บทที่ 1 บทนำ
เช้านี้บริษัทโภคินอินดัสทรีคับคั่งไปด้วยผู้คนเพราะว่าวันนี้ท่านประธานสุดหล่อจะเข้ามาตรวจเช็คความเรียบร้อยตามแผนกต่างๆ แน่นอนล่ะว่าพนักงานทุกคนต้องทำยังไงก็ได้ให้แผนกของตัวเองดูดีที่สุด ปกติแล้วชายหนุ่มมักจะทำงานที่บ้านเป็นส่วนใหญ่เพราะเขาคิดว่าการเข้าทำงานที่บริษัทไม่จำเป็นต้องเข้าทุกวัน อยู่ที่ไหนเขาก็สามารถตรวจงานได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เขามีเวลาว่างมากพอจะออกไปเที่ยวเล่นและดื่มด่ำกับบรรยากาศในตอนค่ำๆของยามค่ำคืน โภคินเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านซึ่งแน่นอนว่าทั้งพ่อและแม่นั้นวาดความหวังกับลูกชายคนนี้เอาไว้มาก พวกท่านส่งลูกชายไปเรียนที่เมืองนอกและหลังจบการศึกษาเขาเพิ่งกลับมาทำธุรกิจของครอบครัวได้ประมาณสี่ปี แต่ใครก็ไม่คาดคิดว่าสี่ปีนี้บริษัทจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีในมากขนาดนี้ ทั้งเรื่องของชื่อเสียงและผลประกอบการต่างๆ ทันทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นเหล่าพนักงานก็รีบยกมือไหว้ทำความเคารพเขาทันที
"สวัสดีค่ะบอส"
"ครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมครับ"
"แน่นอนค่ะบอส"
"งั้นถ้าทุกแผนกเรียบร้อยดีแล้วผมขอเลือกตรวจที่แผนกไอทีก่อนเลยครับ"
"จัดไปค่ะบอส แผนกไอทีเตรียมตัวนะจ๊ะ" ประโยคหลังคุณเลขาตะโกนบอกให้แผนกไอทีเตรียมตัวอย่างไม่จริงจังนัก อิงอรคือเลขาประจำตัวของชายหนุ่มที่เดิมทีเป็นเลขาของคนเป็นพ่อแต่เมื่อผู้เป็นพ่อสละตำแหน่งให้ลูกชายบริหารงานแทนคุณอิงอรก็เลยมาเป็นเลขาของเขาแทน ชายหนุ่มเองก็สงสัยเหมือนกันว่าพนักงานดูจะตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อเขามาตรวจเช็คความเรียบร้อยทั้งๆที่เขาก็คิดว่าเขาก็ไม่ได้โหดอะไรนะ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะความหูไวตาไวของเขาเลยทำให้เจอปัญหาอยู่ร่ำไป
"อะ ไอทีสวัสดีค่ะบอส" หัวหน้าแผนกไอทียกมือไหว้ชายหนุ่มอย่างหวั่นๆ
"ไหนครับ ผมขอสรุปเรื่องเกี่ยวกับแผนกไอทีหน่อย" ชายหนุ่มรับรายงานมาเปิดอ่านจากนั้นพนักงานก็อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้ชายหนุ่มฟังรวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในแผนกด้วย เมื่อมีปัญหาก็ต้องมีแผนในการจะจัดการกับปัญหาซึ่งแผนกไอทีก็วางแผนได้รัดกุมเขาพึงพอใจมาก ชายหนุ่มวนตรวจจนครบทุกแผนกในบริษัทเลย
“มีแผนกไหนอีกไหมครับเผื่อผมตกหล่นไป”
"ครบทุกแผนกในบริษัทของเราแล้วค่ะบอส"
"ขอบคุณนะครับคุณอิงอรที่วันนี้เป็นธุระจัดการงานให้ผม"
"เป็นหน้าที่ของอิงอรอยู่แล้วค่ะบอส"
"พรุ่งนี้ผมไม่เข้านะครับ"
"ได้ค่ะบอส ถ้ามีเอกสารสำคัญอะไรเดี๋ยวอิงอรเอาเข้าไปให้เซ็นค่ะ"
"ขอบคุณครับ" ชายหนุ่มกว่าจะตรวจเช็คความเรียบร้อยเสร็จก็ปาไปสามโมงเย็นแล้ว เขาเลยคิดว่าวันนี้เขาคงจะต้องออกไปเปิดหูเปิดตากับเพื่อนๆเสียหน่อย
ณ คฤหาสน์
"สวัสดีค่ะคุณหญิงนิลลดา"
"เจ้าลูกชายตัวดีของฉันล่ะจ๊ะแม่แตง"
"คุณโภคินออกไปข้างนอกค่ะ เห็นบอกว่าไม่ต้องรอทานข้าวน่ะค่ะ"
"เจ้าลูกคนนี้นิจะอยู่ทานข้าวเย็นกับแม่บ้างไม่ได้เลยหรอเนี่ย" คุณหญิงนิลลดาตอบกลับอย่างเซ็งๆ หล่อนเข้าใจว่าลูกยังหนุ่มยังแน่นชอบไปทานข้าวกับเพื่อนหรือไม่ก็สาวๆมากกว่าคนแก่อย่างแม่แต่ลูกก็ควรจะมีเวลาให้หล่อนบ้างมันไม่ถูกหรอ
