Chapter 2

3920 Words
กัษษภาคย์ไม่กลับออฟฟิศอีกแล้ว แต่ตรงมายังอะพาร์ตเมนต์ของเขาอย่างที่ปากบอก ไล่ต้นหอมขึ้นไปแพ็กของบนห้อง ส่วนตัวเองรับหน้าที่คุยกับพนักงานนิติบุคคลด้านล่าง เพราะไม่ได้เตรียมกล่องไว้จึงทำได้แค่เก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวอย่างง่ายลงเป้ใบเก่าที่แปลงมาจากกระเป๋านักเรียนสมัยเรียนนั่นล่ะ ถ้าไม่นับชุดที่ใส่ทำงานแล้วตัวเขาก็ไม่มีเสื้อผ้าแฟชั่นอะไรเลย อย่างที่บอกว่าไม่รับงานนอก เวลานอกร้านจึงเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวสวยงามไปเพื่อใคร นอกจากนี้ก็ต้องเก็บขนมและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพราะช่วงนี้ชอบหิวบ่อยเขาก็เลยซื้อตุนไว้ยกแพ็ก มาม่าต้มยำกุ้งน้ำข้นรสโปรดและรสซุปไก่ที่โปรดรองลงมา เศษซีเรียลที่ยังเหลือกับคุกกี้เนยโง่ ๆ อีกครึ่งถุง “เธอกินเก่งเหมือนกันนะ” ลองก้มลงพูดกับท้องที่ไม่ได้นูนออกมาสักเท่าไร “ตอนฉันเป็นเด็กฉันก็ทำให้แม่ลำบากแบบนี้ไหมนะ” บ่นอะไรเรื่อยเปื่อยกับเด็กในท้องที่คงไม่ได้ยินไปอีกสักพักก็มีเสียงเคาะประตู เขาเดินไปเปิดและพบกับชายหนุ่มร่างสูงคนเดิม จึงจัดการชูกระเป๋าให้ดูและก้าวออกจากวงกบ ล็อกห้องให้เรียบร้อยก่อนจะพากันไปคืนกุญแจ “คุณจะให้ผมอยู่ด้วยถึงตอนไหน ถึงตอนนั้นผมก็ต้องหาห้องใหม่อีกหรือเปล่า” “ฉันให้เขาเก็บห้องไว้ให้ก่อนเก้าเดือน” “เก็บ? คือไง” “ก็จ่ายแต่ค่าห้อง ไม่มีน้ำไฟ” “เดี๋ยว คุณจะจ่ายไปเฉย ๆ ทั้งที่ไม่มาใช้อ่ะนะ” ต้นหอมตาโต “เดือนละห้าพันเลยนะ! ครึ่งหมื่น! เก้าเดือนก็…” “สี่หมื่นห้า” “นี่อย่าบอกนะว่า…” “จ่ายแล้ว” “คุณพกเงินสดทีละเป็นหมื่น ๆ เลยเหรอ!” “ออกไปกดเอทีเอ็มมา เพราะฉันขี้เกียจมาโอนรายเดือน” “ให้ตายสิ” ต้นหอมไม่รู้จะพูดอะไร “ให้ตายสิ ผมไม่มีปัญญาใช้คืนหรอกนะ ถ้าลูกหน้าตาออกมาไม่น่ารักหรือเป็นเด็กเปรตเลี้ยงยากคุณจะไม่โกรธใช่ไหม” และกัษษภาคย์ได้หัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกของวัน หรืออาจจะในรอบหลายเดือน “คุณขำอะไร ผมซีเรียสนะ ก็คุณไม่ได้มาท้อง จะมารู้สึกผูกพันกับลูกได้ยังไง” “ก็เดี๋ยวก็ผูกพันผ่านนายไง” “...” “ฉันดูแลนาย ก็เหมือนดูแลลูก ว่างั้นไหม” “ก็คงอย่างนั้น” “ง่วงไหม อยากหลับก็หลับบนรถได้นะ” “ไม่เอาหรอก เกิดคุณพาผมไปทิ้งที่วัดทำไง” “ฉันก็ไม่คิดว่านายจะยอมนอนรออยู่ที่วัดอย่างเรียบร้อยหรอกใช่ไหม” “อือ นอนก็ได้” มือข้างหนึ่งยื่นลงไปข้างเบาะเพื่อหาจุดปรับเอน