ง้อ

2468 Words
"จะกินเลยมั้ยเจ๊" แหววส่งเสียงทักเจ้านายที่เอาแต่นั่งเซ็ง ไม่สนใจอาหารตรงหน้า ต่างจากเหล่าบรรดาลูกน้องที่รอให้หล่อนเป็นคนเริ่มตักอาหารก่อน "ลุยกันไปก่อนเลย เดี๋ยวมา" เจ๊หลินลุกออกจากร้านตัวเองอย่างไม่สนใจวงอาหาร ก็นานๆ ที หล่อนจะเข้าร้าน เหล่าลูกจ้างจึงดี๊ด๊าดีใจเป็นธรรมดา เจ๊หลินเดินออกมานั่งข้างร้านทำผม พร้อมหยิบบุหรี่ออกมาจุด เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่รู้สึกตึงเครียด ก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ เธอเข้าร้านตั้งแต่เที่ยง จนตอนนี้แทบจะล่วงเลยเวลางาน แต่กลับไม่เจอพนัสสร ซึ่งมันผิดปกติ  ปกติ เด็กสาวจะขลุกอยู่ร้านแทบทั้งวัน ซึ่งหากไม่อยู่ บ้าน ก็เป็นอีกที่หนึ่ง ที่สามารถตามตัวหล่อนได้ แต่วันนี้ดันไม่เจอ เธอก็นึกไม่ออกแล้วว่าพนัสสรจะไปที่ใด จะโทรถามไถ่ก็รู้สึกจะเสียฟอร์ม ถามเหล่าลูกน้องในร้าน ก็รู้เพียงว่าเด็กสาวจะไม่เข้าร้านวันนี้ แต่เจ๊หลินยังไม่ถอดใจ จึงหาเรื่องชวนเหล่าลูกจ้างสังสรรค์ และจึงตัดสินใจโทรหาใครบางคนแทน "หืม... เจ๊ แอบซุกเด็ก" เสียงแหววโพล่งออกมาทันทีเมื่อเห็นว่าเจ้านายกลับเข้าร้านพร้อมชายหนุ่มที่ดูอ่อนวัย ด้วยเพราะยืนเคียงเจ๊หลิน "พวกฉันก็นึกว่ารอคุณจี๋ ที่แท้ก็รอผู้ชาย" หนึ่งในนั้นช่วยเสริม ซึ่งคนที่เพิ่งจะถูกทักแค่เพียงทำตัวปกติ กลับมานั่งที่เดิม โดยมีชายหนุ่มขนาบข้าง "เอาเหล้ามาหน่อยซิ" เสียงสั่งออกจากปากเจ้าของร้าน ลูกน้องทั้งหลายจึงรีบแย่งกันบริการ จนหล่อนพอใจและสนุกในความประจบประแจงอย่างออกนอกหน้าของทุกคน ไม่รู้ว่าเจ๊หลินครึ้มอกครึ้มใจอะไรขึ้นมา ทั้งที่ไม่ใช่ช่วงเทศกาล หรือวันพิเศษ แต่หล่อนดันชวนให้ทุกคนสนุกสนานกันแบบที่ว่าลืมแก่ ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม รวมถึงการพนันย่อยๆ โดยมีเจ๊หลินเป็นเจ้า ไพ่ถูกเรียงและแจกให้ทุกคนอย่างมืออาชีพ แต่สักพักนักพนันทั้งหลายก็ต้องสอดส่องสายตาออกไปนอกร้าน เพราะแสงไฟที่สาดเข้ามา จากรถคันหรู "นั่นคุณนิดลูกค้ากระเป๋าหนักหนิ" แหววร้องบอกออกมาด้วยน้ำเสียงดูดีอดดีใจ นั่นเพราะหล่อนจำรถหรูสีแดงได้ แน่นอนว่าช่างประจำตัวคะนึงนิจคือ อีแหวว ของทุกคน แม้หล่อนจะเป็นเจ้าแม่เรื่องเยอะก็ตาม แต่เพราะรวย อีแหววจึงน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว ผ้าปูไพ่ถูกรวบเก็บทันทีอย่างรู้งาน เพราะเกรงว่าหล่อนจะพรวดพราดเข้ามาในเวลานี้ "ทำไมยังไม่ลงมา" เพราะว่าทุกคนกำลังลุ้นว่าหล่อนจะมาไม้ไหนในเวลานี้ แต่กลับพบแต่ความสงบ รออยู่นานไม่มีทีท่าว่าจะมีลูกค้าเข้ามาเยือน แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนร้องออกมาเป็นเสียงเดียวคือ คนที่ก้าวเท้าลงจากรถนั้นคือคนคุ้นเคยแทน เจ๊หลิน จากที่เฮฮาอยู่เมื่อครู่ ด้วยกิจกรรมการพนันที่ช่วยเสริมการสังสรรค์ เหล้าที่เข้าปาก ผู้ชายนั่งข้างที่เอาแต่บริการ การพูดคุยกันอย่างออกรสกับบรรดาลูกจ้าง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นถอดสีทันทีอย่างไม่พอใจ "ยังไม่กลับกันอีกเหรอเนี่ย" พนัสสรเอ่ยทักทันทีที่เปิดประตูเข้ามา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอคือคนที่เพิ่งลงมาจากรถของคะนึงนิจ "ถ้ากลับแล้วพวกเราจะรู้เหรอจ้ะ ว่าคุณจี๋มีเพื่อนรวยมาส่ง" แสร้งพูดออกมาอย่างหยอกเย้า "เรา แค่บังเอิญเจอกันข้างนอกน่ะ แล้วเธอก็มาธุระแถวนี้ เลยให้ติดรถมาด้วย" นั่นมันผิดกับสิ่งที่เจ๊หลินได้ยินมาจากพริตา หรือต้า เด็กร้านกาแฟ หล่อนเห็นทุกอย่าง เพราะแอบมองพนัสสรไม่วางตา ตั้งแต่ยังอยู่ในร้านจนหายขึ้นรถไปกับคะนึงนิจ "อ๋อ จะว่าไป ถ้าไม่ติดที่คุณนิดขี้วีน มากเรื่อง เรื่องมาก ขี้บ่น นางดีทุกอย่างเลยนะ ทั้งสวย ทั้งรวย ติ้บหนัก ฉันล่ะช๊อบชอบ" นั่นคือคำบอกเล่าของแหววในวงสนทนา จากนั้นก็ตามด้วยคำเสริมของใครหลายๆ คน ไร้เสียงใดจากปากเจ๊หลิน พนัสสรก็ได้แต่ชำเลืองมองเจ้าของร้านกับชายหนุ่มที่นั่งข้าง ก่อนจะเดินหายลับขึ้นชั้นสอง เธอจำผู้ชายคนนั้นได้ดี เขาคือคนที่เจอหน้าบ้าน วันที่เจ๊หลินป่วย แต่วันนี้ดันได้เจอกันอีกที่นี่ หล่อนคงเริ่มจะจริงจังกับผู้ชายแบบเป็นตัวเป็นตนสักที ซึ่งพนัสสรก็ควรจะยินดี เพราะถ้ามันเป็นจริง หากเขาทำให้เจ๊หลินมีแค่เขาเพียงคนเดียวได้ ไม่คิดกลับไปมั่วกามกับชายแปลกหน้าอีก ก็คงจะดี ซึ่งอย่างน้อยมันก็ดีกับตัวเจ๊หลินอีก 'ก๊อก ก๊อก' พนัสสรต้องหยุดความคิดนั้นชั่วคราว ก่อนจะเดินไปเปิดประตู "ขาดขาเหรอ" คำแรกที่ทักออกไป จากที่ไม่ได้เจอกันเป็นอาทิตย์ เจ๊หลินไม่ตอบ แต่ดันเดินเข้ามาในห้องแทน นั่งลงปลายเตียง ด้วยท่าไขว่ห้าง และกอดอก พนัสสรจึงปิดประตูทันที เจ๊หลินคงมีเรื่องด่วนอยากคุย เพราะถ้าไม่ด่วนจริง หล่อนคงไม่แยกตัวมาจากวงพนันที่กำลังสนุกสนานและออกรส "ฉันรู้ว่าแกไม่ได้บังเอิญเจอคุณนิด" คำพูดจากปาก