"คุณโภคินเธอคงนัดเพื่อนไว้มั้งคะคุณหญิง"
"เพื่อนฉันก็ไม่ว่าหรอกจ้ะอย่าให้รู้นะว่านัดแม่สาวนักร้องนั่นน่ะน่าดู"
"เธอคงแค่ออกไปสนุกๆค่ะ คุณหญิงไปทานข้าวเย็นดีกว่านะคะแตงเตรียมไว้ให้แล้วค่ะ"
"เห้อ ก็ได้มีแต่แม่แตงนี่แหละที่คอยเอาใจใส่ฉัน"
ณ ผับหรู
"ทำไมวันนี้ไม่มีสาวๆขึ้นเลยล่ะครับ"
"นี่คุณโภคินกำลังหมายถึงน้องเบญหรือเปล่าครับเนี่ย เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นวันนี้คุณก็ต้องผิดหวังแล้ว"
"อ้าวทำไมล่ะครับ"
"วันนี้เห็นว่ามีธุระสำคัญน่ะครับ"
"ธุระอะไรครับ"
"ผมไม่ทราบเลยครับ หนุ่มๆร้องเพลงก็เป็นอีกฟิวนึงนะครับ ขอให้สนุกนะครับ"
"ครับๆ คุณโชคไปทำงานเถอะครับตามสบายเลย ผมไม่รบกวนแล้ว"
"ครับผม" ผู้จัดการผับหรูเดินห่างออกไป ชายหนุ่มจึงนั่งลงบนโซฟานุ่มอย่างเซ็งๆ อีกด้านหญิงสาวกำลังเดินกระหืดกระหอบเข้ามายังโซนวีไอพีที่ตัวเองมาช้ากว่าที่นัดหมายตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง
"ยัยฟองดูว์วันนี้แกมาสายแกเลี้ยงพวกเราเลยนะ" พิมพาบอกเพื่อนสาวอย่างงอนๆ วันนี้วันเกิดเธอแท้ๆแต่เพื่อนสนิทอย่างฟองดูว์ดันมาสายซะได้
"ได้ๆขอโทษแกพอดีมีปัญหานิดหน่อยน่ะ"
"ฉันล้อเล่นวันเกิดฉันแกจะเลี้ยงได้ไง ลืมๆปัญหาของแกไปเถอะ คืนนี้พวกเรามาสนุกกันให้เต็มที่เลยดีกว่า" พิมพาขยับเขาไปโอบไหล่คนเป็นเพื่อนแล้วบอกออกไปน้ำเสียงร่าเริง ไม่ว่าเพื่อนจะมีปัญหาอะไรหลังจากคืนนี้ไปเธอจะช่วยเพื่อนหาทางออกให้เอง
"โอเคค่าคุณเพื่อนสาว" พิมพากับฟองดูว์เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็กๆนั่นก็เป็นเพราะแม่ของพวกเธอเป็นเพื่อนกัน แถมยังตั้งท้องพร้อมๆกันเรียกได้ว่าพวกเธอสองคนนี่คลานตามกันมาได้เลยก็ว่าได้ วันเกิดของเพื่อนเธอทุกปีเธอต้องมาร่วมงานให้ได้ไม่อย่างนั้นล่ะโดนงอนไปหลายวันเลย หลังจากที่นั่งดื่มกับมาสักพักพิมพาก็สังเกตถึงความไม่ปกติเพราะตอนนี้เพื่อนเธอเริ่มเมาแล้ว
"เมามากแล้วนะแก"
"ยังไม่เมาสักหน่อยแกก็รู้ว่าฉันคอแข็ง" ฟองดูว์ตอบกลับเพื่อนสาวยิ้มๆ
"อืมๆเชื่อก็ได้ ดึกแล้วแกจะกลับเลยไหม"
"อืม ว่าจะกลับล่ะคุณแม่ไลน์มาตามสองรอบแล้วล่ะ"
"ขับกลับไหวแน่นะ"
"ไหวสิ”
“ฉันจะเชื่อใจแกขับรถได้ไหมเนี่ย”
“ได้สิ บ๊ายบายจ้ะ"
"โอเคแกขับรถกลับดีๆล่ะ พยายามมีสติเข้าไว้"
“โอเคค่า” ฟองดูว์ขับรถญี่ปุ่นยี่ห้อดังออกจากผับหรูดังกล่าวและมุ่งหน้ากลับบ้านของตนทันที แต่ระหว่างทางเธอเจอกับอุบัติเหตุจึงแวะดูเสียหน่อยเผื่อมีอะไรที่เธอพอช่วยได้
"มีอะไรให้ช่วยไหมคะ"
"รถฉันเสียน่ะค่ะ เหมือนว่ายางจะระเบิด"
"ยางระเบิดก็ไปต่อไม่ได้แล้วค่ะ เรียกช่างหรือยังละคะ"
"เรียกแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่คุณแวะลงมาดู"
"ฟองดูว์เต็มใจค่ะ ฮ่าๆ ชื่อฟองดูว์นะคะ" หญิงสาวยิ้มหวานแนะนำตัวอย่างเป็นกันเอง
"เบญญาค่ะ เรียกสั้นๆว่าเบญก็ได้ค่ะ ดูท่าแล้วฟองดูว์จะอายุน้อยกว่าขออนุญาตเรียกว่าน้องฟองดูว์แล้วกันนะคะ"
"ได้เลยค่ะพี่เบญ เดี๋ยวฟองดูว์รอช่างเป็นเพื่อนนะคะ"
"เกรงใจจังเลยค่ะไม่ต้องก็ได้นะคะ"
"อย่าเกรงใจเลยค่ะ ว่าแต่พี่เบญหน้าซีดๆนะคะฟองดูว์ว่าไปหาหมอดีไหมคะ"
