หลินโคว่เอ๋อเดินออกจากห้องของจูชุนลี่ ในใจนางกลับแย้งกับสิ่งที่อีกฝ่ายได้เอ่ย เมื่อครู่ว่าแขกในร้านนั้นน้อยแต่นางรู้ดีว่าแขกของร้านมีมากเรื่อยๆ จูชุนลี่ได้กำไรทุกวัน แต่ตัวโคว่เอ๋อเองมิได้ค่าจ้างสักแดงจากการทำงานที่หอแห่งนี้ นางคิดว่าหากตนเองเป็นเจ้าของหอเสียเองนางคงรวยแน่ๆ และแม่ของนางก็ต้องไม่มาป่วยตาย นางพยายามคิดว่าแม่ของตนคงกลับไปอยู่บนสวรรค์ที่ชื่อว่าศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดและสักวันเมื่อถึงวันนั้น นางคงจะไปเจอแม่ของนางและจะให้แม่พานางไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ที่แม่เคยเล่า
โคว่เอ๋อไม่มีเวลาคิดอะไรมากนัก เพราะแต่ละวันนางต้องทำงานทุกอย่าง ในหอนางโลม เสี่ยวเอ้อร์ในร้านก็แสนจะน้อยนิด นางมีหน้าที่ทำความสะอาดก่อนเปิดร้าน และปิดร้าน และเวลาที่แขกเข้ามานางจะอัปเปหิตัวเองและหมกตัวอยู่แต่ในครัวเพื่อทำอาหาร ให้แขกซึ่งมีลูกมือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
บางคราวนักแสดงขาด นางจำต้องสวมรอยขึ้นแสดงดนตรีเอง อีกทั้งทุกเดือนนางต้องคอยดูแลบัญชีของทางร้านโดยมีจูชุนลี่เป็นผู้ควบคุมดูแลทุกอย่าง ทำให้นางแทบกระดิกตัวไม่ได้ นางไม่เคยได้รับเงินแม้แต่อัฐเดียวโดยที่จูชุนลี่ใช้ข้ออ้างว่าแม่ของนางติดเงินนาง และให้ที่พักที่อาศัยแก่พวกนางสองแม่ลูกและนั่นเป็นผลพวงที่ทำให้โคว่เอ๋อจำต้องอยู่ที่นี่
เคยมีครั้งหนึ่งนางเคยคิดที่หนีแต่ก็หนีไปไหนไม่ได้ เพราะมณฑลแห่งนี้จูชุนลี่ตามนางพบทุกครั้งทั้งยังประกาศต่อหน้าทุกคนในละแวกนั้น ว่านางเป็นเจ้าหนี้ของโคว่เอ๋อ หากใครก็ตามที่เมตตาอยากช่วยนางล่ะก็ จะต้องนำเงินหมื่นตำลึงทองเพื่อไถ่ตัวนางและนั่นทำให้นางขาดที่พักพิงและที่หลบซ่อน ครั้นจะไปขออาศัยอยู่ที่อารามก็ใช่ว่าจะง่าย เพราะความเห็นแก่ตัวของจูชุนลี่ได้สร้างความอับอายให้นางมานักต่อนัก สุดท้ายจึงเลิกล้มความตั้งใจและอยู่ที่หอหมื่นบุปผามาจนถึงทุกวันนี้
หอแห่งนี้... ทุกเช้าไม่ว่าจะเป็นด้านล่างหรือตามห้องต่างๆ ล้วนแล้วเหมือนกองขยะที่นางต้องจัดการให้เรียบร้อยทุก ๆ วัน นางเหนื่อย... เหนื่อยเหลือเกิน เหมือนมีบางอย่างได้สูบวิญญาณของนางทุกวันยามตื่น ถึงแม้หิมะจะตกก็ใช่ว่านางจะหนาวสั่นเหมือนคนทั่วไปไม่ใช่ว่านางไม่รู้สึกหากเพราะงานที่นางทำมันหนักหนานักจึงทำให้นางได้เหงื่อจากการทำงานและพอจะคลายความหนาวเหน็บที่ต้องผิวกายได้
โคว่เอ๋อมองไปรอบ ๆ ร้านได้แต่ทอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ กว่าทำความสะอาดร้านเสร็จ นางต้องไปเตรียมผัก หมู เครื่องเทศเพื่อเตรียมเปิดร้านอีก นางอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้
“เฮ้อ! ชีวิตฮุยกูเหนียงอย่างข้า เมื่อไหร่หนอจะมีนางฟ้าใจดี ถือคทาเหวี่ยงๆ เหมือนที่ท่านแม่เล่ามาช่วยข้าทำงานนี้สักที ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ไม่รู้จะมาเที่ยวอะไรกันหนักหนา ฮูหยินหรืออนุไม่มีกันบ้างรึอย่างไรเนี่ย”
“บ่นทุกวันไม่เบื่อหรือไง” เสียงคุ้นหูดังมาทำให้โคว่เอ๋อต้องหันมอง
“เอ๊า! สือเถามาได้จังหวะพอดีเลย เจ้าช่วยข้าตรงนี้แล้วกัน เดี๋ยวข้าต้องไปทำด้านบนอีก”
“ข้ามาถึงก็ใช้ข้าเลยนะ” เสียงเหน็บที่ไม่จริงจังเอ่ยตอบ
“เถอะน่า ก็มีแต่เจ้าแหละที่ช่วยข้าทำงาน และน้องสาวเจ้าหายป่วยหรือยังเล่า ถึงได้กลับมาทำงานได้”
“อืม นางดีขึ้นแล้ว ดีนะที่ได้วิธีคลายร้อนในร่างกายที่เจ้าสอน มิเช่นนั้นข้าไม่รู้จะเอาเงินไหนไปหาหมอมารักษา”
“หายป่วยก็ดีแล้ว ส่วนเจ้าก็กลับมาเป็นข้ารับใช้ข้าเหมือนเดิม”
“ขอรับ คุณหนูใหญ่แห่งหอหมื่นบุปผา” เสียงสัพยอกทำให้นางหลุดยิ้มออกมาได้
คงจะมีเพียงสือเถานั่นแหละที่คอยช่วยเหลือหลินโคว่เอ๋อยามที่เดือดร้อน ทั้งเขาและนางก็ต่างช่วยกันทำงานจวบจนงานแต่ละวันเสร็จลุล่วง
หลินโคว่เอ๋อเห็นความเดือดร้อนของสือเถาที่มีน้องต้องเลี้ยงดู เขาเสียทั้งบิดาและมารดาไปเหมือนกับนาง สือเถาจึงเป็นสหายที่ดีของนางเสมออาจเพราะเห็นนางน่าสงสารที่ทำงานทุกอย่างในร้าน อีกทั้งมีน้ำใจช่วยคนทั้ง ๆ ที่นางเองก็ยังไม่มีปัญญาจะช่วยตนเองแต่อย่างใด