"หุบยิ้มบ้างก็ได้ค่ะคุณแม่" ฟองดูว์กระซิบที่ข้างหูเบาๆ
"ลูกคนนี้นี่แม่มีความสุขแม่ก็ต้องยิ้มกว้างๆถึงจะถูกสิจ้ะ"
"ค่ะๆเอาตามที่คุณแม่สบายใจเลย"
"พี่ฟอสมาแล้ว มานั่งลงข้างๆฟองดูว์หน่อยค่ะ นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งคะที่พี่สองคนได้เจอกันในรอบหลายปี"
"สวัสดีครับ" ต่างฝ่ายต่างทักทายกัน
"คุณโภคินก็น่าจะรู้นะครับว่าน้องสาวผมชอบคุณมาก" ฟอสถามอีกฝ่ายออกไปน้ำเสียงราบเรียบ
"พี่ฟอส!" หญิงสาวตกใจไม่คิดว่าพี่ชายจะถามอะไรอย่างนี้ออกไป
"ผมทราบครับ" ชายหนุ่มตอบกลับด้วยการยิ้มๆ
"อย่าทำให้น้องสาวของผมต้องเสียใจละกันนะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการคุณแน่ ผมไม่สนว่าคุณเป็นใครแต่ถ้าคุณทำให้น้องสาวผมต้องเสียน้ำตาผมก็ไม่ไว้หน้าทั้งนั้น"
“พี่ฟอสอย่าขู่พี่โภคินสิคะ เกิดพี่โภคินปฎิเสธน้องน้องก็แย่นะคะ นะคะๆเลิกทำหน้าดุเถอะค่ะ”
"ครับ ผมจะไม่ทำให้น้องฟองดูว์ต้องเสียใจแน่นอน"
“อย่างนี้ผมก็ค่อยเบาใจ เรามาเป็นเพื่อนกันได้ครับ”
“โอ้โห ไอ้เราก็ตกใจแทบแย่” ฟองดูว์รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากที่พี่ชายไม่วางท่าทางมึนตึงกับโภคินแล้ว
งานหมั้นจบลงด้วยดีทั้งสองแลกแหวนหมั้นซึ่งกันและกัน แหวนของชายหนุ่มรูปเรียบง่ายแต่ของหญิงสาวมีเพชรเม็ดเล็กๆแวววับประดับอยู่ เรียกได้ว่าสวยงามถูกใจคนตัวน้อยที่สวมใส่ที่สุด
“ขอบคุณมากนะครับคุณพัทธ์ที่มาร่วมงานหมั้นของเราสองคน” เมื่อเห็นว่าพัทธ์เดินเข้ามาหาเขาก็รีบโอบไหล่บางเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของให้อีกฝ่ายรู้ขอบเขตของตนเอง
“ครับ พี่ยังอดเสียดายจังเลยครับที่น้องฟองดูว์ไม่ให้โอกาสพี่บ้าง” พัทธ์หันไปสนใจหญิงสาวแทน ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ถูกหักหน้า
“อะ เอ่อ พี่พัทธ์ชอบแซวเล่นอยู่เรื่อย พี่พัทธ์เป็นพี่ชายของฟองดูว์ส่วนพี่โภคินคือคนที่ฟองดูว์ชอบ” หญิงสาวพยายามจะบอกถึงสถานะให้พัทธ์ได้รับรู้
“ครับๆพี่คงต้องยอมแพ้ พี่กลับก่อนนะครับ ถ้ามีโอกาสค่อยนัดทานข้าวกัน”
“ขับรถกลับบ้านดีๆนะคะ”
“อย่าได้ไปทานข้าวกับคนหน้าหม้ออย่างนั้นเชียวนะครับ”
“คิกๆพี่โภคินดูหงุดหงิดจังเลยนะคะ”
“ก็ใครใช้ให้ไอ้หมอนั่นมาส่งสายตาเชื่อมกับคู่หมั้นพี่ล่ะครับ”
“ดีใจจังที่พี่โภคินหึง” ชายหนุ่มไม่ได้ตอบกลับแต่เลือกที่จะบีบจมูกหญิงสาวเบาๆให้หายหมั่นเขี้ยว หลังจากที่พัทธ์กลับไปแล้วโภคินก็ขอตัวกลับบ้างหลังจัดการทุกอย่างภายในงานเรียบร้อย