แต่ยังไม่ทันดึงคานโยกอะไรพนักเบาะก็ค่อย ๆ ขยับ เขาหันไปจะถามเจ้าของรถ พอดีกับที่เห็นว่าก้านนิ้วเรียวกดปุ่มอะไรบางอย่างอยู่ อ่อ ระบบไฟฟ้า “ขอโทษที ไม่เคยนั่งรถแพง” เมื่อถึงห้องพักใหม่เขาก็จัดการวางเป้ลงกับพื้นแล้วกระโดดขึ้นซุกตัวบนโซฟา ตอนอยู่บนรถก็ไม่ง่วงหรอก แต่ตอนนี้กลับอยากหลับเสียให้ได้ “อาบน้ำก่อน” “ไม่เอา ง่วง” “ต้นหอม” คนเด็กกว่าลืมตาโพลงทันทีเมื่อถูกเรียกชื่อ เพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่คุยกันมาตลอดหลายชั่วโมงมีแต่ถูกเรียกว่านาย ๆ ๆ ๆ มาตลอด “อาบก็ได้ ห้องน้ำอยู่ไหนล่ะ” “ตอนนี้นายอาบห้องน้ำแขกก่อน แต่เดี๋ยวฉันจะย้ายของให้ นายมานอนห้องนอนมาสเตอร์ดีกว่า มันมีห้องน้ำในตัว เวลาอยากอ้วกจะได้ไม่ต้องเดินไกล” “คุณ… อย่าเป็นคนดีมากได้ไหม ผมหวั่นไหวนะ” “อะไรนะ” “ก็คุณอ่ะ” ต้นหอมถูมือเข้าหากัน “ยกห้องนอนให้ผมเลยนะ” “ฉันก็แค่กลัวนายอ้วกเรี่ยราดเพราะไปห้องน้ำไม่ทัน” “ถึงงั้นก็เถอะ ไม่เคยมีคนมาทำดีกับผมแบบนี้เลย” “พูดขอบคุณมันยากสินะ” คนฟังชะงักกับคำพูดนั้นก่อนจะหันไปยิ้มแหยใส่เจ้าของห้องกว้าง “ที่พูดอะไรยาว ๆ นั่นก็ไม่ใช่ว่าอยากขอบคุณเหรอ” “ให้พูดตรง ๆ มันเขินนี่” เลยเดินเลี่ยงหนีเข้าห้องนอนใหญ่ไปเลย ทว่าอาการใจสั่นเหมือนจะเขินแต่ก็ไม่นั่นฉับพลันก็เปลี่ยนเป็นวิงเวียน ยังไม่ถึงขั้นอยากอาเจียนแต่ก็ต้องทรุดตัวนั่งลงบนเตียงอย่างรวดเร็ว สองมือยกขึ้นปลดปลอกคอออกด้วยความอึดอัด ไม่รู้เป็นเพราะฮอร์โมนแปรปรวนหรือเปล่าช่วงนี้ถึงไม่ค่อยปล่อยกลิ่นนัก แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องดีล่ะนะ อยู่กับอัลฟ่าสองต่อสองแบบนี้คงไม่ดีถ้าฟีโรโมนลอยฟุ้ง ทางด้านอัลฟ่าเจ้าของห้องที่เหลือบไปเห็นว่าเป้สัมภาระยังกองอยู่ที่พื้น ตอนแรกเขาก็คิดจะปล่อยผ่าน แต่มาคิดดูให้ดี คนใจกล้าแบบนั้นคงไม่อายถ้าจะเดินโทง ๆ ออกมาจากห้องน้ำ และนั่นมันจะทำให้เขาลำบากไม่น้อย จึงตัดสินใจหิ้วกระเป๋าเน่า ๆ นั่นตามไปในห้องนอน เป็นจังหวะเดียวกับที่คนบนเตียงพลิกตัวตะแคงไปอีกด้านพอดี “ฉันบอกให้อาบน้ำก่อน ไม่ได้ให้มานอนในห้อง” กัษษภาคย์ถอนหายใจ แต่พอไม่มีเสียงเถียงกลับมาเลยเอะใจ หย่อนตัวนั่งลงใกล้ ๆ และชะโงกหน้าดู ต้นหอมหน้าซีดนอนขดตัวอย่างน่าสงสาร เปลือกตาเปิดครึ่งปิดครึ่งดูหมดแรง “ไหวไหม” เจ้าของห้องเปลี่ยนไปใช้น้ำเสียงที่อ่อนลง เพราะความก๋ากั่นที่แสดงออกตลอดเวลามันทำให้เขาเผลอลืมไปในบางครั้งว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งครรภ์ “อยากไปหาหมอ ไปฝากครรภ์” ต้นหอมเอ่ยเสียงเบา “ผมกลัว” “ไม่ต้องกลัวหรอก หมอเขารู้ว่าต้องทำยังไง” “คุณว่างเมื่อไร” คำถามนั้นทำเอาคนฟังเงียบไป ปกติเขาไม่เคยมีวันว่างถ้าไม่นัดก่อน แม้กระทั่งวันเสาร์อาทิตย์ก็ยังไม่อาจรับปากได้ “นายไปกับเลขาฯ ฉันก็ได้ พรุ่งนี้” “โอเค” “โทรศัพท์อยู่ไหน จะเมมเบอร์ไว้ให้” อีกฝ่ายไม่ตอบแต่ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาส่งให้ กัษษภาคย์ถามหารหัสอีกครั้ง และก็ไม่แปลกใจเท่าไรที่อีกคนตั้งรหัสปลดล็อกเครื่องเป็น 9999 นิ้วยาวจัดการกรอกข้อมูลทั้งเบอร์ตัวเองและเลขาฯ ลงไปจากความทรงจำ พอจะส่งมือถือคืนก็เจอคนหลับใส่ไปแล้ว ชายหนุ่มหยิบโน้ตบุ๊กติดมือออกมายังห้องรับแขก หย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วเริ่มเปิดปฏิทินที่แชร์กับเลขาฯ เขามีประชุมทุกวันลากยาวไปจนสัปดาห์หน้า ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรอได้ไหม บอกตามตรงตอนนี้มีแต่ความตื่นเต้น เพราะตั้งแต่เมื่อวานที่ผู้จัดการบาร์โทรมาแจ้งนั้นเขากระวนกระวายไปหมด คิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไร แต่เมื่อเจ้าตัวพูดง่ายและเข้าใจโลกกว่าที่คิดก็โล่งใจ เขาเพิ่งอายุยี่สิบหก ไม่เคยมีความคิดอยากแต่งงานหรือเป็นพ่อคน และคนที่บ้านก็ไม่เคยมาวุ่นวายหากจะไปนอนกับใครเป็นครั้งคราวเพราะเชื่อว่ากัษษภาคย์ดูแลตัวเองได้ แน่นอนเขาก็ยังมองเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาด แต่แค่การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งมันไม่ยากเกินความสามารถหรอก เขามีเงิน ตระกูลเขาก็มีเงินและชื่อเสียง การจะจ้างพี่เลี้ยงดี ๆ สักคนไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด แต่ปัญหาก็คือเขาให้ที่บ้านรู้ไม่ได้เด็ดขาด สภาพของต้นหอม… ต้องใช้คำว่าสภาพจริง ๆ ถึงหน้าตาจะดูดีสะอาดสะอ้าน แต่ชาติกำเนิดที่กำพร้าและไหนจะประวัติการทำงานแบบนั้น ไม่มีทางเลยที่พ่อแม่เขาจะยอมรับได้ เสียงกดชักโครกติด ๆ กันที่ดังขึ้นเรียกให้เขาหลุดออกจากภวังค์ ดูท่าเจ้าก้อนแป้งคงจะเล่นงานร่างกายนั่นอีกแล้ว กัษษภาคย์กดโทรศัพท์สั่งอาหารร้านใต้คอนโดฯ เพราะยังไม่เย็นมากจึงไม่ต้องรอนาน เขาก็ไม่รู้ว่าคนเด็กกว่าชอบทานอะไร แต่ดูจากเมื่อกลางวันแล้วก็คงทานได้ทุกอย่างไม่เรื่องมาก จึงซื้ออาหารจานเดียวง่าย ๆ อย่างข้าวผัดมาให้ไว้ทานรองท้อง เจ้าของห้องเดินไปเปิดตู้เย็น