เด็กสาวรับรู้ได้ทันทีว่าหล่อนต้องการอะไร พนัสสรไม่ตอบ แต่เปิดกระเป๋า หยิบเช็คเงินสดที่เพิ่งได้รับจากคะนึงนิจก่อนจะลงรถ และยื่นให้เจ๊หลิน "ฉันไปทำงานข้างนอก เราแบ่งเงินกันคนละครึ่ง" เช็คเงินสดหนึ่งแสนอยู่ในมือเจ๊หลิน "แกเลิกทำไม่ได้เหรอ" "เจ๊น่าจะดีใจที่ฉันทำเงินให้ หรือถ้าครึ่งเดียวไม่พอ ฉันเอาแค่สามสิบเปอร์เซนต์ก็ได้" "อืม" ใช่สิ ใครๆ ก็รู้ว่าเจ๊หลินหน้าเงิน รวมถึงตัวเธอเองก็รู้ตัวเองดี จึงไม่แปลกที่จะได้ยินประโยคนั้นจากปากเด็กสาว "ฉันจะออกไปทำข้างนอก เดือนละสองครั้ง กับคุณนิด" อย่างน้อยเจ๊หลินก็คือผู้มีพระคุณ หล่อนก็ควรจะรับรู้  "กับคนอื่น ถ้าเจ๊ไม่อยากให้ฉันทำที่ร้านอีก ฉันรับงานข้างนอกก็ได้ เราแบ่งกัน สามสิบ เจ็ดสิบ ฉันโอเค" เริ่มและสรุปเองให้คนตรงหน้า แบบที่ขาดทุนเต็มๆ "กับคุณนิด ถ้าอยากไปข้างนอกก็แล้วแต่" "แต่กับลูกค้าคนอื่นที่นี่เหมือนเดิม" ไม่เห็นด้วย แต่ก็ห้ามไม่ได้ เพราะเธอเองก็ไม่ใช่คนดีนัก เป็นคนเริ่มมันมาตั้งแต่ต้น จะให้อ้างสิทธิความเป็นผู้ใหญ่ สั่งห้าม หรือสั่งสอน พนัสสรคงจะไม่เคารพเธอแน่นอน ดังนั้น คงต้องยอมตามน้ำ แต่อย่างน้อยก็ขอให้เห็นการกระทำของเด็กสาวแบบที่อยู่ในสายตา ซึ่งกับคะนึงนิจ จะห้ามตอนนี้ คงไม่ทัน และหล่อนก็ไม่น่าเป็นภัย "อืม ตามนั้นก็ได้" "แล้ว... ไปข้างนอก ต้องใส่เสื้อสีชมพูด้วยเหรอ" เป็นเรื่องที่คาใจเจ๊หลิน เพราะปกติ เห็นแต่เด็กสาวใส่เสื้อสีขาว ไม่ก็ดำ ราวกับจะไว้ทุกข์ตลอดเวลา ทุกอย่างบนร่างกาย รวมถึงของใช้ แม้กระทั่งห้องพัก ที่อุกปกรณ์ และโทนสีจะไปในทางขาวดำ รววกับชีวิตไร้สีสัน แต่วันนี้ มันแปลก แปลกจนต้องเอ่ยถาม "เสื้อฉันเปื้อน คุณนิดเลยให้ยืม" "เหรอ" พูดจบก็ลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินออกจากห้อง "เดี๋ยว" แต่กลับถูกรัังแขนไว้ เจ๊หลินเพียงหันกลับมาสบตาแค่นั้น "กับผู้ชายคนนั้น จริงจังมากแค่ไหน" ซึ่งคำตอบที่ได้รับ ก็คือความเงียบ แถมหล่อนยังพยายามแกะการเกาะกุมของเด็กสาวออก และเดินจากไป โดยไม่เอื้อนเอ่ยใด ล้ำเส้น อยากจะตบปากตัวเองเหลือเกินที่ถามคำถามหน้าด้านแบบนั้นออกไป ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ แต่ดันถามราวกับจ้องจะเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ หรืออีกนัย ที่พยายามจะหนีมาตลอดก็คือ หึง กว่างานเลี้ยงจะเลิกลาก็เกือบเที่ยงคืน