ดังนั้นจนถึงวันนี้ อาจกล่าวได้ว่าโจวฟางจื่อเป็นหม้ายก็คงไม่ผิด การหายสาบสูญของสามีห่วยๆ สร้างความทุกข์ยากให้โจวฟางจื่อ ด้วยต้องรับผิดชอบหลายสิ่งหลายอย่างในฐานะสะใภ้ใหญ่ของบ้านหวัง
นับจากวันนั้น โจวฟางจื่อก็อยู่ที่เรือนสกุลหวัง ทำทุกอย่างในฐานะสะใภ้คนโต ดูแลทั้งแม่สามี น้องสาวเขาที่ฝันอยากเป็นนักแสดงชื่อดัง กับน้องชายที่กำลังแตกเนื้อหนุ่ม
ร่างทรงเสน่ห์ยืนอยู่หน้าประตู ใจอยากวางถาดอาหารไว้ และถอยหนีไปเสียง ทว่าเสียงหายใจที่หอบต่ำๆ ตามด้วยเสียงครางแผ่วๆ ทำให้เธอไม่อาจหันหลบไปทางอื่นได้
โอ้ โจวฟางจื่อ ต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เธอกำลังคิดเลื่อนเปื้อนกับเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปี และเขาก็ยังเป็นน้องของสามีเธอด้วย
ทว่าให้ตายเถิด ร่างกายนี้ หัวใจนี้ ไม่ใช่ของเธอ ดังนั้นมันจึงไม่อาจเชื่อฟังคำสั่ง วิญญาณที่มาจากโลกคู่ขนาน ที่สำคัญเจ้าของร่างเป็นตัวละครที่ดีแสนดี ทึ่มจนเซ่อ และคอยทผลักดันให้บ้านหวังก้าวผ่านพ้นในช่วงเวลาทุกข์ยากนี้ไป แน่นอนเรื่องราวเขียนเอาไว้สั้นๆ ว่า หลังจากสามีหายตัวไป เขาก็กลับมาพร้อมภรรยาใหม่ ส่วนโจวฟางจื่อรับหน้าที่สำคัญกลายเป็นหญิงหม้ายหัวใจแกร่ง ที่ยังอยู่ในละแวกบ้านเดิมของสามี ทำกิจการร้านอาหาร สู้ชีวิตพร้อมช่วยเหลือผู้คน จนกลายเป็นตำนานหญิงนักสู้ประจำถนนสายสี่ ของเมืองกว่างตู ในเขตปกครองพิเศษ น่าเสียดายที่ โจวฟางจื่อ อยู่เป็นโสด ไร้ทายาท ไม่มีผู้ชายคนใดมาดูแลหัวใจ นั่นเป็นเพราะเธอปิดกั้นตัวเอง ทั้งที่เป็นหญิงสาวซึ่งนับว่าสวยจัดคนหนึ่ง
ฉากสุดท้าย เธอจากไปอย่างสงบ ทิ้งกิจการ และตำราอาหารไว้ให้คนมากมาย นั่นคือเนื้อหาในนิยายที่ผู้มาจากโลกอื่นรับรู้
เฮ้อ ทุกอย่างมันเกินจะทนสำหรับเธอแล้ว เหนื่อยสายตัวแทบขาด และไม่รับความสุขไปชั่วชีวิตเพื่อการใด
ในขณะเดียวกัน หญิงสาวยืนอยู่หน้าประตูห้องหวังเสี่ยวเกอ และอยากดึงตนเองให้หนีจากความล่อแหลมนั้น แต่กลับไม่อาจทำมันได้สำเร็จ ดังนั้นเมื่อไม่สำเร็จ เธอจึงเปลี่ยนบทเสียใหม่ ให้สมกับการที่แอคเค่อสาวสายฟาด ทะลุมิติเวลาเข้ามาในนิยายเรื่องนี้
โจวฟางจื่อหลับตาลง สองขาชิดกัน ให้ตายเถอะเสียงครางต่ำๆ ของน้องชายสามี ทำให้เธอรู้สึกว่าร่างกายส่วนร่างหวามไหวเหลือเกิน
อ๊ะ เธอเป็นอย่างนี้อีกแล้ว เครื่องติดง่าย เมื่อสมองคิดถึงเรื่องสัปดนระหว่างชายหญิง นั่นคงเป็นเพราะเธอเหงาใจมากเกินไป อึดใจต่อมา ระหว่างที่กลีบสวาทมีน้ำซึมเอ่อ และซ่านสยิวจับใจ
ประตูก็เปิดออก ร่างสูงของหวังเสี่ยวเกอปรากฎตรงหน้า
สองแก้มของเธอผะผ่าวร้อน ลำคอแห้งผากในทันที
หวังเสี่ยวเกอเปลือยท่อนบน กางเกงที่เขาใส่ก็ผูกเอวไว้หลวมๆ มันเป็นตัวเก่งที่เขาชอบใส่ เธอซักให้บ่อยครั้ง พร้อมกับบอกว่า หากเป็นไปได้อยากให้เขาเก็บมันเอาไว้ซะ อย่าเอามาใส่อีก ด้วยนอกจากเนื้อผ้าบาง ยังถูกซ่อมด้วยการปะหลายหนแล้ว อีกอย่างมันทำให้เธอจินตนาการถึงท่อนรักของเขา ที่คงใหญ่โตไม่แพ้พี่ชาย
“อาซ้อ...”