"อะ เอ่อ ไม่ต้องหรอกค่ะคงเพราะพี่พักผ่อนน้อย"
"จริงเหรอคะ วันนี้ฟองดูว์ไปส่งพี่เบญที่บ้านดีกว่าค่ะ บ้านพี่เบญอยู่ตรงไหนเหรอคะ ฟองดูว์จะไปส่งถึงบ้านด้วยความปลอดภัยเลยค่ะ"
"พี่เป็นห่วงรถน่ะค่ะ"
"เอางี้ดีกว่าค่ะเดี๋ยวฟองดูว์เรียกช่างที่ไว้ใจได้มาให้ ทีนี้พี่เบญก็กลับไปพักได้แล้วนะคะ"
"ค่ะ ขอบคุณมากๆเลยนะคะ น้องฟองดูว์สวยแล้วก็ยังมีน้ำใจด้วย"
“ชมกันเกินไปแล้วค่ะ” หญิงสาวขับรถไปส่งเบญญาถึงบ้านจากนั้นก็กลับบ้านของตนเองทันที แน่นอนว่าเธอโดนคุณหญิงแม่ซักฟอกยกใหญ่ว่าทำไมถึงกลับบ้านช้า พอเธอให้เหตุผลไปคุณแม่ก็บอกว่าดีแล้วที่ช่วยเหลือผู้หญิงด้วยกัน เกิดวันข้างหน้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้กับเธอบ้างก็คงจะมีคนมาช่วยเหลือเช่นกัน
ด้านเบญญาเมื่อกลับถึงที่พักก็ล้มตัวลงนอนทันทีเพราะความเหนื่อยล้าที่มีมาทั้งวันประกอบกับตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ไม่แปลกที่เธอจะดูมีใบหน้าซีดเซียว เธอทำงานเป็นนักร้องกลางคืน แน่นอนว่าความสวยความสาวของเธอเข้าตานักท่องราตรีหนุ่มๆหลายคน แต่เธอดันตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่งและเผลอมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันไม่นานมานี้ แต่ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่ได้ให้ค่าอะไรกับชีวิตของเธอเลยเพราะเขาเป็นลูกเศรษฐีที่เล่นสนุกไปวันๆ
วันต่อมาเบญญาก็กลับมาทำงานตามปกติ แต่เธอขอกับทางร้านว่าช่วงนี้จะขอร้องถึงแค่ประมาณห้าทุ่มเพราะเธอรู้สึกไม่ค่อยสบาย ทางร้านก็ยินดีทำตามความต้องการของเธอเพราะถือว่าเธอเป็นนักร้องคนสำคัญที่เรียกแขกมาได้มากทีเดียว ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรงโภคินก็มาดักรอหญิงสาวเหมือนเช่นเคย
"เบญครับ"
"คะ คุณโภคินสวัสดีค่ะ" เบญญาตกใจไม่น้อยกับการจู่โจมของชายหนุ่ม
"เมื่อวานคุณไม่มาผมมานั่งรออยู่ตั้งนานแหนะ"
"พอดีเบญมีธุระน่ะค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ"
"ทำไมต้องหลบหน้าผมด้วยล่ะครับ" ชายหนุ่มเอามือแกร่งกักตัวเธอเอาไว้กันไม่ให้คนในวงแขนหนีไป เขารู้ดีว่าหลายวันมานี้เธอกำลังหลบหน้าเขาอยู่
"เบญไม่ได้หลบนะคะแต่ว่าเบญมีธุระจริงๆค่ะ"
"งั้นก็ได้ครับ ผมยังหวังว่าเบญจะมีเวลาว่างให้กันบ้างนะครับ" ชายหนุ่มลดแขนทั้งสองข้างลงเพื่อให้หญิงสาวเป็นอิสระ
"ค่ะ" หญิงสาวรีบหลบเลี่ยงจากชายหนุ่ม โภคินเป็นนักธุรกิจรูปหล่อที่สาวๆต่างหมายปองเขากันทั้งนั้น เขาหมายปองเธอเธอรู้ดีแต่เธอไม่ได้มีค่ามากมายขนาดนั้นเธอจึงไม่อยากให้เขาต้องมาเสียเวลากับคนอย่างเธอ เธอเป็นใครเขาเป็นใครเธอรู้อยู่แก่ใจ เขาดีขนาดนี้ไม่ควรมาข้องเกี่ยวกับคนอย่างเธอ
ฟองดูว์ออกมาเจอเพื่อนรักอย่างน้ำค้างที่ร้านเบเกอรี่ของน้ำค้าง น้ำค้างเพื่อนสนิทของเธอตั้งใจทำขนมและเปิดร้านของตนเองมาได้ประมาณสองปีแล้ว วันนี้ฟองดูว์เลยอยากจะมาช่วยเป็นลูกมือในการทำขนม
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลยวันนี้ฉันว่างเลยอยากมาช่วย”
“บอกจุดประสงค์ของหล่อนมาตรงๆจ้ะ” สายตาแพรวพราวของเพื่อนสาวดูก็รู้ว่ากำลังโกหก
“คะ คือ...ฉันอยากทำขนมไปให้พี่โภคินทานน่ะ”
“พี่โภคิน?”
“พี่โภคินคือลูกชายของเพื่อนคุณแม่น่ะ พี่ฟอสเคยไปเล่นด้วยสมัยเด็กๆ”
“แล้วแกปิ๊งเขาหรอ”
“อะ อืมก็เขาหล่ออ่ะ”
“ฮ่าๆ แกนี่นะฉันล่ะอยากจะเห็นหน้าพี่โภคินคนนี้ของแกจริงๆเลยว่าจะหล่อสักแค่ไหน”
“ไว้มีโอกาสฉันจะรีบแนะนำให้แกรู้จักเลย”
“ว่าแต่อยากทำอะไรล่ะวันนี้”
“อะไรก็ได้ที่พี่เขาจะประทับใจในตัวฉันน่ะ”
“โอเคตามมา” น้ำค้างสอนเพื่อนทำขนมที่สามารถทำได้ง่ายๆไม่ยุ่งยากและอร่อยถูกปากสำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบทานหวานมากนัก เมื่อทำขนมเสร็จเรียบร้อยเธอก็รีบกลับบ้านเพราะคุณแม่บอกเอาไว้ว่าจะไปบ้านของชายหนุ่มที่เธอหมายปอง เธอไม่อยากผิดนัดหรือไปสายกว่าเวลานัดหมายเพราะรถค่อนข้างติดแล้วจึงต้องรีบออกจากร้านของน้ำค้างให้เร็วที่สุด
“ยัยเพื่อนคนนี้นี่รีบไปหาหนุ่มจริงๆ” น้ำค้างอดที่จะบ่นไม่ได้
ด้านชายหนุ่มคอตกกลับบ้านเพราะสาวที่แอบหมายปองไม่ได้มีเขาอยู่ในสายตาของเธอเลย เขาเคยได้ยินว่าบ้านเธอฐานะค่อนข้างยากจน เธอทำงานส่งน้องๆเรียนที่ต่างจังหวัด ทั้งสวยทั้งขยันแบบนี้เธอเลยดูน่าสนใจสำหรับเขา แต่ตอนนี้เขาหมดสนุกแล้วเพราะเธอหลบหน้าจึงอยากกลับบ้านเต็มที พอมาถึงบ้านก็ต้องแปลกใจเพราะวันนี้มีแขกมาร่วมรับประทานอาหารด้วย
"ตาโภคินมาแล้ว มาๆมาสวัสดีคุณป้าพริ้งพราวหน่อยเร็วลูก"
"สวัสดีครับคุณป้า อะ เอ่อ"
"นี่น้องฟองดูว์ลูกสาวของป้าพริ้งพราวเขานะลูก ทำความรู้จักกันไว้เร็ว" นิลลดาแนะนำลูกสาวของเพื่อนให้ลูกชายได้รู้จัก
"สวัสดีค่ะพี่โภคิน" สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเหมือนตุ๊กตาส่งยิ้มหวานกลับมาให้ชายหนุ่ม ฟองดูว์รู้สึกว่าผู้ชายตรงหน้าดูหล่อเหลากว่าในรูปภาพที่คนเป็นแม่ให้ดูตั้งหลายเท่า ในรูปว่าชอบแล้วพอเจอตัวจริงนี่หลงรักเลย
"ยังไม่ได้ทานอะไรมาใช่ไหมลูก"
"ผมดื่มมานิดหน่อยครับแม่" กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ติดกายชายหนุ่มมาความจริงหญิงสาวได้กลิ่นตั้งแต่แรกแล้ว เขาชอบดื่มเธอรับได้แต่อย่าชอบเที่ยวกับสาวๆก็แล้วกันแบบนั้นเธอรับไม่ได้หรอก
"ดื่มตอนท้องว่างไม่ดีเลยนะจ๊ะโภคิน" พริ้งพราวบิกกับลูกชายของเพื่อนด้วยความหวังดี
"นั่งๆลงก่อนลูก นี่แหละโตขนาดนี้ก็ยังทำให้พี่เป็นห่วงอยู่ทุกวัน พี่ล่ะอยากให้เป็นฝั่งเป็นฝามีครอบครัวของตัวเองจะแย่แล้ว" ประโยคหลังคุณหญิงหันไปคุยกับคนเป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย
"น้องฟองดูว์เขาซื้อขนมมาฝากลองทานหน่อยสิลูก"
"ครับแม่ ขอบคุณครับ" ชายหนุ่มหยิบขนมหน้าตาน่าทานใส่ปาก ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหน้าตาและรสชาติไปด้วยกันได้อย่างดีเยี่ยม
"อร่อยไหมจ๊ะ จริงๆไม่ได้ซื้อมาเหรอจ้ะ ฟองดูว์เขาทำเองน่ะ ไปทำที่ร้านเบเกอรี่ของหนูน้ำค้างเพื่อนของลูกสาว ฟองดูว์ตั้งใจทำมาให้ที่บ้านนี้ชิมโดยเฉพาะเลยจ้ะ"
"จริงเหรอลูก เก่งจังเลยทั้งสวยทั้งมีฝีมือทำอาหารอย่างนี้ล่ะดีจริงๆจริงไหมตาโภคิน"
"ครับแม่" ชายหนุ่มตอบรับตามมารยาท
"ขอบคุณค่ะคุณป้า แต่ฟองดูว์ไม่ได้เก่งเลยค่ะแค่งูๆปลาๆเท่านั้นเอง อาศัยมีเพื่อนที่เก่งๆคอยสอน"