เจอน้ำผลไม้กล่องใหญ่ก็จัดการเทใส่แก้วไว้รอ กะว่าจะให้อีกคนได้ดื่มล้างปาก แต่ยังไม่ทันเดินออกไปหาเจ้าตัวก็เป็นฝ่ายโผล่หน้าออกมาเสียก่อน “คุณ…” พูดออกมาได้เท่านั้นก็จะทรุดลงกับพื้น “เฮ้ย!” “ผมคิดว่าผมไม่ไหว โทรหาพี่เปรมให้หน่อย” “ไปโรงพยาบาลไหม” “ผมกลัว” “ไม่ไปน่ะน่ากลัวกว่าอีก” “อยากให้พี่เปรมไปด้วย” คนตัวเล็กช้อนตาที่วาวรื้นขึ้นมอง “นะ ผมไม่มีใครแล้ว ไม่กล้าไปคนเดียว” “นี่นายคิดว่าฉันจะใจร้ายขนาดปล่อยให้นายต้องไปหาหมอคนเดียวเลยเหรอ” ว่าจบก็ช้อนตัวคนน้องขึ้นวิ่งออกไปยังลิฟต์ส่วนตัว เขาสวนทางกับคนที่เอาอาหารมาส่งพอดีเลยได้แต่บอกให้ฝากไว้ที่รีเซพชั่น ใช้เวลาไม่นานก็ขับรถมาถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด แต่คนข้างตัวก็เอาแต่งอแงน้ำหูน้ำตาไหล บอกว่าไม่อยากเจอหมอ กลัวโดนดุที่ท้องตอนไม่พร้อมแล้วก็ไม่ยอมป้องกัน สารพัดเหตุผลที่ไม่รู้ว่าคิดขึ้นมาได้อย่างไรทำเอากุมขมับ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมต่อสายหาเปรมหลังได้ที่จอดรถในที่สุด “หยุดงอแงได้แล้ว” ปลายสายว่าอย่างนั้น “พี่เปรมอย่าดุได้ไหม คืนนี้มาหาหอมนะ” “กูทำงาน” “งั้นพรุ่งนี้ ตอนกลางวันก็ได้” “ต้นหอม” ปลายสายถอนหายใจดัง ตั้งใจว่าต้องใจแข็ง “มึงจะเป็นแม่คนแล้วนะ มีสติหน่อย” “แต่หอมไม่ได้อยากมีนี่!” คนตัวเล็กดีดดิ้นบนเบาะ กัษษภาคย์รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่เป็นคนถือโทรศัพท์ไว้เองและเปิดสปีกเกอร์โฟน ไม่อย่างนั้นต้นหอมต้องเขวี้ยงมือถือเขาลงพื้นแน่ “ฟังนะ กูจะไปหาก็ต่อเมื่อมึงพูดรู้เรื่องและเอารูปเด็กมาอวด เข้าใจไหม” “เออ! หอมจะบล็อกพี่มึง!” มือเล็กทุบตักตัวเองก่อนหันมามองเขาตาเขียว “วางได้แล้ว” “สรุปจะไปหาหมอไหม” “ไปก็ได้” “เดินไหวไหม” “ไม่อยากเดิน” อัลฟ่าหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเดินออกไปขอวีลแชร์จากพนักงานรักษาความปลอดภัย ไม่นานก็มีบุรุษพยาบาลเข็นรถมาให้พร้อมผ้าคลุมตักกันหนาว เมื่อถูกสอบถามถึงสาเหตุที่ทำให้เดินไม่ได้แล้วเด็กหนุ่มจึงได้แต่ตอบอ้อมแอ้มไปว่าอาเจียนจนหมดแรง บุรุษพยาบาลพอรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งครรภ์ก็ยิ่งเข็นรถอย่างเบามือเขาไปใหญ่ สมแล้วที่เป็นโรงพยาบาลระดับไฮโซ พอแจ้งเจ้าหน้าที่ว่ามาฝากครรภ์แล้วก็มีเอกสารมากมายให้กรอก โชคดีที่กระเป๋าสตางค์ยังคงอยู่ในกระเป๋ากางเกงของคนตัวเล็ก ไม่ได้หยิบออกมาเลยตั้งแต่ถึงคอนโดฯ ก็เลยไม่มีปัญหายามต้องใช้บัตรประชาชน “ผมยืมโทรศัพท์หน่อย” ต้นหอมแบมือขอของจากคนข้างตัวหลังกรอกเอกสารเรียบร้อยเนื่องจากเขาไม่ได้หยิบของตัวเองติดมือออกมา “จะทำอะไร” “หาข้อมูลเรื่องคนท้องไง คุณคิดว่าถ้าเป็นเวลาปกติผมจะงอแงต่อหน้าคุณเหรอ” “ตอบกันดี ๆ ก็ได้ไหม” พวกเขาเพิ่งใช้เวลาอยู่ด้วยกันได้ไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็มีเรื่องให้ปะทะฝีปากแทบจะตลอด ไม่อยากจะนึกเลยว่าชีวิตที่มีอีกคนร่วมชายคาจะเป็นเช่นไร แต่กัษษภาคย์ก็ไม่วางใจปล่อยอีกฝ่ายออกไปใช้ชีวิตคนเดียว อย่างที่บอกว่าเขาต้องการให้เรื่องนี้เป็นความลับ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บอีกคนไว้ใกล้ตัว “คุณต้นหอมค่ะ” เสียพยาบาลสาวดึงความสนใจของเขาไว้ ต้นหอมลุกยืนขึ้นทันทีอย่างไม่ระวังตัวเหมือนไม่เหลืออาการเวียนหัว แต่ก็เซจนเขาต้องรีบเข้าไปประคอง “นายชื่อจริงต้นหอมเลยเหรอ” “อืม แม่ขี้เกียจตั้งมั้ง” ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกเพราะอีกฝ่ายเอาแต่จับมือเขาไว้แน่นขณะถูกเจาะเลือด แม้พยาบาลจะเอาน้ำหวานมาปลอบใจแล้วก็ยังทำหน้าเหมือนแมวหงุดหงิดโลกใบนี้อยู่ รอกันไปอีกสักพักก็ได้เวลาพบหมอ สูตินรีแพทย์วัยใกล้ห้าสิบกล่าวทักทายนิ่ง ๆ ยิ่งทำให้คนข้างตัวเกร็งเข้าไปใหญ่ “ผลเลือดของคุณแม่ไม่มีปัญหาอะไรนะคะ ส่วนคุณพ่อเดี๋ยววันไหนว่าง ๆ ก็มาตรวจเลือดเพื่อคัดกรองโรคอีกทีได้ค่ะ” “ตรวจวันนี้ทีเดียวเลยก็ได้นะครับ” กัษษภาคย์ตอบ “เอางั้นเหรอคะ” หมอวัยกลางคนมีสีหน้าลังเล “เห็นพยาบาลบอกว่าคุณแม่ขวัญอ่อนมาก หมอเลยคิดว่าอย่าเพิ่งให้คุณพ่อเจาะเลือดดีกว่า เดี๋ยวไม่มีแรงดูแล” “ผมแค่กลัว ไม่เคยท้องมาก่อน” ต้นหอมตอบอ้อมแอ้ม หลบสายตาหมอ “ถ้าอย่างนั้นตอบหมอมาตามตรงได้ไหมคะ เพื่อสุขภาพของทารกด้วย” สายตาที่ผ่านโลกมามากปรายมองพ่อแม่มือใหม่สลับกัน “พลาดใช่ไหมคะ” กัษษภาคย์ได้แต่นั่งนิ่ง ส่วนคนตัวเล็กก็พยักหน้าช้า ๆ “แต่ผมไม่ทำแท้งนะ” “ในฐานะแพทย์ หมออยากให้ทั้งคู่ดูที่ความพร้อมของตัวเองเป็นหลักนะคะ” เธอเม้มปาก “เพราะมีถึงสองชีวิตให้ดูแล” “อะไรนะครับ” เป็นกัษษภาคย์ที่ถามซ้ำ หันไปมองก็พบว่าต้นหอมตกตะลึงจนแข็งค้าง กำสองมือแน่นบนตัก เมื่อวานนี้หมอที่อีกโรงพยาบาลไม่เห็นบอกเขาเลย “ค่ะ ค่า hCG ของคุณแม่ค่อนข้างสูง มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นแฝดค่ะ” คุณหมอเว้นวรรค “และครรภ์แฝดมีความเสี่ยงสูง ทั้งครรภ์เป็นพิษ ทารกเจริญเติบโตช้ากว่าเกณฑ์ รวมถึงคลอดก่อนกำหนด เพราะอย่างนั้นมันจึงอันตรายทั้งกับแม่และลูก” “...” “การทำแท้งโดยมีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิดไม่ใช่เรื่องอันตราย แถมในอนาคตก็ยังสามารถมีบุตรได้เมื่อพร้อมกว่านี้” กัษษภาคย์ไม่ทราบเลยว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร เขาเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะส่งมือไปให้กำลังใจ ยังจำภาพคนข้างตัวนั่งน้ำตาไหลเงียบ ๆ ตอนเล่าเรื่องชีวิตครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์พร้อมได้ ต้นหอมคงกำลังคิดหนักมากจริง ๆ “ผมเลี้ยงไหวทั้งสองคน” ชายหนุ่มพูดขึ้นเพื่อยืนยัน “สาม” ทว่าแพทย์หญิงกลับพูดกลับเสียงเฉียบ “ไม่ใช่แค่ลูกที่คุณพ่อต้องดูแล แต่รวมถึงคุณแม่ด้วย การดูแลที่ไม่ใช่แค่การให้เงินแต่หมายถึงการดูแลสภาพจิตใจ ในคุณแม่ที่ท้องไม่พร้อมหลายคนมีโอกาสเสี่ยงต่อการมีภาวะซึมเศร้าทั้งระหว่างคลอดไปจนถึงหลังคลอด และความเครียดของแม่ยังส่งผลโดนตรงต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก” ต้นหอมรู้สึกราวกับกำลังนั่งฟังอาจารย์ที่เข้มงวดบรรยายข้อผิดพลาดของตัวเอง ทว่าทุกอย่างแทบจะไหลผ่านหูซ้ายออกหูขวา ในหัววิงเวียนไปหมด ไม่สามารถคิดอะไรได้แล้ว “ตอนนี้อายุครรภ์เพิ่งแปดสัปดาห์ ทั้งคู่ยังมีเวลาคิดนะคะ ก่อนสิบสองสัปดาห์เป็นช่วงที่ความเสี่ยงต่ำที่สุด อยากให้คุณพ่อคุณแม่ปรึกษากันให้ดี” “ผมเบลอจนลืมอ้วกเลย ฮ่ะ ๆ” ร่างเล็กว่าขึ้นเมื่อกลับมาอยู่ด้วยกันสองคนบนยานพาหนะ “ฉันเลี้ยงพวกเขาได้จริง ๆ” อัลฟ่าข้างตัวเว้นวรรค “เลี้ยงนายได้ด้วย” “ที่ผมกลัวคือชีวิตหลังคลอด คุณคิดดูสิ ขนาดหมอยังแนะนำให้เอาออก… ตอนแรกคุณก็อยากให้เอาออกเหมือนกันนี่” “มันไม่เหมือนกัน” กัษษภาคย์ก็ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกขณะนี้คืออะไร เขาไม่เคยคิดอยากมีลูกก็จริง แต่พอเห็นความพยายามของคนคนหนึ่งที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทั้งที่ผ่านความลำบากมามากอย่างต้นหอมแล้วกลับรู้สึกอยากเฝ้ามองเด็กในท้องค่อย ๆ เจริญเติบโต อาจเป็นสัญชาตญาณคนเป็นพ่อ “นายค่อย ๆ คิดเถอะ ไม่ว่าทางไหนฉันก็จะเคารพการตัดสินใจของนาย” เลือกตอบสิ่งที่คิดว่าเข้าท่าที่สุดออกไป แต่คนฟังกลับไม่พอใจเสียนี่ “เหอะ คุณก็แค่โยนปัญหามาให้ผม” “แล้วจะให้ฉันพูดอะไร” “คุณอยากมีลูกหรือเปล่า” “...” “ผมน่ะ กังวลแต่ว่าหลังเขาเกิดมาแล้วจะมีชีวิตยังไง