ต้นยามอิ๋น (03:00-04:59) นกกายังไม่ทันลืมตาตื่น แสงของวันใหม่ยังไม่ทันส่องสว่างไปทั่วผืนดินบ้านผิงก็ต้องตื่นขึ้นมาก่อไฟแล้ว เยว่ซินตั้งใจจะย่องออกมาจากห้องทว่ามู่เฉินกลับดีดตัวลุกวิ่งเข้าห้องน้ำไม่นานก็วิ่งตามนางมาที่ครัว
วันนี้เป็นวันแรกย่อมทุลักทุเล ก่อไฟเสร็จก็หุงข้าวเอาไว้ก่อน อีกเตาเยว่ซินจะผัดไข่ใส่ยอดฟักทองที่เก็บมาเมื่อวานนี้ มู่เฉินจึงมานั่งขูดมะพร้าวแทนหลังจากมารดาตักเมล็ดฟักทองไปก่อนแล้ว
สองแม่ลูกวิ่งวุ่นในครัวจนฟ้าสางทุกอย่างก็เสร็จไปแปดส่วนแล้ว อาถงตื่นขึ้นมาเข้าไปล้างหน้าล้างตาเองก็ออกมาหาทั้งสองในครัว
“ข้าช่วยขอรับ”
“เช่นนั้นอาถงหยิบจานใบเล็กและตะเกียบใส่ตะกร้าที”
“ขอรับ” หยู่ถงขึ้นมานั่งบนเตียงข้างพี่ชายที่กำลังหั่นฟักทองที่สุกแล้วใส่ถาดวางเรียงกันเป็นชิ้น ๆ นำใส่กระบุงซ้อนกันเอาไว้ ส่วนน้องชายกำลังนำจานที่จะใส่ให้ลูกค้าวางใส่ตะกร้าพร้อมตะเกียบและช้อนเผื่อกินไม่ถนัด
กระบุงสองอันใส่ฟักทองคนละครึ่ง นำฝาหม้อปิดเอาไว้พร้อมกับเสื่อเพื่อนำไปปูนั่ง โต๊ะนั้นมีให้ใช้ไม่ต้องนำไป เยว่ซินแบกหนึ่งกระบุง มู่เฉินแบกหนึ่งกระบุงแบ่งกัน ใช้เวลาจนถึงเช้าก็เสร็จ สามคนแม่ลูกนั่งลงบนแคร่อย่างเหน็ดเหนื่อย
ร่างบางมองดูท้องฟ้าด้านนอก ตอนนี้คงพึ่งยามเหม่า (05:00-06:59) กระมัง ประมาณหกโมงเช้าของโลกก่อนเพราะฟ้าพึ่งสว่าง
“อาบน้ำกินข้าวแล้วไปขายของกันเถิด หากขายหมดแม่จะซื้อรองเท้าให้พวกเจ้าใส่กลับบ้านทันทีเลยดีหรือไม่”
“ขอรับ” ทั้งสองมีสีหน้ามุ่งมั่นทันตา วิ่งเข้าไปอาบน้ำก่อนมารดาที่เตรียมอาหารอยู่ นางส่ายหน้าไปมาหันไปตรวจดูข้าวของอีกครั้ง อาจจะไปสายกว่าร้านอื่นสักหน่อยก็ไม่เป็นอันใดกระมัง หากขายยามเช้าไม่หมดก็ลองนั่งต่อไปอีกสักหน่อย
ข้าวสามถ้วยและผักไข่ใส่ยอดฟักทองวางรอบุตรชายบนแคร่ไม้ ช้าเร็วก็ต้องอิ่มท้องก่อน จะได้มีแรงทำอย่างอื่น เยว่ซินเลือกกินก่อนพวกเขา กินก่อนอิ่มก่อน เด็ก ๆ อาบน้ำเสร็จนางจะได้อาบต่อ เรื่องความสะอาดของพ่อค้าแม่ค้าเองก็สำคัญพอ ๆ กับหน้าตาของอาหาร
ปลายยามเหม่า (05:00-06:59) ทั้งสามก็เดินมาขึ้นเวียนที่หน้าหมู่บ้าน เยว่ซินอาบน้ำครู่เดียวก็พร้อมออกเดินทางไปตลาด สามแม่ลูกหอบหิ้วข้าวของเดินตามกันไปที่หน้าหมู่บ้าน ตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว หากให้คาดเดาลองดูคงเหมือนเจ็ดโมงเช้าที่โลกก่อนกระมัง
“ท่านปู่ สังขยาฟักทองเจ้าค่ะ” เยว่ซินยื่นจานข้ามรั้วให้ท่านปู่รับไปด้วยรอยยิ้ม ชายชรากำลังนำสมุนไพรออกมาตากหน้าบ้านไม่คิดว่าจะเห็นสามแม่ลูกเดินผ่านบ้านแต่เช้า มองกระบุงใหญ่สองอันก็พอจะคาดเดาได้ว่าทั้งสามจะไปไหน
“เจ้าจะนำไปขายหรือ”
“เจ้าค่ะ เผื่อจะได้เงินซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้เด็ก ๆ ใส่”
“โอ้ ดี ๆ ขอให้ขายดี ๆ ปู่เอาใจช่วย”
“ขอรับท่านปู่ ข้าจะซื้อน้ำตาลปั้นมาฝากนะขอรับ” หยู่ถงพูดขึ้นด้วยความแน่วแน่น้ำเสียงฉะฉานพร้อมยิ้มอวดฟันขาวให้ท่านปู่ดู
“ปู่จะรอเล่า” ท่านปู่ตอบกลับพร้อมเสียงหัวเราะ อาถงโบกมือลาก่อนจะวิ่งไปจับมือมารดาเช่นเดิม สามแม่ลูกจึงเดินต่อ มาถึงหน้าหมู่บ้านเกวียนก็มาถึง
วันนี้ไม่ค่อยมีคนอาจเพราะตอนนี้สายแล้วคนอาจจะเข้าไปซื้อของตั้งแต่เช้ากระมัง ช่วยกันยกกระบุงขึ้นเกวียนเสร็จเยว่ซินก็อุ้มอาถงขึ้นไปนั่ง ตามด้วยมู่เฉินที่ขึ้นไปได้เองและตัวนางเป็นคนสุดท้าย
ด้านในมีท่านป้าสองคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว เยว่ซินและบุตรชายจึงนั่งอีกฝั่ง ไม่ลืมทักทายท่านป้าในหมู่บ้านที่เคยช่วยเหลือเด็ก ๆ มาหลายครั้ง ท่านป้าจูก็อยู่บ้านข้าง ๆ เรานี่เอง
“เจ้าทำขนมหวานเมื่อวานนี้ไปขายหรือ” ท่านป้าจูเอ่ยถามเมื่อได้กลิ่นอาหารที่เคยได้ลิ้มลองเมื่อวานนี้ ทั้งยังมองร่างกายอาซินอย่างนึกเป็นห่วง เมื่อวันก่อนพึ่งจะบาดเจ็บนางช่างขยันขันแข็งเสียจริง
“เจ้าค่ะท่านป้า ชิ้นนี้ให้ท่านป้าเจ้าค่ะ” เยว่ซินพยักหน้าตอบก่อนจะตักให้ท่านป้าทั้งสองกินระหว่างทางอย่างไม่ตระหนี่ ทว่าทั้งสองกลับโบกไม้โบกมือปฏิเสธ
“ของซื้อของขายเหตุใดจึงให้ป้าเล่า” ท่านป้าจูเอ่ยขึ้น สหายนางเองก็พยักหน้าตาม ของอร่อยเพียงนี้ขายได้หลายอีแปะแน่ ๆ พวกนางอยากให้อาซินเอาไปขายจะดีกว่า เยว่ซินเห็นอย่างนั้นจึงหันไปหาลูกชายคนเล็ก สองแม่ลูกมองหน้ากันก่อนอาถงจะลุกไปหาท่านป้าด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เช่นนั้นข้าจะกินเป็นเพื่อนท่านป้าขอรับ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เช่นนั้นขอบใจเจ้ามาก ข้าขออวยพรให้ขายดิบขายดี” ในที่สุดทั้งสองก็รับไปกิน อวยพรเสร็จก็หยิบช้อนสองคันไปด้วย เด็กน้อยอาถงและท่านป้ากินด้วยกัน
กลายเป็นว่าฟักทองไข่ที่เยว่ซินมอบให้ท่านป้าสองคนมีอาถงแย่งกินด้วย นางไม่ลืมตักใส่จานให้มู่เฉินยื่นให้ท่านตาเจ้าของเกวียนหนึ่งชิ้น
นางเผื่อเอาไว้สำหรับสร้างมิตรสหายอยู่แล้วไม่ขาดทุนแน่นอน ยิ่งท่านตาเป็นเจ้าของเกวียน ผูกมิตรไว้ย่อมดีต่อพวกเรา ทั้งหากอร่อยอาจจะบอกต่อเรียกลูกค้าให้นางด้วย วัน ๆ หนึ่งอีกฝ่ายรับคนไม่รู้กี่หมู่บ้าน เยว่ซินย่อมคิดมาอย่างดีแล้ว
มาถึงในเมืองท่านป้าทั้งสองนั้นลงไปก่อนแล้ว ไม่ลืมอวยพรให้พวกเราสามแม่ลูกอีกรอบ นั่งมาอีกครู่หนึ่งท่านตาก็หยุดที่ตลาดส่งพวกเราไปขายของวันแรก
เยว่ซินยื่นเงินเพื่อจ่ายค่าเดินทางหากแต่ชายชราไม่รับ บอกว่าฟักทองไข่อร่อยจึงไม่คิดเงิน ทั้งยังอวยพรให้พวกเราด้วยก่อนจะขับเกวียนจากไป ร่างบางยิ้มขอบคุณตามหลังพาบุตรชายเดินมาที่ตลาด
“ท่านแม่ หนักหรือไม่ขอรับ” อาถงเอ่ยขึ้นเพราะตัวเองถือเพียงเสื่อเบา ๆ ไม่หนัก แต่ท่านแม่และพี่ใหญ่ต้องแบกกระบุงอันใหญ่เด็กน้อยเลยร็สึกไม่ดี
“ไม่หนักเลยลูกรัก”
“ข้าจะรีบโตแล้วช่วยพี่ใหญ่แบกของท่านแม่จะได้ไม่หนัก”
“เด็กดี เช่นนั้นเราช่วยกันขายของดีหรือไม่ หากขายของได้เงินก็จะมีเงินซื้อรถเข็นเหมือนบ้านท่านปู่ อาถงกับพี่ใหญ่เองก็ไม่ต้องแบกให้เหนื่อย”
“ขอรับ” เด็ก ๆ พยักหน้าเข้าใจเดินตามมารดาด้วยความมุ่งมั่น ความคิดของตนเองถูกมารดาค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละนิดอย่างไม่รู้ตัว
มาถึงก็เข้าไปสอบถามท่านป้าเรื่องการเช่าพื้นที่ขายของ ตลาดเหมือนตลาดสดเลย มีโต๊ะวางเอาไว้เรียงกันไม่ต้องนำมาเอง จับจองเสร็จก็เอาของไปวาง นางให้มู่เฉินเฝ้าของและน้องชายเอาไว้นางจะไปจ่ายค่าเช่าพื้นที่เอง กลับมาก็เห็นนั่งพูดคุยกับท่านป้าร้านข้าง ๆ อย่างสนิทสนมเสียแล้ว
“เรียบร้อยแล้ว วันละห้าอีแปะเท่านั้น” เยว่ซินชูกระดาษแผ่นหนึ่งให้เด็ก ๆ ดู นางทำสัญญาเช่าสิบวันเลย มู่เฉินนำฟักทองไข่ไปให้ท่านป้าร้านข้าง ๆ กินตามที่มารดาบอกกลับมามองกระดาษที่อ่านไม่ออก
ทั้งเล่าสิ่งที่ท่านป้าเอ่ยชื่นชมรสชาติให้มารดาฟังด้วยใบหน้าเบิกบาน พอนางถามว่ามันคือขนมหวานอันใด อาถงกลับบอกว่ามันคือฟักทองไข่ มู่เฉินจึงเล่าให้มารดาฟังด้วยความรู้สึกผิด
“ฟักทองไข่ก็เรียกง่ายดี เอาชื่อนี้ก็ได้”
นอกจากท่านแม่จะไม่ว่าแล้วยังลูบผมเขาเหมือนเด็ก เยว่ซินไม่มีทางบ่นลูกชายเพราะเรื่องแค่นี้ สังขยาฟักทองเป็นชื่อที่ยาวและเรียกยาก เรียกฟักทองไข่ก็ไม่เสียหายอันใด เมื่อได้สัญญาเช่ามาแล้วตอนนี้ต้องรีบจัดร้าน โดยให้อาถงนั่งเล่นบนเสื่อรอไม่ต้องทำ แขนเล็ก ๆ กลัวยกของแล้วกระดูกจะหักเอา
“เริ่มกันเถิด วันนี้เราต้องได้รองเท้ากลับบ้าน”
“ขอรับ รองเท้า รองเท้า”