คนที่มีสติสุดก็เห็นจะเป็นพนัสสร และชายหนุ่มผู้นั้น และการแทะโลมจากเหล่าบรรดาป้าๆ ก็เรียกรอยยิ้มให้คนดู "พี่ไม่ไหวแล้วล่ะจ้ะ น้องกร" พูดพลางขยับซบไหล่ แถมการแทนตัวว่าพี่ช่างน่าขัน เพราะดูจากอายุแล้ว น่าระเป็นแม่หรือป้ามากกว่า "พี่แหววก็ไม่ไหวเหมือนกัน" ไหล่อีกข้างก็ถูกพักพิงทันที เขานั่งตัวแข็งทื่อ "โอ้ย พี่ก็หนัก" คราวนี้อีกคนดันจงใจเอนตัวเอาหน้าต่ำไปตรงเป้ากางเกงเขา แต่ก็ไม่ได้ดั่งใจหวัง เขาลุกพรวดทันทีด้วยความตกใจ พร้อมใบหน้าซีดเผือก เรียกเสียงหัวเราะให้สามสาวรุ่นเดอะ ที่แสร้งทำเป็นเมา "วานกรไปส่งป้าๆ กลับบ้านที" น้ำเสียงอ้อแอ้ของเจ๊หลิน ที่เอ่ยขอความช่วยเหลือจากหนุ่มที่นัดมาวันนี้ ซึ่งเขาก็ไม่ลังเล "ได้ครับ" "โหยย เจ๊! ใจกว้างแบบนี้ เดี๋ยวฉันคาบไปกิน แล้วจะมาเสียใจทีหลังไม่ได้นะ" "มึงเป็นหมาเหรออีแหวว" ก็ระหว่างการสนทนา ทั้งคู่ก็กัดกันมาตลอด คำพูดจิกกัดกันแบบนี้จึงเป็นปกติ "บรู๊ววว" นั่นประไร ก็หอนรับอย่างทันกัน สามสาวอ้อแอ้ขี้เหล้า ทยอยขึ้นรถหรูของเด็กหนุ่มอย่างเสียดาย ก็เพราะถูกไล่กลับ "ถ้าพรุ่งนี้ใครไม่มาทำงาน กูจะไล่ออก! " ก่อนจะปิดงับประตูรถ ไม่วายสั่งงานกดดันลูกน้อง "แล้วเจ๊จะกลับยังไงครับ" เขายังไม่ขึ้นรถโดยทันที กลับยืนคุยต่อกับเจ๊หลินหน้าร้าน ซึ่งมันก็ไม่รอดพ้นการซุ่มมองของคนด้านใน "ไอ้จี๋น่ะ ยังไงก็กลับบ้านอยู่แล้ว" "งั้น... ผมไปแล้วครับ ต้องดูแลสาว สาว สาว บนรถ" เขาพูดทีเล่นทีจริง "ขอบใจมากนะ" ไม่วายกอดลากันอีก เมื่อรถเคลื่อนออกจากร้านไปแล้ว เจ๊หลินก็กลับเข้าข้างใน แต่กลับไม่พบพนัสสร จึงนั่งลงบนโซฟา เมื่อครู่ที่เอาแต่เดินไปเดินมา แทบจะทรงตัวไม่อยู่ ทั้งมึนเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล ทั้งง่วงเพราะเวลาที่ล่วงเลยเข้าวันใหม่ หล่อนเพียงนั่งหลับตากุมขมับ แต่สักพักก็ต้องพยายามทำตัวปกติ "จะกลับเลยมั้ย ไปส่ง" หันไปเจอกับเด็กสาว ที่ในมือมีกุญแจรถของเธออยู่ "แล้วแกล่ะ" ก็เพราะใช้คำว่าไปส่ง จนต้องถามออกไป "กลับมานอนนี่" คำตอบนั้นทำให้เจ๊หลินต้องคิดทวน "งั้น ฉันนอนนี่ด้วย" เด็กสาวเลิกคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อ ปกติหล่อนเพียงเข้ามาร้านแว้บๆ แล้วก็กลับแต่หัววัน เว้นจะมีการสังสรรค์แบบคืนนี้ ไม่เคยค้างเลยสักครั้ง "ก็จะไปๆ มาๆ ทำไม แล้วนี่ก็ร้านฉัน" พูดจบก็ลุกขึ้น เดินผ่านเด็กสาว ตรงขึ้นชั้นสอง