ก่อนหน้านี้ก็คิดว่าถ้าคุณไม่รับก็ไม่เป็นไร ลูกคนเดียวผมเลี้ยงได้ แต่นี่มันมาสอง” ต้นหอมพรั่งพรูความในใจ “เพราะผมไม่มีแม่ ผมขาด ถึงได้รู้ว่าเด็กคนหนึ่งต้องการอะไรบ้างในการเติบโตขึ้นมา มันไม่ใช่แค่เงินอย่างที่คุณหมอบอก แต่ความรัก ความใส่ใจ ความรู้สึกที่ว่าพ่อแม่ยินดีที่จะมีเขา… ถ้าคุณให้ไม่ได้ ผมก็จะทำแท้ง” “...” “เพราะผมก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าผมยินดีที่เขาเกิดมา” ทั้งคู่นั่งเงียบกันมาตลอดทางจนถึงคอนโดฯ ที่พัก กัษษภาคย์ไม่ลืมแวะรับอาหารที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ถึงมันจะเย็นชืดหมดแล้วแต่อย่างไรพวกเขาก็ต้องการมื้อเย็น ชายหนุ่มไม่ใช่คนเรื่องมากเรื่องอาหารการกิน จึงจัดการเวฟข้าวผัดหมูสองถุงและเตรียมจัดใส่จาน ทว่าร่างเล็กที่เดินเข้ามาใหม่กลับขมวดคิ้วใส่ “คุณทำอะไรกิน” “ข้าวผัดหมู ซื้อมา” “ไม่บูดแน่นะ” ต้นหอมหันไปทางอื่นขณะถาม น้ำเสียงดูไม่สบอารมณ์นัก “จะบูดได้ยังไง เพิ่งจะสั่งมาวันนี้ก่อนไปโรงพยาบาล” คนแก่กว่าถามพลางยกจานข้าวที่มีควันลอยฉุยขึ้นมาดม กลิ่นกระเทียมและกลิ่นข้าวไหม้ติดกระทะจาง ๆ หอมจนเรียกน้ำย่อยได้ดี “ผมเหม็นอ่ะ เพราะท้องเหรอ” โอเมก้าน้อยยกสองมือกุมหัว “หรือทำแท้งให้มันจบ ๆ ไปดี” “นายจะมาทำแท้งแค่เพราะเหม็นหมูไม่ได้นะ” “ไหนคุณบอกว่าแล้วแต่ผม” “แต่ว่าเหตุผลนั่นมัน…” ยังไม่ทันพูดจบคนตรงหน้าก็วิ่งเหยาะ ๆ พาร่างตัวเองเข้าห้องน้ำอีกครั้ง ไม่ต้องเดาถึงสาเหตุเลยสักนิด น้ำส้มแก้วเดิมยังคงถูกวางค้างไว้ในตู้เย็น เขาหยิบมันเดินเข้าห้องน้ำเล็กในห้องรับแขกอีกครั้ง ช่วยลูบหลังคนที่กอดโถส้วมกองกับพื้น “น้ำส้มหน่อยไหม” ว่าพลางย่อตัวลงจ่อแก้วน้ำจรดริมฝีปากเล็ก ต้นหอมซดเครื่องดื่มรสหวานเปรี้ยวอ่อน ๆ เข้าปากอย่างรวดเร็ว “มีอีกไหม” “มีในตู้เย็น” เจ้าห้องตอบ “แต่เหลือไม่เยอะนะ” “ผมคิดว่าผมชอบเพราะมันเปรี้ยว” ชายหนุ่มพยักหน้า ก็พอรู้มาบ้างว่าคนท้องชอบทางของเปรี้ยว “นายท้องมานานแค่ไหนแล้วนะ” “แปดสัปดาห์ ก็ประมาณสองเดือนแล้ว” “อืม ไว้ให้แม่บ้านซื้อของเปรี้ยว ๆ มาติดไว้” “ขอบคุณ” กัษษภาคย์เดินออกมาจากห้องน้ำก่อน เขาชินเสียแล้วกับการพูดจาไม่มีหางเสียงของคนเด็กกว่าจนเลิกคิดจะบ่น นั่งลงกินข้าวผัดที่กลับไปเย็นอีกครั้ง แต่เขาก็มีเรื่องให้คิดมากมายเกินกว่าจะมานั่งสนใจ จึงทำเพียงตักอาหารเข้าปากให้ตัวเองอิ่มเท่านั้น ปกติเขามีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดให้อาทิตย์ละครั้ง