"พี่ว่าใช้ได้เลยนะครับ อร่อยครับ" ชายหนุ่มคิดว่าในเมื่อสาวสวยตรงหน้าทำดีก็ต้องชม แต่ใจคนถูกชมนี่สิไม่รู้ลอยไปถึงไหนแล้ว เขาชอบขนมที่เธอทำให้ด้วย เธอมีความสุขจัง
"ใช่ม่ะคิดเหมือนแม่ ฝีมือขนาดนี้เปิดร้านยังได้เลย"
"นี่ถ้าฟองดูว์เขาอยากเปิดน้องก็จะเปิดให้ค่ะคุณพี่ ไม่ว่าลูกอยากจะทำอะไรน้องก็พร้อมจะสนับสนุน"
"แต่นึกไปนึกมาทำขนมนี่คงจะเหนื่อยแย่นะจ๊ะ อยู่ช่วยแม่เขาบริหารงานสวยๆในห้องแอร์เย็นๆก็พอแล้วดีกว่า"
"ให้พี่ฟอสทำจะดีกว่าค่ะคุณป้า"
"พูดถึงตาฟอส ตาฟอสสบายดีนะจ๊ะ"
"สบายดีค่ะ"
"นี่โภคินคงจำตาฟอสไม่ได้แล้วแน่ๆเลย ตาฟอสเคยมาเล่นกับลูกสมัยหกเจ็ดขวบน่ะจ้ะ นานมากแล้ว" เมื่อคิดถึงความหลังคุณหญิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ในยามที่ลูกยังเป็นเด็กเล็กๆลูกชายของเธอเชื่อฟังเธอทุกอย่างต่างจากตอนนี้ที่ไม่เคยเชื่อฟัง
"จำไม่ได้จริงๆด้วยครับ" ชายหนุ่มยิ้มแก้เกอ
"เดี๋ยววันหลังก็มีโอกาสได้เจอกันแน่นอน"
"คุณแม่ขาวันนี้เรารบกวนคุณป้ามานานแล้วเรากลับกันก่อนดีไหมคะ อีกอย่างพี่โภคินกลับมาก็อาจจะอยากขึ้นไปพักผ่อนบ้างแล้ว"
"จริงด้วย งั้นเราสองคนกลับก่อนดีกว่าเนาะ"
"จ้ะๆ ไว้วันหลังจะนัดมาทานข้าวด้วยกันอีกนะ ป้าชอบคุยกับหนูฟองดูว์นะลูก ป้าน่ะอิจฉาคนที่มีลูกสาวหน้าตาน่ารักๆอย่างหนู"
"ได้เลยจ้ะวันหลังจะพาฟองดูว์มาหาอีก"
"สวัสดีค่ะคุณป้า สวัสดีค่ะพี่โภคิน"
"สวัสดีครับ" เมื่อสองแม่ลูกเดินออกไปแล้วชายหนุ่มก็หันกลับมามองมารดาด้วยสายตานิ่งๆเพราะอยากความต้องการในใจของคนเป็นแม่
"ไม่ต้องมามองแม่อย่างนั้นเลยนะ"
"คุณแม่จะจับคู่ให้ผมอีกแล้วเหรอครับ" เขาถามออกไปน้ำเสียงราบเรียบ ท่านก็รู้ว่าเขาไม่เคยชอบผู้หญิงคนไหนที่ท่านนัดดูตัวให้เลยสักคนแต่ก็ยังขะพยายามต่อ
"ใช่น่ะสิ หนูฟองดูว์เขาดีแสนดีลูกก็เห็นกับตาตัวเองแล้ว ลูกน่ะอายุไม่ใช่น้อยๆแล้วนะลูกที่สำคัญลูกเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน ลูกจะต้องมีลูกมีหลานสืบทอดตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของเราต่อไปสิลูก" คนเป็นแม่พยายามโน้มน้าวลูกชาย หล่อนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูกชายจะมีครอบครัวที่แสนอบอุ่นเป็นของตัวเอง
"เรื่องนั้นผมทราบครับ แต่คุณแม่ก็รู้นี่ครับว่าการถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักมันมีจุดจบอย่างไง ทีคุณพ่อคุณแม่รักกันยังได้แต่งงานกันเลย รอผมหน่อยนะครับ ผมเชื่อว่าสักวันผมก็จะได้เจอคนที่ผมรักครับ" สักวันก็คงเจอนั่นแหละแต่ตอนนี้มองหาไม่เห็นจริงๆ
"เห้อ แม่จะยังไม่บังคับลูกตอนนี้ก็ได้ แต่แม่อยากให้ลูกได้ลองศึกษานิสัยใจคอกับหนูฟองดูว์เขาซะก่อน ลูกอย่าเพิ่งรีบร้อนปฎิเสธความหวังดีของแม่คนนี้เลยนะลูก แม่หวังดีกับลูกชายของแม่จริงๆ" นางกุมมือแกร่งของลูกชายเอาไว้พยายามถ่ายทอดความหวังดีให้ลูกชายสุดที่รักได้รับรู้
"ก็ได้ครับผมจะลองดูก่อนก็ได้เพื่อคุณแม่เลยนะครับ คุณแม่ก็รู้ว่าผมรักคุณแม่มากแค่ไหน" ชายหนุ่มสวมกอดคนเป็นแม่เบาๆ
"เยี่ยมมากจ้ะ วันนี้แม่ไม่กวนลูกแล้วก็ได้ ลูกขึ้นไปนอนพักผ่อนเถอะลูก หลับฝันดีจ้ะ"
"ครับ คุณแม่ทำอย่างกับผมเป็นเด็กน้อยที่ไม่บอกฝันดีแล้วจะนอนไม่หลับเลยนะครับ"
"ลูกยังเป็นเด็กในสายตาของพ่อกับแม่เสมอ พ่อแม่ทุกคนก็คงจะคิดแบบเดียวกัน" ชายหนุ่มเมื่อเข้ามาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวเขาก็รู้สึกว่าชีวิตของเขาทำไมมันถึงขาดสีสันมากมายขนาดนี้ก็ไม่รู้ ในขณะที่เพื่อนสนิทของเขาบางคนแต่งงานเรียบร้อยแล้วและกำลังจะได้เป็นพ่อคนอย่างภาคภูมิใจ ในขณะที่ตัวเขายังคว้าใจสาวที่ชอบพอมาไม่ได้เลย นี่เขามันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ
ด้านฟองดูว์เมื่อกลับมาถึงบ้านมารดาก็ถามไถ่ว่าลูกชายของเพื่อนเธอคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไรออกไปมาก แต่ไอ้อาการขัดเขินเอียงอายแก้มแดงระเรื่อแค่นี้มารดาก็รู้แล้วว่าลูกสาวของเธอถูกใจเขาเต็มๆ ฟองดูว์รักการทำขนมเป็นชีวิตจิตใจ วันนี้เขาชมว่าสิ่งที่เธอทำนั้นอร่อยเธอก็ยิ่งภูมิใจในตัวเองมากขึ้นไปอีก มารดาเมื่อรู้ว่าการจะจับคู่ลูกสาวกับโภคินนั้นไม่ใช่การฝืนใจของลูกสาว คนเป็นแม่ก็ต้องสู้สุดใจให้ได้ลูกเขยคนนี้มาแน่นอน
"คะ คุณแม่อย่าจ้องฟองดูว์สิคะ" แก้มแดงๆนั่นคนเป็นแม่เห็นแล้วก็อดที่จะแซวไม่ได้
"แม่เห็นลูกยิ้มได้แม่ก็มีความสุขสิจ๊ะ"
"ฟองดูว์ขอตัวไปพักผ่อนก่อนดีกว่าค่ะ"
"คิกๆลูกแม่เขินแก้มแทบแตกแล้วน้า" คนเป็นแม่หัวเราะคิกคัก
"คุณแม่" หญิงสาวเรียกมารดาเสียงอ่อนจากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นไปยังห้องนอนของตนทันที เธอเอาหน้าซุกลงที่หมอน เธอเขินจะแย่อยู่แล้ว คืนนี้เธอต้องนอนฝันถึงเขาแน่ๆเลย เมื่อเขามาอยู่ในห้องส่วนตัวเธอก็ต่อสายหาเพื่อนสาวพูดคุยให้อีกฝ่ายฟังว่าชายหนุ่มชมว่าขนมที่เธอตั้งใจทำนั้นอร่อย เมื่อเพื่อนรู้เพื่อนก็ดีใจกับเธอด้วยที่เขาชอบเพราะขนมร้านเธออร่อยจริงๆนี่หน่า ไม่งั้นลูกค้าคงไม่เต็มร้านขนาดนี้
วันต่อมาหญิงสาวตื่นแต่เช้าพามารดาไปหาหมอเพื่อตรวจสุขภาพตามนัด แน่นอนว่าพออายุมากขึ้นความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นนู้นเป็นนี่ก็เพิ่มมากขึ้น ตอนนี้มารดาของเธอมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของความดันทำให้ต้องไปพบคุณหมอทุกๆสามเดือน ซึ่งเธอก็ทำหน้าที่ของลูกสาวได้เป็นอย่างดีในการคอยดูแลท่าน ที่โรงพยาบาลคนค่อนข้างเยอะมากเพราะเรื่องของการเจ็บป่วยมันห้ามกันไม่ได้หรอก ยากดีมีจนก็มีโอกาสเจ็บป่วยกันได้ทั้งนั้น มารดาของเธอจึงชอบบริจาคเงินช่วยเหลือโรงพยาบาลและบริจาคบางส่วนสำหรับคนไข้ที่ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วย คุณแม่ของเธอเป็นคนที่จิตใจดีจริงๆเธอรักและมีท่านเป็นแบบอย่างที่ดีของเธอ
"คุณแม่รอตรงนี้ก่อนะคะฟองดูว์ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ ปวดตั้งแต่รอคุณหมอเรียกเข้าห้องตรวจแล้วค่ะ"
"ทำไมไม่บอกแม่ตั้งแต่แรกล่ะลูก ไปๆอั้นไว้ไม่ดีเลยนะลูก"
"ค่ะๆ" ฟองดูว์รีบวิ่งจู๊ดไปทำธุระส่วนตัว เมื่อเธอทำธุระส่วนตัวเสร็จ เดินออกมาด้านนอกก็พบกับคนที่คุ้นตา
"พี่เบญ!"
"อ้าว น้องฟองดูว์สวัสดีค่ะ"
"ใครเป็นอะไรคะเนี่ยหรือว่าตัวพี่เบญเจ็บตรงไหนคะ" หญิงสาวสำรวจรอบๆตัวของอีกฝ่าย
"ฮ่าๆ พี่ไม่ได้เจ็บอะไรหรอกจ้ะ พี่แค่..."
"แค่อะไรคะ"
"พี่มาฝากท้องน่ะ"
"อ้าว จริงเหรอคะยินดีด้วยนะคะ สามีพี่อยู่ไหนละคะเดี๋ยวฟองดูว์พยุงไปส่งเองค่ะ"
"พี่มาคนเดียวจ้ะ"
"ทำไมสามีของพี่เบญถึงปล่อยให้พี่มาคนเดียวละคะ แล้วนี่ฝากท้องเรียบร้อยแล้วหรือยังคะ" หญิงสาวถามออกไปด้วยความเป็นห่วง สามีของคนตรงหน้าเป็นคนแบบไหนกันถึงได้ปล่อยให้หญิงสาวต้องมาฝากครรภ์คนเดียว
"เรียบร้อยแล้วจ้ะ คุณหมอมียาบำรุงให้เยอะเลย"
"แล้วนี่พี่จะกลับยังไงคะ" หญิงสาวถามออกไปด้วยความเป็นห่วง คนที่ยังท้องอ่อนๆจะไปไหนก็ต้องระวังไปหมด
"คงออกไปเรียกรถด้านหน้าแหละจ้ะ ตอนนี้รถพี่ยังซ่อมอยู่เลย"
"งั้นฟองดูว์อาสาไปส่งพี่เองนะคะ"
"เกรงใจจังเลยค่ะ"
"ไม่ต้องเกรงใจนะคะ วันนี้ธุระของฟองดูว์ก็เสร็จแล้วเหมือนกันค่ะ ตามมาทางนี้ก่อนนะคะ"
"มาแล้วเหรอลูกอะ อ้าวนั่นพาใครมาด้วยล่ะลูก” มารดาของหญิงสาวหันไปมองก็พบว่าลูกไม่ได้เดินมาคนเดียวแต่กลับมีสาวสวยคนหนึ่งเดินมาด้วย
"คุณแม่ขา นี่พี่เบญค่ะเพื่อนของฟองดูว์เอง เราเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นานค่ะคุณแม่ พี่เบญขานี่คุณแม่คนสวยของฟองดูว์เองค่ะ" หญิงสาวแนะนำให้สองสาวต่างวัยรู้จักกัน
"สวัสดีค่ะคุณน้า" เบญญายกมือไหว้มารดาของเพื่อนสาวรุ่นน้องอย่างนอบน้อม
"ไหว้พระเถอะลูก มาโรงพยาบาลใครเป็นอะไรเหรอจ๊ะ"
"หนูเองค่ะคุณน้า พอดีว่ามาฝากท้องค่ะ" เบญญายกมือขึ้นลูบท้องแบนราบของตนไปมาเบาๆ
"นี่หนูกำลังท้องเหรอจ้ะ ดูไม่ออกเลยจ้ะน้ายินดีด้วยนะ"
"ขอบคุณค่ะคุณน้า"
"วันนี้ฟองดูว์ขอแวะไปส่งพี่เบญก่อนกลับนะคะคุณแม่ รถพี่เบญเสียยังซ่อมอยู่เลยค่ะ ฟองดูว์เป็นห่วงพี่เบญค่ะ"
"ได้สิลูก ไปๆเรารีบออกจากโรงพยาบาลกันเถอะแม่ไม่ชอบโรงพยาบาลเลยจริงๆยิ่งอยู่ยิ่งดูดพลัง"
"ฮ่าๆ โอเคค่ะ" เบญญารู้แล้วว่านิสัยมีน้ำใจชอบช่วยเหลือคนอื่นของฟองดูว์ตกทอดมาจากใคร ทั้งมารดาทั้งลูกสาวต่างเป็นคนมีน้ำใจด้วยกันทั้งคู่แถมหน้าตาก็ยังสะสวยเรียกได้ว่าสวยทั้งกายและใจ
"หนูเบญทำงานที่ไหนล่ะจ๊ะ"
"เบญเป็นนักร้องค่ะ ทำงานที่ผับ..."