“พี่กลับก่อนนะครับ”
“ค่ะ ถึงแล้วไลน์มาบอกฟองดูว์บางนะคะ”
“ได้เลยครับ ผมกลับก่อนนะครับคุณพ่อคุณแม่” ตอนนี้ต่างเรียกบิดามารดาของอีกฝ่ายเหมือนเป็นบิดามารดาของตนแล้ว
“จ้ะ แม่ดีใจมากนะจ๊ะที่เรามาเป็นครอบครัวเดียวกัน”
หญิงสาวอยากจะดูแลเรื่องอาหารการกินของคู่หมั้นหนุ่มจึงมาขอความช่วยเหลือกับเพื่อนสนิทอีกครั้ง และเธอคิดว่าอีกไม่นานจะนัดให้เขามารู้จักกับเพื่อนสนิทคนนี้
เสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งทำให้น้ำค้างเงยหน้าขึ้นมอง ปรากฏว่าไม่ใช่ลูกค้าแต่เป็นเพื่อนสนิทของเธออย่างฟองดูว์
“น้ำค้างจ๋า”
“ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่จ้ะ”
“นอกจากขนมแล้วอยากจะให้เพื่อนสอนทำกับข้าวด้วยน่ะสิ”
“ต้องมีค่าสอนด้วยนะ”
“ได้สิ ถ้าคิดเงินก็จะดีมากเอาจริงๆฉันก็เกรงใจแกมากน้ำค้าง”
“ฉันล้อเล่นไหม เพื่อนกันจะคิดเงินได้ไงเล่า”
“งั้นฉันจะเป็นคนซื้อวัตถุดิบแล้วกัน”
“งั้นก็ตามใจ อยากทำเมนูไหนก็จัดมาได้เลย นี่เป็นสูตรที่ฉันสรุปเอาไว้แล้ว” น้ำค้างหันไปคว้าตำราทำอาหารของตนมาให้เพื่อนสาวได้ดู
“นี่สูตรแกหมดเลยหรอยัยน้ำค้าง”
“ใช่ค่ะคุณเพื่อน”
“แกสุดยอดเลยอ่ะ” หญิงสาวตื่นตาตื่นใจกับคู่มือการทำอาหารของเพื่อนมาก เธอขอเอากลับไปนอนดูที่บ้านหนึ่งคืนก่อนที่จะเลือกว่าอยากทำเมนูอะไร
“น่าทานทุกเมนูเลย”
“ขอแม่เข้าไปหน่อยสิลูก”
“เข้ามาได้เลยค่ะประตูไม่ได้ล็อค”
“ทำอะไรอยู่ลูก”
“กำลังดูตำราอาหารของยัยน้ำค้างค่ะ”
“ไหนจ๊ะแม่ขอดูด้วย”
“นี่เลยค่ะ เพื่อนหนูคนนี้สุดยอดเลยค่ะ หนูอยากทำอาหารให้พี่โภคินทานเลยขอให้ยัยน้ำค้างช่วยสอน”
“ขอโทษนะลูกที่แม่ไม่มีเวลาสอนลูกเลย” เพราะเธอเอาแต่ช่วยสามีทำงานเลยไม่ค่อยได้เอาใจใส่ลูกสาวเท่าที่ควรแต่เธอก็ดีใจที่ลูกสาวไม่โกรธแถมยังเข้าใจตนเสมอมา แม้บางเวลาจะไม่ได้ดูแลเองแต่ก็มีคนที่ไว้ใจได้ดูแลลูกสาวแทนเธอจึงค่อนข้างวางใจและไปทำงานหาเงินมาให้ลูกสาวแทน
“อย่าคิดมากสิคะคุณแม่ คนเรามีทางออกหลายทางและทางออกของหนูคือยัยน้ำค้างค่ะ” เธอไม่เคยน้อยใจเลยเพราะรู้ว่าทุกสิ่งที่ท่านทั้งสองทำนั้นก็เพื่อเธอ เธอไม่อยากให้ท่านนึกโทษตัวเองเลย
“หนูน้ำค้างสุดยอดจริงๆ วันหลังพาแม่ไปทานของอร่อยๆร้านหนูน้ำค้างบ้างสิลูก”
“ได้เลยค่ะเดี๋ยวฟองดูว์จะนัดวันอีกทีนะคะ”
“จ้ะ แม่ไปนอนก่อนนะลูก ฝันดีนะลูก”
“ฝันดีเช่นกันค่ะคุณแม่”