เป็นแม่บ้านที่จ้างจากบริษัททำความสะอาดเขาจึงกังวลเล็กน้อยว่าจะเก็บความลับเอาไว้ได้หรือไม่ ต้นหอมเดินลากขาเอื่อย ๆ ออกมาจากห้องน้ำบ้าง ทิ้งตัวลงยังเก้าอี้โต๊ะทานข้าว เขาหิว แต่กลิ่นประหลาดที่ยังโชยมาก็ทำให้ไม่อยากกิน แต่ก็ใช่ว่าชีวิตนี้เขาไม่เคยต้องฝืนกินของที่ไม่ชอบเสียเมื่อไร ทว่าทนกินไปได้สองสามคำก็ทนกลิ่นหมูไม่ไหว จึงเลือกตักแต่ผักคะน้าและแคร์รอตที่ถูกใส่มากินเปล่า ๆ กับข้าวแทน “ไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน” กัษษภาคย์มองคนที่ทำหน้าพะอืดพะอมพยายามยัดอาหารทั้งหมดลงไป “เหลือก็ทิ้งไป” “เสียดาย” “ห่วงสุขภาพตัวเองก่อนเถอะ” “คุณ” ต้นหอมหยุดมือเขาไว้ตอนกำลังจะเก็บจานไปแช่ในเครื่องล้าง “ถ้า… ถ้าผมอยากเก็บเขาไว้…” “ก็เก็บไว้สิ” “ได้จริง ๆ เหรอ เหลืออีกตั้งเจ็ดเดือนเลยนะ” “แล้วทำไมนายถึงตัดสินใจอยากเก็บเขาไว้ล่ะ” “เมื่อกี้ตอนอ้วก…” ต้นหอมเกริ่น “มันทรมานมาก ผมเหมือนเห็นดาว บ้านหมุน ทองไส้ก็บิดม้วนไปหมด แต่ในหัวก็คิดแค่ว่าจะพยายามอ้วกออกมาให้เบาที่สุด เขาจะได้ไม่เจ็บ” “...” “ผมกลัวว่าถ้ากระทบกระเทือนมาก ๆ แล้วเขาจะหลุด แปลกดีใช่ไหม งงไปหมดเลย” เจ้าตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะ พูดต่อด้วยเสียงอู้อี้ “ผมไม่รู้ พรุ่งนี้อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ แต่ว่าตอนนี้น่ะ…” “ฉันเข้าใจ” กัษษภาคย์เข้าไปลูบหลังคนเด็กกว่าเป็นการปลอบ “ยังไงคืนนี้ก็นอนก่อนเถอะ ดึกแล้ว” หลังส่งคนตัวเล็กเข้านอนในเวลาเกือบสี่ทุ่มเขาก็ต่อสายหาเลขา แจ้งว่าพรุ่งนี้อาจเข้าไปทำงานสาย ให้เลื่อนประชุมไปก่อน หลังจากนั้นก็โทรศัพท์หาเปรม ผู้จัดการที่เป็นเหมือนพี่ชายคนสนิทของคนที่นอนหลับอยู่ในห้อง “คุณภาคย์มีอะไรด่วนเหรอครับ” “ผมรู้ว่าคุณเอ็นดูเขาเหมือนน้อง เลยคิดว่าคุณควรรู้เรื่องนี้ด้วย” กัษษภาคย์พูดอย่างหนักแน่น “ครับ” “ต้นหอมท้องแฝด” เปรมตาโตอยู่ที่อีกด้านของสัญญาณโทรศัพท์ เขาแทบจะร้องเฮถ้าไม่ใช่เพราะประโยคต่อมา “แต่หมอแนะนำให้เอาออก” “... อะไรนะครับ” “เขาว่าครรภ์แฝดมีความเสี่ยงสูงทั้งต่อแม่และเด็ก ในรายที่ท้องไม่พร้อมอาจเกิดภาวะโรคซึมเศร้าได้ด้วย แต่เหมือนเขายังลังเล” “...” “ยังไงพรุ่งนี้ถ้าพอมีเวลา คุณช่วยมาอยู่เป็นเพื่อนเขาได้ไหม” “ครับ ผมจะเข้าไป” “ผมจะส่งโลเคชันกับแจ้งพนักงานด้านล่างไว้ให้” “ขอบคุณครับ” TBC
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD