“ข้าควรกลัวเจ้าหรือ?” เขาหัวเราะในลำคอหันหลังให้นาง แต่กระนั้นประสาทหูรับรู้ว่านางกำลังสวมใส่อาภรณ์อยู่
“ข้าไม่น่ากลัวเลยหรือ?” นางถามกลับใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพราะความหิว นางสาวเท้าเร็วๆ เดินมาที่โต๊ะกลม มีอาหารหลายจานส่งกลิ่นหอมเย้ายวนชวนน้ำลายสอ
“ก็น่ากลัวอยู่” เขายิ้มขบขัน “นั่งเถิด”
“อื้ม” นางรีบนั่งลงและรับตะเกียบจากเขา ไม่รอให้เจ้าของบ้านเชื้อเชิญนางรีบกินข้าวอย่างหิวโหย แม้จะได้พลังชีวิตมาเติมเต็มแต่ร่างกายนางยังต้องการอาหารบำรุงตัวเองเหมือนมนุษย์ทั่วไปเช่นกัน
“ค่อยๆ กินไม่ต้องรีบ” เขาเตือนนางแล้วหยิบตะเกียบคอยคีบอาหารใส่ชามข้าวให้นาง นางผงกศีรษะเป็นเชิงขอบคุณและยังมีการบุ้ยปากบอกใบ้ให้เขาคีบเนื้อปลาให้นางอีก ชายหนุ่มทำให้อย่างไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังรับใช้นาง
“อิ่มหรือไม่ อยากกินอะไรเพิ่มอีกไหม” เขาถาม
หลิวเข่อซิงกินอิ่มท้องและยังได้พลังชีวิตจากเขาจึงมีสติคิดวิเคราะห์เรื่องที่เกิดขึ้น นางกวาดตามองชายหนุ่มแล้วเอียงคอมองอย่างสงสัย
“มีอะไรรึ”
“เจ้าเป็นใครกัน”
“ข้าแซ่หานชื่อหรงเหยา” เขายิ้มแล้วส่งน้ำให้นางดื่ม รอจนนางดื่มน้ำหมดจอกแล้วจึงยื่นผ้าเปียกให้ แต่นางทำหน้างุนงง เขาจึงจับมือนางมาเช็ดแต่ละนิ้วอย่างใจเย็น
“ข้าแซ่หลิวชื่อเข่อซิง” นางแนะนำตัวเองบ้าง “อันที่จริงพวกเรา เอ่อ ข้าหมายถึงบรรดาปีศาจจิ้งจอกแดงในหุบเขาต่างใช้แซ่เดียวกันหมดคือแซ่หลิวของท่านแม่ อันที่จริงข้าก็จำอะไรไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ก็อยู่ที่หุบเขาจื่อเซ่อมาตลอด มีท่านแม่และศิษย์พี่แบ่งปันพลังชีวิตของมนุษย์ให้กินเล็กน้อย”
“อ่อ...เป็นเช่นนี้เอง”
น้ำเสียงราบเรียบชวนให้ใจสงบของเขาทำให้ ปีศาจจิ้งจอกแดงผู้ไม่มีใครเคยใส่ใจ รู้สึกตื้นตันใจจนแทบหลั่งน้ำตา
“เจ้าเป็นคนดีเหลือเกิน เช่นนี้แล้วข้าจะกินเจ้าได้อย่างไร”
หานหรงเหยาเห็นจิ้งจอกสาวเบ้ปากจวนจะร้องไห้ เขาก็ตบหลังมือเรียวเล็กของนางเบาๆ เพื่อปลอบโยน
“ไม่ต้องกังวลไป ข้ามีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ถ้าเจ้าอดทนรอได้ก็เอาดวงจิตของข้าไปเถิด”
“เอ๋?” นางเบิกตากลมโตจ้องมองเขาแล้วเป็นฝ่ายจับมือใหญ่นั้นไว้ จิตสัมผัสกระแสธารชีวิตในกายของชายหนุ่มแล้วก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“หัวใจเจ้าไม่ปกตินี่” นางทำหน้าเศร้าราวกับป่วยเสียเอง
“ถูกต้อง” เขายังคงยิ้มไม่ได้ดึงมือตัวเองกลับ ปล่อยให้นางจับไว้เช่นนั้น เขามองอย่างเอ็นดูเหมือนนางเป็นเพียงสัตว์เล็กๆหลงทางตัวหนึ่ง
“หัวใจของข้าไม่แข็งแรงตั้งแต่กำเนิด จะมีชีวิตอยู่ได้นานเพียงใดก็หารู้ไม่”
....
จูอี้ซินถือเสื้อผ้าสตรีด้วยสีหน้าแย้มยิ้มแต่ข่มความไม่พอใจไว้ในอก นางได้ยินเสียงตอบรับจากหลังบานประตู จึงก้าวเท้าเข้ามาพร้อมท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัว
“ที่ปรึกษาหาน เสื้อผ้าสตรีที่ท่านสั่งไว้ได้แล้วเจ้าค่ะ”
“ขอบใจมาก” หานหรงเหยายื่นมือไปรับด้วยตนเอง แต่เห็นจูอี้ซินยังยืนนิ่งอยู่ เขาจึงเอ่ยปากให้นางออกไป
“เอ่อ นายท่าน ข้าเป็นสตรีให้ข้าช่วยแม่นางดีหรือไม่” จูอี้ซินยังแสร้งแสดงท่าทีห่วงใย แค่บรรดาบ่าวไพร่เล่าลือกันว่าคุณชายหานพาสตรีเข้ามาในจวนก็เป็นที่แตกตื่นกันแล้ว ในครัวส่งสำรับอาหารมาถึงที่ อย่างไรเสีย นางต้องเห็นโฉมหน้าให้ได้ว่า สตรีหน้าหนานางใดกล้าล่อลวงหานหรงเหยา
หานหรงเหยาคิดตามที่จูอี้ซินเอ่ยแล้วก็เห็นคล้อยตาม เจ้าจิ้งจอกแดงตัวน้อยอาจต้องการคนช่วยเหลือ และเขาเป็นบุรุษจะช่วยนางคงไม่เหมาะนัก ทว่าอ้าปากยังไม่ทันส่งเสียง หญิงสาวที่อยู่หลังฉากกั้นก็ส่งเสียงออกมาก่อน
“ไม่เป็นไร ข้าจัดการตัวเองได้” หลิวเข่อซิงกระโดดออกมา ใบหน้างดงามราวภาพวาด ดวงตากระจ่างใสจ้องมองพร้อมรอยยิ้มจริงใจ นางสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยดี มีเพียงผมยาวสลวยที่ปล่อยสยายยังไม่ได้เกล้าขึ้นให้เรียบร้อย
“เสื้อผ้าชุดนี้ ข้าขอยืมก่อน เอาไว้ข้าพบศิษย์พี่แล้วจะนำมาคืนเจ้า”
“เจ้าค่ะ” จูอี้ซินอึกอักไปครู่หนึ่ง สตรีเบื้องหน้าครอบครองความงามราวเทพธิดา ทว่าท่าทางไร้เดียงสาราวเด็กน้อย แม้นางหมายมั่นปีนป่ายเตียงของซุนเจ้าเฟิง แต่ถ้าได้รับความเอ็นดูจากหานหรงเหยาก็ยินดีรับไว้ ทว่าบุรุษทั้งสองกลับไม่มีท่าทีตอบสนองกับนางสักนิด นางที่เคยมั่นใจรูปโฉมของตนต้องเสียความรู้สึกเพราะบุรุษทั้งสอง แต่ยามนี้หานหรงเหยากลับแสดงท่าทีใส่ใจสตรีขึ้นมา ความริษยาขุมหนึ่งผุดขึ้นในใจทันที
หลิวเข่อซิงเป็นปีศาจเมื่อได้กลิ่นความริษยาก็ทำจมูกฟุดฟิดใกล้ๆ จูอี้ซิน
“แม่นาง...ทำอะไรเจ้าคะ”
“เหตุใดเจ้ามีกลิ่นริษยาเข้มข้นถึงเพียงนี้” หลิวเข่อซิงเอียงคอมองอย่างสงสัย
“ข้า...ข้าเปล่านะ!” จูอี้ซินกินปูนร้อนท้องรีบปฏิเสธโดยเร็ว แต่
หานหรงเหยากลับหัวเราะในลำคอ ยิ่งทำให้จูอี้ซินเสียหน้า นางรีบขอตัว
แล้วก้าวเร็วๆ จนเกือบจะเป็นวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
“นางเป็นอะไร” หลิวเข่อซิงมองอย่างงุนงง
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าได้กลิ่นความริษยา?” เขาถามด้วยความสนใจแล้วหยิบหวีหยกของตนมาแปรงผมให้นางด้วยตนเอง
หลิวเข่อซิงนั่งนิ่งบนเก้าอี้อย่างผ่อนคลายและเคลิบเคลิ้มกับการถูกปรนนิบัติ นานจนแทบจำไม่ได้แล้วว่า เคยถูกแปรงขนให้ครั้งล่าสุดเมื่อใดกัน
“อ่า...ดีจริง”
“แม่นางหลิวหมายถึงเรื่องใด” เขาเองก็ไม่ได้แปรงผมให้สตรีมานานมาก เมื่อครั้งยังเยาว์วัยเขาเคยปักปิ่นให้หลัวซู่เหมย หัวใจหวนคิดถึงวันวานเห็นภาพนางซ้อนทับหลิวเข่อซิงอย่างไม่ตั้งใจ
“เรียกข้าเข่อซิงเถิด” นางพูดขึ้นทำลายความคิดคำนึงของเขา “เมื่อครู่ข้าหมายถึงที่เจ้าแปรงผมให้ข้า”
“อย่างนั้นหรือ” เขาเพียงรับคำเบาๆ พยายามอย่างสุดจิตสุดใจหักห้ามไม่ให้ตนเองคิดถึงหลัวซู่เหมยอีก
“อ้อ! ข้าได้กลิ่นความริษยา” นางพูดเหมือนเพิ่งนึกได้ “มันไม่เลวร้ายนักหรอก ผู้ใดก็มีความริษยากันได้ เพียงแค่ถ้าริษยามากหน่อย ข้าก็ได้กลิ่น ท่านแม่สอนว่าต้องระวังตัว คนพวกนี้หากมีความริษยามากเกินไปก็อาจทำร้ายผู้อื่นได้”
“ท่านแม่ของเจ้าพูดถูกต้องแล้ว” เขาเองก็พอรู้ความคิดของจูอี้ซิน แต่เพราะนางเองไม่ได้ทำให้เขากับสหายรำคาญนัก และพ่อบ้านจูดูแลจวนเป็นอย่างดี