เรื่องพวกนี้หากเขาไม่ตอบสนอง ในสักวันคงเลิกราไปเอง
“อื้ม” นางพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ถึงปลายนิ้วของเขาที่รวบผมนางแล้วปักปิ่นให้ “ยามข้ากินเศษพลังชีวิตที่ศิษย์หลงเหลือไว้ให้ ก็ได้เสพรสชาติเหล่านี้ด้วย ไม่อร่อยเลยสักนิด แต่ก็ต้องกินไม่เช่นนั้นข้าก็จะทรมานมาก”
“อย่างนั้นหรือ”
“ข้าเป็นปีศาจอย่างไรเสียก็ต้องกลืนกินความรู้สึกเหล่านี้อยู่แล้ว” นางเบ้ปากแต่เมื่อหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับเขาแล้ว แล้วก็ยิ้มกว้างออกมา “แต่เจ้ามีวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างไรถ้าเจ้าตายแล้วยกให้ข้านะ”
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป”
“เพราะข้าไม่กล้าฆ่ามนุษย์ ซ้ำยังยั่วยวนมนุษย์ไม่เป็นอีก หากรอกินเพียงเศษพลังชีวิตที่ศิษย์พี่เหลือให้เกรงว่าต้องกลายเป็นปีศาจพิกลพิการไม่สมบูรณ์ ท่านแม่จึงให้ข้ามาหาศิษย์พี่ที่หอชมบุหลัน ให้สั่งสอนการเสพพลังชีวิตมนุษย์และพลังหยางด้วย”
“หอชมบุหลัน เจ้าหมายถึงหอนางโลม...” ยังพูดไม่จบประโยคดีนางก็พยักหน้ารับ มิน่าเล่าถึงได้พบกันที่สะพานข้ามคลอง เพราะนางกำลังจะไปที่หอชมบุหลัน
“แล้วเจ้าล่ะ ทำไมอยากฆ่าตัวตาย หรือเพราะหัวใจอ่อนแอจึงอยากตาย” นางถามทั้งที่ดวงตาพราวระยับด้วยความหวัง
หานหรงเหยากลั้นหัวเราะ นางยังเข้าใจผิดว่าเขาจะฆ่าตัวตาย ท่าทางไร้อาวรณ์ในชีวิตของเขาคงเหมือนคนอยากตายกระมัง แต่คนที่อายุสั้นเช่นเขาคงไม่ต้องเร่งร้อนพาตัวเองไปสู่ความตายเร็วนัก
แต่นางกล่าวได้ถูกต้องแล้ว หัวใจของเขายังไม่แข็งแรงจริงๆ เมื่อครู่ยังเผลอคิดถึงหลัวซู่เหมยอยู่เลย นางกลายเป็นพี่สะใภ้ของเขาแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่เขาจะเลิกคิดถึงนางเสียที
“เอาเถิด ถึงอย่างไรข้าก็ต้องขอบใจเจ้ามาก” นางพูดแล้วยืดแผ่นหลังขึ้นเลียนแบบท่าทางสูงส่งของท่านแม่ ท่านแม่เป็นปีศาจจิ้งจอกแดงอายุหลายพันปี ท่วงท่างามสง่าน่าเคารพยำเกรงเป็นที่สุด นางวาดฝันไว้ว่าสักวันต้องเป็นให้ได้เช่นท่านแม่
แต่การวางท่าของนางกลับเรียกเสียงหัวเราะพรืดจากบุรุษตรงหน้า หลิวเข่อซิงทำปากยู่ใส่ แถมด้วยถลึงตาแต่หานหรงเหยากลับมองว่าช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน
“ช่างเถอะ” นางอ่อนใจที่ไม่สามารถทำให้มนุษย์ผู้หนึ่งยำเกรงนางได้ เอาเถิด สักวัน นางต้องเป็นปีศาจที่เพียงแค่เอ่ยชื่อผู้คนก็ต่างหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก
“เจ้าจะไปที่หอชมบุหลัน”
“อืม” นางพยักหน้ารับ ร่างกายกลับมาเป็นมนุษย์แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอีก
“ข้าช่วยเจ้า เจ้าไม่คิดจะตอบแทนบุญคุณข้าบ้างหรือ”
“ตอบแทนบุญคุณ?” นางทำเป็นไม่เข้าใจ จะว่าไปเขาก็พูดถูก พลังชีวิตของเขาช่วยให้นางคืนร่างมนุษย์ จากที่บรรดาศิษย์พี่เล่าให้ฟัง แต่พวกมนุษย์หาดีไม่ได้สักคน หรือว่าเขาเห็นนางในร่างจิ้งจอกแดงแล้วอยากได้หนังของนาง!
หานหรงเหยาเลิกคิ้วประหลาดใจ จู่ๆ จิ้งจอกตัวน้อยก็หน้าซีดกอดห่อผ้าแน่น กลายเป็นนางที่แสดงท่าทีหวาดกลัวเขา
“แม่นาง...เอ่อ เข่อซิง...เจ้า...”
“เจ้า...เจ้าเห็นตัวตนของข้าแล้ว” นางกอดห่อผ้าแน่นขึ้นข่มกายไม่ให้สั่นเทา
ชายหนุ่มเพิ่งนึกได้ว่า เป็นตนเองที่เห็นร่างกายเปลือยเปล่าของนาง หากพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ต้องเป็นเขาที่รับผิดชอบต่อนาง
“เจ้าคงไม่คิดจะถลกหนังข้าหรอกนะ”
“ถลงหนัง?”
เพียงเขาพูดทวนคำของนาง หลิวเข่อซิงก็ดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมห่อผ้า หานหรงเหยาลุกขึ้นตามหมายจะอธิบายเรื่องที่นางเข้าใจผิด แต่นางกลับวิ่งไปที่ประตูทันที เป็นจังหวะที่ประตูเปิดออกพอดี ร่างนางปะทะกับร่างแข็งแกร่งดุจกำแพงหินจนผงะไปด้านหลัง หากไม่มีมือแกร่งของหานหรงเหยาประคองไว้ทันเวลา นางคงหงายหลังศีรษะกระแทกพื้นไปแล้ว
“เกิดเรื่องใดขึ้น” ซุนเจ้าเฟิงถามอย่างงุนงง ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรมาชนร่างตนเลยสักนิด สหายรักกลับจากหอนางโลมทั้งที่ดื่มสุราไปไม่กี่จอก และเมื่อเขากลับมาถึงจวน ก็ได้ยินบ่าวไพร่พูดกันว่าหานหรงเหยามีซ่อนสตรีในห้องนอน เขาแปลกใจกับเรื่องที่ได้ยินจึงมาดูด้วยตนเอง
“เรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย” หานหรงเหยาประคองร่างนุ่มนิ่มที่ยกมือลูบปลายจมูกป้อยๆ ดวงตางดงามมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ นางคงเจ็บไม่น้อยที่ไปกระแทกกับกำแพงหินอย่างซุนเจ้าเฟิงเข้าให้
“เข้าใจผิด” นางถลึงตาใส่ “เจ้าจะบอกว่า เจ้าเห็นเนื้อหนังของข้าแล้วไม่คิดอะไรจริงๆ”
“เห็นเนื้อหนัง...” คราวนี้ซุนเจ้าเฟิงอ้าปากค้าง เอาล่ะ เขารู้ว่าหานหรงเหยาไม่ใช่นักพรตรักษาพรหมจรรย์ แต่สหายรักก็ไม่ใช่บุรุษที่เที่ยวเด็ดดอกไม้มาเชยชม ที่เขามั่นใจคือหานหรงเหยายังตัดใจจากคนรักเก่าไม่ได้
“ถือว่าข้ากับเจ้าไม่มีอะไรติดค้างกัน” นางสะบัดตัวออกจากมือที่อ่อนโยนคู่นั้นแล้วรีบวิ่งออกไปทันที ซุนเจ้าเฟิงเกรงนางจะชนเขาอีกจึงหลบทางให้ เขายืนมองร่างเล็กวิ่งจากไปแล้ว เขามองสหายที่ยังยืนเหม่ออยู่จึงโบกมือไปมาเรียกสติอีกฝ่าย
“หรงเหยา”
“ไม่มีอะไร แค่เรื่องเข้าใจผิด”
“อย่างนั้นรึ” เขาอยากถามแต่รู้ดีว่าคนอย่างหานหรงเหยาถ้าไม่อยากเล่าเรื่องใดต่อให้เค้นคอถามก็ไม่ยอมพูดแน่นอน “เจ้านี่ก็เหลือเกินจริงๆ ทิ้งข้าไว้ที่หอชมบุหลันผู้เดียว”
“หอชมบุหลัน...”
“เสียดายที่ไม่ได้พบแม่นางหลิวชิงเซียงเลย ได้ยินว่านางเล่นเพลงพิณได้ไพเราะยิ่งนัก”
หานหรงเหยาพึมพำนึกถึงเรื่องที่สนทนากับเจ้าจิ้งกจอกแดงตัวน้อย นางคงจะไปหาศิษย์พี่ของนางสินะ เขายื่นมือไปเตะไหล่ของซุนเจ้าเฟิงแล้วเอ่ยด้วยขึ้น
“เอาไว้ครั้งหน้า ข้าขอติดตามเจ้าไปหอชมบุหลันแล้ว”
ซุนเจ้าเฟิงประหลาดใจกับประโยคที่ได้ยิน นี่สหายของเขาถึงกับเอ่ยปากต้องการไปหอนางโลมด้วยตนเองเชียวหรือ? และที่เห็นคือใบหน้าระบายยิ้มอ่อนโยนที่เขาไม่ได้มานานแล้ว
อ่า...นางเป็นใครกันที่ทำให้หานหรงเหยากลับมายิ้มได้อีกครา.