"อ่อ แต่น้าว่าหนูกำลังท้องอย่างนี้หยุดพักงานก่อนก็ดีนะจ๊ะ เป็นนักร้องต้องนอนดึกแน่ๆไม่เป็นผลดีต่อเด็กในท้องเลยนะจ๊ะ"
"หยุดไม่ได้หรอกค่ะคุณน้า ถ้าหยุดเบญก็ไม่มีรายได้เลยค่ะ เบญต้องส่งเงินกลับไปให้น้องๆที่ต่างจังหวัดด้วย"
"หนูสุดยอดเลยลูกแต่น้าว่าช่วงนี้ให้สามีหนูเขาทำงานคนเดียวไปก่อนก็ได้นี่จ๊ะ คนท้องต้องนอนพักผ่อนเยอะๆนะหนู" พริ้งพราวบอกกับอีกฝ่ายน้ำเสียงห่วงใย
"อะ เอ่อคือ...เขายังไม่ทราบว่าเบญตั้งท้องเลยค่ะคุณน้า เบญคิดว่าเบญกำลังจะต้องกลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว"
"โธ่ลูก นี่เขาจะไม่รับผิดชอบหนูหรอ หนูรีบไปบอกเรื่องที่หนูท้องกับเขาเลยนะลูก น้าว่าเขาคงไม่ใจร้ายใจดำขนาดนั้นหรอก เลี้ยงดูคนเดียวมันลำบากนะลูก" หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆรับรู้ ฟองดูว์แวะส่งเบญญาถึงบ้านเช่าหลังเล็กของเธอด้วยความปลอดภัย ตลอดทางกลับบ้านมารดาของเธอพูดถึงเบญญาตลอดทาง ท่านสงสารเบญญามากถ้าหากในอนาคตหญิงสาวจะต้องเลี้ยงลูกน้อยคนเดียว แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามชะตาที่ฟ้าเบื้องบนได้ลิขิต
หลังจากวันนั้นฟองดูว์ก็ยังไม่มีโอกาสแวะเข้าไปหาโภคินอีกเลยเพราะเธอได้ข่าวมาว่าช่วงนี้บริษัทของเขากำลังมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้น เธอไม่อยากจะเข้าไปยุ่งให้เขารำคาญใจเอาได้ พี่ฟอสพี่ชายสุดที่รักของเธอสุดสัปดาห์นี้นัดให้เธอไปทานข้าวด้วย หลายวันแล้วที่เธอไม่ได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับพี่ชายเพราะเขาไปทำงานที่ต่างจังหวัดเพิ่งจะกลับมาหาเธอและครอบครัว
"พี่ฟอส!" หญิงสาวส่งเสียงเรียกพี่ชายด้วยความดีใจ เธอคิดถึงพี่ชายที่แสนดีคนนี้อยู่ตลอด
"ว่าไงยัยน้องเรียกพี่เสียงดังเชียว"
"ก็ฟองดูว์คิดถึงพี่ชายของฟองดูว์นี่คะ พี่ฟอสกินอิ่มนอนหลับใช่ไหมคะ ฟองดูว์เป็นห่วงรู้ไหมคะ"
"พี่ก็คิดถึงน้องสาวคนี้ของพี่เหมือนกัน วันนี้อยากกินอะไรสั่งเต็มที่เลยนะพี่เลี้ยงเอง"
"จริงเหรอคะ พูดแล้วห้ามคืนคำนะคะเพราะพี่ก็รู้ว่าน้องสาวคนนี้เนี่ยกินจุแค่ไหน" หญิงสาวถามกลับตาโต วันนี้ลาภปากอีกมื้อแล้ว
"จุแค่ไหนพี่ก็เลี้ยงไหวอยู่แล้วล่ะไม่ต้องเป็นห่วง" ฟอสลูบผมน้องสาวด้วยความเอ็นดู น้องของเขาโตขนาดนี้แล้ว
"คิกๆจัดไปค่า" พี่ชายทำอย่างที่พูดได้จริงๆ เธออยากจะทานอะไรพี่ชายก็อนุญาตให้ทานได้ตลอด เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเธอก็อยากจะไปช้อปปิ้งสักหน่อยเพราะว่าเธอไม่ได้ออกมาช้อปปิ้งนานแล้วเหมือนกัน เพราะเธอมัวแต่อยู่ในครัวคิดค้นสูตรทำขนม
"พี่ฟอสคะ วันนี้เป็นวันของน้องใช่ไหม"
"ใช่ครับ พี่จะตามใจเราทุกอย่างเลย" ชายหนุ่มพยักหน้าลงเบาๆ น้องสาวคนสวยเห็นดังนั้นก็ยิ้มหน้าบาน
"ถ้าอย่างนั้นไปซื้อของกับน้องหน่อยนะคะ"
"ได้สิครับ แต่ขอเป็นห้างใกล้ๆพอนะครับ พี่ไม่อยากนั่งอยู่ในรถนานเพราะรถติดน่ะ"
"โอเคค่า" เมื่อเข้ามาภายในห้างพี่ชายที่แสนดีก็รับบทเป็นคนถือของให้เธอไปโดยปริยาย หญิงสาวเข้าร้านนู้นออกร้านนี้จนคนเป็นพี่เริ่มปวดหัว
"ฟองดูว์แขนพี่จะถือไม่หมดแล้วนะครับ ฟองดูว์ ฟองดูว์ได้ยินพี่ไหม"
"เอ๊ะ! นั่นพี่เบญนี่หน่า พี่ฟอสมาทางนี้ก่อนค่ะ น้องเจอคนรู้จัก"
"ไปไหนครับรอพี่ด้วยสิ" ยัยน้องของเขาวิ่งตัวปลิวไปเลยส่วนเขาน่ะหรอทำได้แค่เดินตามไปช้าๆเพราะมีของเต็มไม้เต็มมือกลัวว่าถ้าวิ่งตามของจะหล่น