กัษษภาคย์ไม่กลับออฟฟิศอีกแล้ว แต่ตรงมายังอะพาร์ตเมนต์ของเขาอย่างที่ปากบอก ไล่ต้นหอมขึ้นไปแพ็กของบนห้อง ส่วนตัวเองรับหน้าที่คุยกับพนักงานนิติบุคคลด้านล่าง
เพราะไม่ได้เตรียมกล่องไว้จึงทำได้แค่เก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวอย่างง่ายลงเป้ใบเก่าที่แปลงมาจากกระเป๋านักเรียนสมัยเรียนนั่นล่ะ
ถ้าไม่นับชุดที่ใส่ทำงานแล้วตัวเขาก็ไม่มีเสื้อผ้าแฟชั่นอะไรเลย อย่างที่บอกว่าไม่รับงานนอก เวลานอกร้านจึงเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวสวยงามไปเพื่อใคร
นอกจากนี้ก็ต้องเก็บขนมและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพราะช่วงนี้ชอบหิวบ่อยเขาก็เลยซื้อตุนไว้ยกแพ็ก มาม่าต้มยำกุ้งน้ำข้นรสโปรดและรสซุปไก่ที่โปรดรองลงมา เศษซีเรียลที่ยังเหลือกับคุกกี้เนยโง่ ๆ อีกครึ่งถุง
“เธอกินเก่งเหมือนกันนะ” ลองก้มลงพูดกับท้องที่ไม่ได้นูนออกมาสักเท่าไร “ตอนฉันเป็นเด็กฉันก็ทำให้แม่ลำบากแบบนี้ไหมนะ”
บ่นอะไรเรื่อยเปื่อยกับเด็กในท้องที่คงไม่ได้ยินไปอีกสักพักก็มีเสียงเคาะประตู เขาเดินไปเปิดและพบกับชายหนุ่มร่างสูงคนเดิม จึงจัดการชูกระเป๋าให้ดูและก้าวออกจากวงกบ ล็อกห้องให้เรียบร้อยก่อนจะพากันไปคืนกุญแจ
“คุณจะให้ผมอยู่ด้วยถึงตอนไหน ถึงตอนนั้นผมก็ต้องหาห้องใหม่อีกหรือเปล่า”
“ฉันให้เขาเก็บห้องไว้ให้ก่อนเก้าเดือน”
“เก็บ? คือไง”
“ก็จ่ายแต่ค่าห้อง ไม่มีน้ำไฟ”
“เดี๋ยว คุณจะจ่ายไปเฉย ๆ ทั้งที่ไม่มาใช้อ่ะนะ” ต้นหอมตาโต “เดือนละห้าพันเลยนะ! ครึ่งหมื่น! เก้าเดือนก็…”
“สี่หมื่นห้า”
“นี่อย่าบอกนะว่า…”
“จ่ายแล้ว”
“คุณพกเงินสดทีละเป็นหมื่น ๆ เลยเหรอ!”
“ออกไปกดเอทีเอ็มมา เพราะฉันขี้เกียจมาโอนรายเดือน”
“ให้ตายสิ” ต้นหอมไม่รู้จะพูดอะไร “ให้ตายสิ ผมไม่มีปัญญาใช้คืนหรอกนะ ถ้าลูกหน้าตาออกมาไม่น่ารักหรือเป็นเด็กเปรตเลี้ยงยากคุณจะไม่โกรธใช่ไหม”
และกัษษภาคย์ได้หัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกของวัน
หรืออาจจะในรอบหลายเดือน
“คุณขำอะไร ผมซีเรียสนะ ก็คุณไม่ได้มาท้อง จะมารู้สึกผูกพันกับลูกได้ยังไง”
“ก็เดี๋ยวก็ผูกพันผ่านนายไง”
“...”
“ฉันดูแลนาย ก็เหมือนดูแลลูก ว่างั้นไหม”
“ก็คงอย่างนั้น”
“ง่วงไหม อยากหลับก็หลับบนรถได้นะ”
“ไม่เอาหรอก เกิดคุณพาผมไปทิ้งที่วัดทำไง”
“ฉันก็ไม่คิดว่านายจะยอมนอนรออยู่ที่วัดอย่างเรียบร้อยหรอกใช่ไหม”
“อือ นอนก็ได้” มือข้างหนึ่งยื่นลงไปข้างเบาะเพื่อหาจุดปรับเอน แต่ยังไม่ทันดึงคานโยกอะไรพนักเบาะก็ค่อย ๆ ขยับ
เขาหันไปจะถามเจ้าของรถ พอดีกับที่เห็นว่าก้านนิ้วเรียวกดปุ่มอะไรบางอย่างอยู่
อ่อ ระบบไฟฟ้า
“ขอโทษที ไม่เคยนั่งรถแพง”
เมื่อถึงห้องพักใหม่เขาก็จัดการวางเป้ลงกับพื้นแล้วกระโดดขึ้นซุกตัวบนโซฟา ตอนอยู่บนรถก็ไม่ง่วงหรอก แต่ตอนนี้กลับอยากหลับเสียให้ได้
“อาบน้ำก่อน”
“ไม่เอา ง่วง”
“ต้นหอม”
คนเด็กกว่าลืมตาโพลงทันทีเมื่อถูกเรียกชื่อ เพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่คุยกันมาตลอดหลายชั่วโมงมีแต่ถูกเรียกว่านาย ๆ ๆ ๆ มาตลอด
“อาบก็ได้ ห้องน้ำอยู่ไหนล่ะ”
“ตอนนี้นายอาบห้องน้ำแขกก่อน แต่เดี๋ยวฉันจะย้ายของให้ นายมานอนห้องนอนมาสเตอร์ดีกว่า มันมีห้องน้ำในตัว เวลาอยากอ้วกจะได้ไม่ต้องเดินไกล”
“คุณ… อย่าเป็นคนดีมากได้ไหม ผมหวั่นไหวนะ”
“อะไรนะ”
“ก็คุณอ่ะ” ต้นหอมถูมือเข้าหากัน “ยกห้องนอนให้ผมเลยนะ”
“ฉันก็แค่กลัวนายอ้วกเรี่ยราดเพราะไปห้องน้ำไม่ทัน”
“ถึงงั้นก็เถอะ ไม่เคยมีคนมาทำดีกับผมแบบนี้เลย”
“พูดขอบคุณมันยากสินะ” คนฟังชะงักกับคำพูดนั้นก่อนจะหันไปยิ้มแหยใส่เจ้าของห้องกว้าง “ที่พูดอะไรยาว ๆ นั่นก็ไม่ใช่ว่าอยากขอบคุณเหรอ”
“ให้พูดตรง ๆ มันเขินนี่” เลยเดินเลี่ยงหนีเข้าห้องนอนใหญ่ไปเลย
ทว่าอาการใจสั่นเหมือนจะเขินแต่ก็ไม่นั่นฉับพลันก็เปลี่ยนเป็นวิงเวียน ยังไม่ถึงขั้นอยากอาเจียนแต่ก็ต้องทรุดตัวนั่งลงบนเตียงอย่างรวดเร็ว
สองมือยกขึ้นปลดปลอกคอออกด้วยความอึดอัด ไม่รู้เป็นเพราะฮอร์โมนแปรปรวนหรือเปล่าช่วงนี้ถึงไม่ค่อยปล่อยกลิ่นนัก แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องดีล่ะนะ อยู่กับอัลฟ่าสองต่อสองแบบนี้คงไม่ดีถ้าฟีโรโมนลอยฟุ้ง
ทางด้านอัลฟ่าเจ้าของห้องที่เหลือบไปเห็นว่าเป้สัมภาระยังกองอยู่ที่พื้น ตอนแรกเขาก็คิดจะปล่อยผ่าน แต่มาคิดดูให้ดี คนใจกล้าแบบนั้นคงไม่อายถ้าจะเดินโทง ๆ ออกมาจากห้องน้ำ
และนั่นมันจะทำให้เขาลำบากไม่น้อย จึงตัดสินใจหิ้วกระเป๋าเน่า ๆ นั่นตามไปในห้องนอน เป็นจังหวะเดียวกับที่คนบนเตียงพลิกตัวตะแคงไปอีกด้านพอดี
“ฉันบอกให้อาบน้ำก่อน ไม่ได้ให้มานอนในห้อง” กัษษภาคย์ถอนหายใจ แต่พอไม่มีเสียงเถียงกลับมาเลยเอะใจ หย่อนตัวนั่งลงใกล้ ๆ และชะโงกหน้าดู
ต้นหอมหน้าซีดนอนขดตัวอย่างน่าสงสาร เปลือกตาเปิดครึ่งปิดครึ่งดูหมดแรง
“ไหวไหม” เจ้าของห้องเปลี่ยนไปใช้น้ำเสียงที่อ่อนลง เพราะความก๋ากั่นที่แสดงออกตลอดเวลามันทำให้เขาเผลอลืมไปในบางครั้งว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งครรภ์
“อยากไปหาหมอ ไปฝากครรภ์” ต้นหอมเอ่ยเสียงเบา “ผมกลัว”
“ไม่ต้องกลัวหรอก หมอเขารู้ว่าต้องทำยังไง”
“คุณว่างเมื่อไร”
คำถามนั้นทำเอาคนฟังเงียบไป ปกติเขาไม่เคยมีวันว่างถ้าไม่นัดก่อน แม้กระทั่งวันเสาร์อาทิตย์ก็ยังไม่อาจรับปากได้
“นายไปกับเลขาฯ ฉันก็ได้ พรุ่งนี้”
“โอเค”
“โทรศัพท์อยู่ไหน จะเมมเบอร์ไว้ให้”
อีกฝ่ายไม่ตอบแต่ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาส่งให้
กัษษภาคย์ถามหารหัสอีกครั้ง และก็ไม่แปลกใจเท่าไรที่อีกคนตั้งรหัสปลดล็อกเครื่องเป็น 9999 นิ้วยาวจัดการกรอกข้อมูลทั้งเบอร์ตัวเองและเลขาฯ ลงไปจากความทรงจำ พอจะส่งมือถือคืนก็เจอคนหลับใส่ไปแล้ว
ชายหนุ่มหยิบโน้ตบุ๊กติดมือออกมายังห้องรับแขก หย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วเริ่มเปิดปฏิทินที่แชร์กับเลขาฯ เขามีประชุมทุกวันลากยาวไปจนสัปดาห์หน้า ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรอได้ไหม
บอกตามตรงตอนนี้มีแต่ความตื่นเต้น เพราะตั้งแต่เมื่อวานที่ผู้จัดการบาร์โทรมาแจ้งนั้นเขากระวนกระวายไปหมด คิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไร แต่เมื่อเจ้าตัวพูดง่ายและเข้าใจโลกกว่าที่คิดก็โล่งใจ
เขาเพิ่งอายุยี่สิบหก ไม่เคยมีความคิดอยากแต่งงานหรือเป็นพ่อคน และคนที่บ้านก็ไม่เคยมาวุ่นวายหากจะไปนอนกับใครเป็นครั้งคราวเพราะเชื่อว่ากัษษภาคย์ดูแลตัวเองได้
แน่นอนเขาก็ยังมองเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาด แต่แค่การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งมันไม่ยากเกินความสามารถหรอก เขามีเงิน ตระกูลเขาก็มีเงินและชื่อเสียง การจะจ้างพี่เลี้ยงดี ๆ สักคนไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด
แต่ปัญหาก็คือเขาให้ที่บ้านรู้ไม่ได้เด็ดขาด
สภาพของต้นหอม… ต้องใช้คำว่าสภาพจริง ๆ ถึงหน้าตาจะดูดีสะอาดสะอ้าน แต่ชาติกำเนิดที่กำพร้าและไหนจะประวัติการทำงานแบบนั้น ไม่มีทางเลยที่พ่อแม่เขาจะยอมรับได้
เสียงกดชักโครกติด ๆ กันที่ดังขึ้นเรียกให้เขาหลุดออกจากภวังค์ ดูท่าเจ้าก้อนแป้งคงจะเล่นงานร่างกายนั่นอีกแล้ว
กัษษภาคย์กดโทรศัพท์สั่งอาหารร้านใต้คอนโดฯ เพราะยังไม่เย็นมากจึงไม่ต้องรอนาน เขาก็ไม่รู้ว่าคนเด็กกว่าชอบทานอะไร แต่ดูจากเมื่อกลางวันแล้วก็คงทานได้ทุกอย่างไม่เรื่องมาก จึงซื้ออาหารจานเดียวง่าย ๆ อย่างข้าวผัดมาให้ไว้ทานรองท้อง
เจ้าของห้องเดินไปเปิดตู้เย็น เจอน้ำผลไม้กล่องใหญ่ก็จัดการเทใส่แก้วไว้รอ กะว่าจะให้อีกคนได้ดื่มล้างปาก แต่ยังไม่ทันเดินออกไปหาเจ้าตัวก็เป็นฝ่ายโผล่หน้าออกมาเสียก่อน
“คุณ…” พูดออกมาได้เท่านั้นก็จะทรุดลงกับพื้น
“เฮ้ย!”
“ผมคิดว่าผมไม่ไหว โทรหาพี่เปรมให้หน่อย”
“ไปโรงพยาบาลไหม”
“ผมกลัว”
“ไม่ไปน่ะน่ากลัวกว่าอีก”
“อยากให้พี่เปรมไปด้วย” คนตัวเล็กช้อนตาที่วาวรื้นขึ้นมอง “นะ ผมไม่มีใครแล้ว ไม่กล้าไปคนเดียว”
“นี่นายคิดว่าฉันจะใจร้ายขนาดปล่อยให้นายต้องไปหาหมอคนเดียวเลยเหรอ”
ว่าจบก็ช้อนตัวคนน้องขึ้นวิ่งออกไปยังลิฟต์ส่วนตัว เขาสวนทางกับคนที่เอาอาหารมาส่งพอดีเลยได้แต่บอกให้ฝากไว้ที่รีเซพชั่น
ใช้เวลาไม่นานก็ขับรถมาถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด แต่คนข้างตัวก็เอาแต่งอแงน้ำหูน้ำตาไหล บอกว่าไม่อยากเจอหมอ กลัวโดนดุที่ท้องตอนไม่พร้อมแล้วก็ไม่ยอมป้องกัน สารพัดเหตุผลที่ไม่รู้ว่าคิดขึ้นมาได้อย่างไรทำเอากุมขมับ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมต่อสายหาเปรมหลังได้ที่จอดรถในที่สุด
“หยุดงอแงได้แล้ว” ปลายสายว่าอย่างนั้น
“พี่เปรมอย่าดุได้ไหม คืนนี้มาหาหอมนะ”
“กูทำงาน”
“งั้นพรุ่งนี้ ตอนกลางวันก็ได้”
“ต้นหอม” ปลายสายถอนหายใจดัง ตั้งใจว่าต้องใจแข็ง “มึงจะเป็นแม่คนแล้วนะ มีสติหน่อย”
“แต่หอมไม่ได้อยากมีนี่!” คนตัวเล็กดีดดิ้นบนเบาะ
กัษษภาคย์รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่เป็นคนถือโทรศัพท์ไว้เองและเปิดสปีกเกอร์โฟน ไม่อย่างนั้นต้นหอมต้องเขวี้ยงมือถือเขาลงพื้นแน่
“ฟังนะ กูจะไปหาก็ต่อเมื่อมึงพูดรู้เรื่องและเอารูปเด็กมาอวด เข้าใจไหม”
“เออ! หอมจะบล็อกพี่มึง!” มือเล็กทุบตักตัวเองก่อนหันมามองเขาตาเขียว “วางได้แล้ว”
“สรุปจะไปหาหมอไหม”
“ไปก็ได้”
“เดินไหวไหม”
“ไม่อยากเดิน”
อัลฟ่าหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเดินออกไปขอวีลแชร์จากพนักงานรักษาความปลอดภัย
ไม่นานก็มีบุรุษพยาบาลเข็นรถมาให้พร้อมผ้าคลุมตักกันหนาว เมื่อถูกสอบถามถึงสาเหตุที่ทำให้เดินไม่ได้แล้วเด็กหนุ่มจึงได้แต่ตอบอ้อมแอ้มไปว่าอาเจียนจนหมดแรง บุรุษพยาบาลพอรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งครรภ์ก็ยิ่งเข็นรถอย่างเบามือเขาไปใหญ่ สมแล้วที่เป็นโรงพยาบาลระดับไฮโซ
พอแจ้งเจ้าหน้าที่ว่ามาฝากครรภ์แล้วก็มีเอกสารมากมายให้กรอก โชคดีที่กระเป๋าสตางค์ยังคงอยู่ในกระเป๋ากางเกงของคนตัวเล็ก ไม่ได้หยิบออกมาเลยตั้งแต่ถึงคอนโดฯ ก็เลยไม่มีปัญหายามต้องใช้บัตรประชาชน
“ผมยืมโทรศัพท์หน่อย” ต้นหอมแบมือขอของจากคนข้างตัวหลังกรอกเอกสารเรียบร้อยเนื่องจากเขาไม่ได้หยิบของตัวเองติดมือออกมา
“จะทำอะไร”
“หาข้อมูลเรื่องคนท้องไง คุณคิดว่าถ้าเป็นเวลาปกติผมจะงอแงต่อหน้าคุณเหรอ”
“ตอบกันดี ๆ ก็ได้ไหม”
พวกเขาเพิ่งใช้เวลาอยู่ด้วยกันได้ไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็มีเรื่องให้ปะทะฝีปากแทบจะตลอด ไม่อยากจะนึกเลยว่าชีวิตที่มีอีกคนร่วมชายคาจะเป็นเช่นไร
แต่กัษษภาคย์ก็ไม่วางใจปล่อยอีกฝ่ายออกไปใช้ชีวิตคนเดียว อย่างที่บอกว่าเขาต้องการให้เรื่องนี้เป็นความลับ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บอีกคนไว้ใกล้ตัว
“คุณต้นหอมค่ะ” เสียพยาบาลสาวดึงความสนใจของเขาไว้ ต้นหอมลุกยืนขึ้นทันทีอย่างไม่ระวังตัวเหมือนไม่เหลืออาการเวียนหัว แต่ก็เซจนเขาต้องรีบเข้าไปประคอง
“นายชื่อจริงต้นหอมเลยเหรอ”
“อืม แม่ขี้เกียจตั้งมั้ง”
ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกเพราะอีกฝ่ายเอาแต่จับมือเขาไว้แน่นขณะถูกเจาะเลือด แม้พยาบาลจะเอาน้ำหวานมาปลอบใจแล้วก็ยังทำหน้าเหมือนแมวหงุดหงิดโลกใบนี้อยู่
รอกันไปอีกสักพักก็ได้เวลาพบหมอ สูตินรีแพทย์วัยใกล้ห้าสิบกล่าวทักทายนิ่ง ๆ ยิ่งทำให้คนข้างตัวเกร็งเข้าไปใหญ่
“ผลเลือดของคุณแม่ไม่มีปัญหาอะไรนะคะ ส่วนคุณพ่อเดี๋ยววันไหนว่าง ๆ ก็มาตรวจเลือดเพื่อคัดกรองโรคอีกทีได้ค่ะ”
“ตรวจวันนี้ทีเดียวเลยก็ได้นะครับ” กัษษภาคย์ตอบ
“เอางั้นเหรอคะ” หมอวัยกลางคนมีสีหน้าลังเล “เห็นพยาบาลบอกว่าคุณแม่ขวัญอ่อนมาก หมอเลยคิดว่าอย่าเพิ่งให้คุณพ่อเจาะเลือดดีกว่า เดี๋ยวไม่มีแรงดูแล”
“ผมแค่กลัว ไม่เคยท้องมาก่อน” ต้นหอมตอบอ้อมแอ้ม หลบสายตาหมอ
“ถ้าอย่างนั้นตอบหมอมาตามตรงได้ไหมคะ เพื่อสุขภาพของทารกด้วย” สายตาที่ผ่านโลกมามากปรายมองพ่อแม่มือใหม่สลับกัน “พลาดใช่ไหมคะ”
กัษษภาคย์ได้แต่นั่งนิ่ง ส่วนคนตัวเล็กก็พยักหน้าช้า ๆ
“แต่ผมไม่ทำแท้งนะ”
“ในฐานะแพทย์ หมออยากให้ทั้งคู่ดูที่ความพร้อมของตัวเองเป็นหลักนะคะ” เธอเม้มปาก “เพราะมีถึงสองชีวิตให้ดูแล”
“อะไรนะครับ” เป็นกัษษภาคย์ที่ถามซ้ำ หันไปมองก็พบว่าต้นหอมตกตะลึงจนแข็งค้าง กำสองมือแน่นบนตัก เมื่อวานนี้หมอที่อีกโรงพยาบาลไม่เห็นบอกเขาเลย
“ค่ะ ค่า hCG ของคุณแม่ค่อนข้างสูง มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นแฝดค่ะ” คุณหมอเว้นวรรค “และครรภ์แฝดมีความเสี่ยงสูง ทั้งครรภ์เป็นพิษ ทารกเจริญเติบโตช้ากว่าเกณฑ์ รวมถึงคลอดก่อนกำหนด เพราะอย่างนั้นมันจึงอันตรายทั้งกับแม่และลูก”
“...”
“การทำแท้งโดยมีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิดไม่ใช่เรื่องอันตราย แถมในอนาคตก็ยังสามารถมีบุตรได้เมื่อพร้อมกว่านี้”
กัษษภาคย์ไม่ทราบเลยว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร เขาเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะส่งมือไปให้กำลังใจ ยังจำภาพคนข้างตัวนั่งน้ำตาไหลเงียบ ๆ ตอนเล่าเรื่องชีวิตครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์พร้อมได้ ต้นหอมคงกำลังคิดหนักมากจริง ๆ
“ผมเลี้ยงไหวทั้งสองคน” ชายหนุ่มพูดขึ้นเพื่อยืนยัน
“สาม” ทว่าแพทย์หญิงกลับพูดกลับเสียงเฉียบ “ไม่ใช่แค่ลูกที่คุณพ่อต้องดูแล แต่รวมถึงคุณแม่ด้วย การดูแลที่ไม่ใช่แค่การให้เงินแต่หมายถึงการดูแลสภาพจิตใจ ในคุณแม่ที่ท้องไม่พร้อมหลายคนมีโอกาสเสี่ยงต่อการมีภาวะซึมเศร้าทั้งระหว่างคลอดไปจนถึงหลังคลอด และความเครียดของแม่ยังส่งผลโดนตรงต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก”
ต้นหอมรู้สึกราวกับกำลังนั่งฟังอาจารย์ที่เข้มงวดบรรยายข้อผิดพลาดของตัวเอง ทว่าทุกอย่างแทบจะไหลผ่านหูซ้ายออกหูขวา ในหัววิงเวียนไปหมด ไม่สามารถคิดอะไรได้แล้ว
“ตอนนี้อายุครรภ์เพิ่งแปดสัปดาห์ ทั้งคู่ยังมีเวลาคิดนะคะ ก่อนสิบสองสัปดาห์เป็นช่วงที่ความเสี่ยงต่ำที่สุด อยากให้คุณพ่อคุณแม่ปรึกษากันให้ดี”
“ผมเบลอจนลืมอ้วกเลย ฮ่ะ ๆ” ร่างเล็กว่าขึ้นเมื่อกลับมาอยู่ด้วยกันสองคนบนยานพาหนะ
“ฉันเลี้ยงพวกเขาได้จริง ๆ” อัลฟ่าข้างตัวเว้นวรรค “เลี้ยงนายได้ด้วย”
“ที่ผมกลัวคือชีวิตหลังคลอด คุณคิดดูสิ ขนาดหมอยังแนะนำให้เอาออก… ตอนแรกคุณก็อยากให้เอาออกเหมือนกันนี่”
“มันไม่เหมือนกัน”
กัษษภาคย์ก็ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกขณะนี้คืออะไร เขาไม่เคยคิดอยากมีลูกก็จริง แต่พอเห็นความพยายามของคนคนหนึ่งที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทั้งที่ผ่านความลำบากมามากอย่างต้นหอมแล้วกลับรู้สึกอยากเฝ้ามองเด็กในท้องค่อย ๆ เจริญเติบโต
อาจเป็นสัญชาตญาณคนเป็นพ่อ
“นายค่อย ๆ คิดเถอะ ไม่ว่าทางไหนฉันก็จะเคารพการตัดสินใจของนาย” เลือกตอบสิ่งที่คิดว่าเข้าท่าที่สุดออกไป แต่คนฟังกลับไม่พอใจเสียนี่
“เหอะ คุณก็แค่โยนปัญหามาให้ผม”
“แล้วจะให้ฉันพูดอะไร”
“คุณอยากมีลูกหรือเปล่า”
“...”
“ผมน่ะ กังวลแต่ว่าหลังเขาเกิดมาแล้วจะมีชีวิตยังไง ก่อนหน้านี้ก็คิดว่าถ้าคุณไม่รับก็ไม่เป็นไร ลูกคนเดียวผมเลี้ยงได้ แต่นี่มันมาสอง” ต้นหอมพรั่งพรูความในใจ “เพราะผมไม่มีแม่ ผมขาด ถึงได้รู้ว่าเด็กคนหนึ่งต้องการอะไรบ้างในการเติบโตขึ้นมา มันไม่ใช่แค่เงินอย่างที่คุณหมอบอก แต่ความรัก ความใส่ใจ ความรู้สึกที่ว่าพ่อแม่ยินดีที่จะมีเขา… ถ้าคุณให้ไม่ได้ ผมก็จะทำแท้ง”
“...”
“เพราะผมก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าผมยินดีที่เขาเกิดมา”
ทั้งคู่นั่งเงียบกันมาตลอดทางจนถึงคอนโดฯ ที่พัก กัษษภาคย์ไม่ลืมแวะรับอาหารที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ถึงมันจะเย็นชืดหมดแล้วแต่อย่างไรพวกเขาก็ต้องการมื้อเย็น
ชายหนุ่มไม่ใช่คนเรื่องมากเรื่องอาหารการกิน จึงจัดการเวฟข้าวผัดหมูสองถุงและเตรียมจัดใส่จาน ทว่าร่างเล็กที่เดินเข้ามาใหม่กลับขมวดคิ้วใส่
“คุณทำอะไรกิน”
“ข้าวผัดหมู ซื้อมา”
“ไม่บูดแน่นะ” ต้นหอมหันไปทางอื่นขณะถาม น้ำเสียงดูไม่สบอารมณ์นัก
“จะบูดได้ยังไง เพิ่งจะสั่งมาวันนี้ก่อนไปโรงพยาบาล” คนแก่กว่าถามพลางยกจานข้าวที่มีควันลอยฉุยขึ้นมาดม กลิ่นกระเทียมและกลิ่นข้าวไหม้ติดกระทะจาง ๆ หอมจนเรียกน้ำย่อยได้ดี
“ผมเหม็นอ่ะ เพราะท้องเหรอ” โอเมก้าน้อยยกสองมือกุมหัว “หรือทำแท้งให้มันจบ ๆ ไปดี”
“นายจะมาทำแท้งแค่เพราะเหม็นหมูไม่ได้นะ”
“ไหนคุณบอกว่าแล้วแต่ผม”
“แต่ว่าเหตุผลนั่นมัน…”
ยังไม่ทันพูดจบคนตรงหน้าก็วิ่งเหยาะ ๆ พาร่างตัวเองเข้าห้องน้ำอีกครั้ง ไม่ต้องเดาถึงสาเหตุเลยสักนิด
น้ำส้มแก้วเดิมยังคงถูกวางค้างไว้ในตู้เย็น เขาหยิบมันเดินเข้าห้องน้ำเล็กในห้องรับแขกอีกครั้ง ช่วยลูบหลังคนที่กอดโถส้วมกองกับพื้น
“น้ำส้มหน่อยไหม” ว่าพลางย่อตัวลงจ่อแก้วน้ำจรดริมฝีปากเล็ก ต้นหอมซดเครื่องดื่มรสหวานเปรี้ยวอ่อน ๆ เข้าปากอย่างรวดเร็ว
“มีอีกไหม”
“มีในตู้เย็น” เจ้าห้องตอบ “แต่เหลือไม่เยอะนะ”
“ผมคิดว่าผมชอบเพราะมันเปรี้ยว”
ชายหนุ่มพยักหน้า ก็พอรู้มาบ้างว่าคนท้องชอบทางของเปรี้ยว
“นายท้องมานานแค่ไหนแล้วนะ”
“แปดสัปดาห์ ก็ประมาณสองเดือนแล้ว”
“อืม ไว้ให้แม่บ้านซื้อของเปรี้ยว ๆ มาติดไว้”
“ขอบคุณ”
กัษษภาคย์เดินออกมาจากห้องน้ำก่อน เขาชินเสียแล้วกับการพูดจาไม่มีหางเสียงของคนเด็กกว่าจนเลิกคิดจะบ่น นั่งลงกินข้าวผัดที่กลับไปเย็นอีกครั้ง แต่เขาก็มีเรื่องให้คิดมากมายเกินกว่าจะมานั่งสนใจ จึงทำเพียงตักอาหารเข้าปากให้ตัวเองอิ่มเท่านั้น
ปกติเขามีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดให้อาทิตย์ละครั้ง เป็นแม่บ้านที่จ้างจากบริษัททำความสะอาดเขาจึงกังวลเล็กน้อยว่าจะเก็บความลับเอาไว้ได้หรือไม่
ต้นหอมเดินลากขาเอื่อย ๆ ออกมาจากห้องน้ำบ้าง ทิ้งตัวลงยังเก้าอี้โต๊ะทานข้าว เขาหิว แต่กลิ่นประหลาดที่ยังโชยมาก็ทำให้ไม่อยากกิน แต่ก็ใช่ว่าชีวิตนี้เขาไม่เคยต้องฝืนกินของที่ไม่ชอบเสียเมื่อไร
ทว่าทนกินไปได้สองสามคำก็ทนกลิ่นหมูไม่ไหว จึงเลือกตักแต่ผักคะน้าและแคร์รอตที่ถูกใส่มากินเปล่า ๆ กับข้าวแทน
“ไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน” กัษษภาคย์มองคนที่ทำหน้าพะอืดพะอมพยายามยัดอาหารทั้งหมดลงไป “เหลือก็ทิ้งไป”
“เสียดาย”
“ห่วงสุขภาพตัวเองก่อนเถอะ”
“คุณ” ต้นหอมหยุดมือเขาไว้ตอนกำลังจะเก็บจานไปแช่ในเครื่องล้าง “ถ้า… ถ้าผมอยากเก็บเขาไว้…”
“ก็เก็บไว้สิ”
“ได้จริง ๆ เหรอ เหลืออีกตั้งเจ็ดเดือนเลยนะ”
“แล้วทำไมนายถึงตัดสินใจอยากเก็บเขาไว้ล่ะ”
“เมื่อกี้ตอนอ้วก…” ต้นหอมเกริ่น “มันทรมานมาก ผมเหมือนเห็นดาว บ้านหมุน ทองไส้ก็บิดม้วนไปหมด แต่ในหัวก็คิดแค่ว่าจะพยายามอ้วกออกมาให้เบาที่สุด เขาจะได้ไม่เจ็บ”
“...”
“ผมกลัวว่าถ้ากระทบกระเทือนมาก ๆ แล้วเขาจะหลุด แปลกดีใช่ไหม งงไปหมดเลย” เจ้าตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะ พูดต่อด้วยเสียงอู้อี้ “ผมไม่รู้ พรุ่งนี้อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ แต่ว่าตอนนี้น่ะ…”
“ฉันเข้าใจ” กัษษภาคย์เข้าไปลูบหลังคนเด็กกว่าเป็นการปลอบ “ยังไงคืนนี้ก็นอนก่อนเถอะ ดึกแล้ว”
หลังส่งคนตัวเล็กเข้านอนในเวลาเกือบสี่ทุ่มเขาก็ต่อสายหาเลขา แจ้งว่าพรุ่งนี้อาจเข้าไปทำงานสาย ให้เลื่อนประชุมไปก่อน หลังจากนั้นก็โทรศัพท์หาเปรม ผู้จัดการที่เป็นเหมือนพี่ชายคนสนิทของคนที่นอนหลับอยู่ในห้อง
“คุณภาคย์มีอะไรด่วนเหรอครับ”
“ผมรู้ว่าคุณเอ็นดูเขาเหมือนน้อง เลยคิดว่าคุณควรรู้เรื่องนี้ด้วย” กัษษภาคย์พูดอย่างหนักแน่น
“ครับ”
“ต้นหอมท้องแฝด” เปรมตาโตอยู่ที่อีกด้านของสัญญาณโทรศัพท์ เขาแทบจะร้องเฮถ้าไม่ใช่เพราะประโยคต่อมา “แต่หมอแนะนำให้เอาออก”
“... อะไรนะครับ”
“เขาว่าครรภ์แฝดมีความเสี่ยงสูงทั้งต่อแม่และเด็ก ในรายที่ท้องไม่พร้อมอาจเกิดภาวะโรคซึมเศร้าได้ด้วย แต่เหมือนเขายังลังเล”
“...”
“ยังไงพรุ่งนี้ถ้าพอมีเวลา คุณช่วยมาอยู่เป็นเพื่อนเขาได้ไหม”
“ครับ ผมจะเข้าไป”
“ผมจะส่งโลเคชันกับแจ้งพนักงานด้านล่างไว้ให้”
“ขอบคุณครับ”
TBC