไว้ นางไม่ได้ยินเขาเดินมาจากทางด้านหลัง พร้อมมองไม่เห็นมือใหญ่ที่กางอยู่ห่างจากหน้านางเพียงแค่คืบเดียว
“เจ้าต้องตอบคำถามข้าว่าทำไมมือของข้าถึงเปลี่ยนสีเมื่อแตะต้องเจ้า” แน่นนอนว่ายามนี้เขากำลังข่มโทสะที่คุกรุ่นอยู่
“มันคงเป็นขี้เถ้ากระมัง” นางหยุดและตอบเขาอีกรอบ “ข้าต้องทำอาหารในครัว ขี้เถ้าก็ต้องติดตัวเป็นธรรมดา” นางโป้ปดซึ่งทั้งเขาและนางต่างรู้อยู่แก่ใจ
“แล้วเจ้าก็เอามาถูหน้าของเจ้ารึไง” ฉีเทียนเหล่ยเอ่ยถาม
“ไม่ แต่...” นางกำลังตอบหากแต่เขากลับเอ่ยขัดขึ้นมา
“มันอาจจะเป็นขี้เถ้าก็ได้” เขาพูดอย่างครุ่นคิดขณะถูที่นิ้วด้วยกันเอง
“เนื้อมันเหมือนขี้เถ้า” คำพูดของเขาทำให้นางเริ่มผ่อนคลาย ศีรษะนางกลับถูกดึงไปด้านข้างและด้านหลังจนกระทั่งนางมองเข้าไปในดวงตาของเขา เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“แต่ข้าก็ยังไม่เชื่อ บอกข้ามาสิว่าทำไมข้าถึงยังสงสัย” เขาสั่งให้นางตอบขณะที่นิ้วลากไปยังแก้มของนางที่มีก้อนสีเทาเหนียวๆ ติดอยู่บ้าง