เสียงหวังเสี่ยวเกอดึงสติของเธอให้กลับมามองหน้าเขา
และเม็ดเหงื่อผุดที่หน้าผาก มันขับให้เขาดูมีชีวิตชีวา กลิ่นอ่อนๆ ของบุรุษทำให้เธอเริ่มปั่วป่วนบริเวณท้องน้อย
ดวงตากลมโตมองอีกฝ่าย และยิ้มให้เขา
“ฉันเอาข้าวผัดไข่มาให้ มีน้ำซุปด้วย แล้วก็ยังขนมอีกสองชิ้น ยังไม่อิ่มก็มีกล้วย”
เขาทำตาโตแล้วหัวเราะเขินๆ
“หิว... หิวพอดีเลย ผมกำลังจะออกไปหาอะไรกินในครัว แต่เห็นว่าอาซ้อคงกำลังยุ่งอยู่เลยไม่อยากกวน”
“ทีหลังอย่าทนหิวอีกล่ะ เพราะฉันเห็นเธอหิวมากๆ ทีไร มักจะหิ้วท้องไปขอคนข้างบ้านกิน ฉันบอกเลยนะ ว่าบ้านเราไม่ได้อดยากขนาดนั้น”
น้ำเสียงหญิงสาวสะบัดโดยไม่รู้ตัว หวังเสี่ยวเกอเห็นท่าทาง และได้ยินน้ำเสียงสูงๆ ขึ้นจมูก เขาใจไม่ดี เลยรีบรับถาดอาหารเอาไปวางที่โต๊ะ จากนั้นจับจูงมือพี่สะใภ้ให้เขาไปนั่งด้านใน
ปกติเขากับเธอสนิทกัน หากยามนี้แตกเนื้อหนุ่มแล้ว การถูกเนื้อต้องตัวกัน ต้องยอมรับว่าฝ่ายที่ร้อนวูบวาบไปทั้งร่างก็คือโจวฟางจื่อ
“พาฉันเข้ามาข้างในทำไม” เธอยังทำเสียงแข็ง แต่ใจเต้นตึกตัก
“ผมแปลรายงานช่วยอาจารย์ และทำงานเสริมที่โรงเรียนเลยได้ค่าขนมมานิดหน่อย วันก่อนไปที่ตลาดนัด เห็นที่คาดผมอันนี้ มันเป็นผ้าแบบที่นักกีฬาชอบใช้ ดูสวยและกันเหงื่อได้ด้วย ผมซื้อมาฝากอาซ้อ”
โจวฟางจื่อเก็บความดีใจแทบไม่มิด ที่คาดผมสีสันสดใส และเป็นผ้ายืดๆ สามารถกันเหงื่อได้ด้วย หัวใจเธอยามนั้นลิงโลดเหลือเกิน น้องสามีซื้อของมาฝากเธอ
“ลองสวมดูสิครับ”
“อุ๊ย ลองอะไรกัน ฉันตัวเหนียวอยู่เลย” ทั้งที่อาบน้ำแล้ว แต่เธอเอ่ยอย่างนั้นออกไปเพราะขัดเขินนั่นเอง (อันที่จริงเธอกำลังเล่นตัว) แต่หวังเสี่ยวเกอ ดูไม่เข้าใจ ความอ่อนต่อโลกนั้นช่างหอมหวาน เขาจับไหล่เธอให้ยืนนิ่งๆ แล้วใส่ที่คาดผมให้
ในระหว่างที่ร่างกายใกล้ชิดกัน ลมหายใจอุ่นซ่านของเธอก็รดเรือนกายด้านบนที่เปลือยเปล่าของเขา
ยอดหน้าอกของหวังเสี่ยวเกอตั้งชัน มันสะดุดตา และยามนั้นลูกกระเดือกเขาขยับขึ้นลง ส่วนเสียงหัวใจเขาดังแรง แรงจนเธอคิดว่ากำลังได้ยินมัน
เมื่อเขาสวมที่คาดผมแบบผ้ายืดให้เธอเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็ยิ้มกว้าง เขายิ้มและมองเธอด้วยดวงตาที่เป็นกระกายวิบวับ
เด็กน้อยในวันกลาย เติบโตเป็นหนุ่มที่ดูเจ้าชู้ กรุ้มกริ่ม และยั่วยวนหัวใจเธอยิ่งนัก
โจวฟางจื่อรู้ว่า อยู่สองต่อสองแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ เธอจะไม่ยอมเปิดโอกาสให้ตนเอง เผลอไผลไปมากกว่านั้น เลยผลักหน้าอกเขาเบาๆ และเบี่ยงตัวออกมา แต่เด็กหนุ่มกำลังเล่นกับไฟ เขาจับตัวเธอหมุน เข้ามายืนประกบจากด้านหลัง ก่อนเอื้อมมือไปหยิบกระจกเงาบานที่ตั้งอยู่บนหลังตู้มา
“น่ารัก... อาซ้อเหมือนเด็กน้อยเลย”
เขาชมเธออย่างเปิดเผย และขยับที่คาดผมให้เข้าที่ ขณะเดียวกันสิ่งที่มันพองขยายและตื่นตัวได้ก็สัมผัสที่บั้นท้ายของเธอ
โจวฟางจื่อสะดุ้งเล็กน้อย แต่ไม่กล้าเอ่ยคำใด เธอจะเปิดปากออกไปตรงๆ ได้หรือ หากเป็นเช่นนั้นอาจจะเร็วไปสักหน่อย เธอต้องปั่นหัวเด็กหนุ่มให้คลั่งไคล้เรือนกายนี้อีกนิด
“ฉันจะไปอาบน้ำ เสี่ยวเกอก็กินข้าวซะ ยังไงอย่านอนดึก ตี่สี่ต้องไปตลาดกับฉัน”
เธอกำชับเขา และใช้โอกาสนั้นขยับตัวหนีอีกหน แต่เด็กหนุ่มยังตอแยไม่เลิก
“ผมแรงเยอะ อีกอย่างไม่ต้องนอนหลายคืนก็ช่วยงานอาซ้อได้”
“อย่าพูดเหลวไหล เธอยังต้องเรียนและอ่านหนังสือสอบ”
เป็นตอนนั้นที่หวังเสี่ยวเกอสูดลมหายใจลึก ก่อนค่อยๆ ผ่อนออก “ผมไม่อยากเรียนแล้ว หากไปเรียนก็ต้องห่างบ้านหลายปี ทางนี้ใครจะช่วยงานอาซ้อ ไหนจะแม่อีก เทียวเข้าออกโรงพยาบาล เป็นภาระอาซ้อเกินไป”
“นายพูดแบบนี้ แล้วที่ฉันทำมาทั้งหมดเพื่ออะไร ส่งเรียนหนังสือที่ดีๆ ให้เล่นกีฬา ก็เพื่อใช้ในการเป็นโควต้าเขาเรียนมหาลัย แล้วจู่ๆ มาพูดชุ่ยๆ นายกำลังดูถูกสิ่งที่ฉันพยายามทำทั้งหมด นะ นายคือความภูมิใจของแม่ และต้าเกอ (หวังต้าเซียนซี สามีของโจวฟางจื่อ) พวกเขาล้วนอยากให้นายเป็นหมอ”
เด็กหนุ่มจับร่างของเธอหมุนหน้ามาสานสบสายตากัน ยามนั้นดวงตาเขาแดงก่ำ เนื้อตัวก็สั่นน้อยๆ
“ผมไม่เก่งทั้งเล่นกีฬาและก็เรียนนั่นแหละ มีคนถามผมบ้างไหมว่า อยากเป็นหมอหรือไม่ ผมแค่อยากใช้ชีวิตของตัวเอง ได้อยู่กับอาม๊า และก็อาซ้อ ที่บ้านหลังนี้!” เขาขึ้นเสียงดังใส่เธอ และดวงตาคมกริบคู่นั้นส่งความปวดร้าวให้โจวฟางจื่อสัมผัสได้