นั่นคือห้องนอนที่มีเพียงห้องเดียว พนัสสรไม่กล้าขัด แถมใจจริงก็ง่วงเต็มทน จัดการปิดไฟ ปิดประตู ล็อกร้าน และตามขึ้นห้อง เจ๊หลินไม่ใช่คนซกมก แถมรักสะอาด หล่อนจึงต้องอาบน้ำก่อนนอน แม้ตาใกล้จะปิดเต็มที เดินออกจากห้องน้ำ ในชุดนอนของพนัสสร เสื้อยืดสีดำตัวโคล่ง กับกางเกงขายาว ที่ยาวจนต้องพับขา นั่นเพราะมันไม่ใช่ของเธอ จึงดูขัดๆ กับบุคคลิก และเรียกเสียงหัวเราะในลำคอของคนมอง "ขำไร" "เจ๊ดูเหมือนจิ๊กโก๋" เพราะการพับแขนและพับขา ทำให้ดูเหมือนจะหาเรื่องอยู่กรายๆ "วันหลังคงต้องเอาเสื้อผ้ามาทิ้งไว้นี่" บอกปัด ก่อนจะล้มตัวลงนอนหันหลังให้ แถมยังแย่งผ้าห่มอีก "แล้วทำไมไม่ปิดไฟเล่า" บ่นออกมาอย่างหัวเสีย ก็แทนที่หล่อนจะกดปิดไฟข้างตัว ก่อนจะเดินขึ้นเตียง แต่ดันทำไม่รู้ไม่ชี้เข้านอนเสียอย่างนั้น ทั้งที่เป็นคนใช้ไฟคนสุดท้าย ซึ่งคนที่บ่น ก็จำต้องก้าวขาลงจากเตียง เดินไปยังสวิซไฟหน้าประตู และกลับขึ้นเตียงใหม่ ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบของสิ่งมีชีวิต ได้ยินเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศ แถมยังหนาวมาก เพราะมีผ้าห่มเพียงผืนเดียว และมันก็ถูกเจ้าของร้านแย่งไปครอบครองอย่างเห็นแก่ตัว พนัสสรจึงไม่ลังเล แย่งกลับมาบ้าง แต่แค่เพียงเสี้ยวเดียว เพราะรู้ว่าเจ๊หลินเป็นคนขี้หนาว และภายในห้องก็กลับมาสงบ ไม่มีการขยับเขยื้อนกายของคนบนเตียง แต่ที่ไม่สงบคือจิตใจของเด็กสาว ที่กำลังว้าวุ่น นอนก่ายหน้าผาก ตาสว่าง "เจ๊ นอนยัง" และอยู่ๆ จึงตัดสินใจเอ่ยออกไปจนได้ "มีไร" เสียงงึมงำโดยที่ยังหลับตา "ขอ จูบได้มั้ย" ไม่ตอบ ได้ยินแต่เสียงถอนหายใจแรงๆ หล่อนคงรำคาญกับคำขอ พนัสสรคิดแบบนั้น "งั้นนอนเถอะ" ยอมถอย และข่มตานอน แต่ก็ต้องลืมตาเบิกโพลงอีกครั้ง  เพราะถูกรุกรานจากคนที่คิดว่านอนอยู่ข้างกัน  ริมฝีปากเด็กสาวถูกครอบครองด้วยคนอายุมากกว่า ไม่เพียงเท่านั้น เจ๊หลินยังขยับกายขึ้นคล่อม  เมื่อคนด้านบนกำลังเสนอ คนด้านล่างก็ต้องสนองให้อย่างเต็มที่บ้าง เสื้อผ้าตัวโคล่งที่เพิ่งสวมลงบนตัวเจ๊หลิน หลุดลอยออกจากร่างกาย และเกลื่อนกระจายเต็มพื้นห้อง  แผ่นหลังเจ๊หลินกลับลงไปสัมผัสเตียงอีกครั้ง ไม่ต้องมีคำเอื้อนเอ่ยใด จากคนด้านบน  ไม่ต้องขอ เพราะหล่อนคงอนุญาต จูบสัมผัสซอกคอระหงของเจ๊หลินอย่างแผ่วเบา แต่ก่อนจะเลยเถิดจนไม่ทันการ เพราะหลังจากนี้ พวกเธอคงปล่อยให้อารมณ์นำพาความต้องการ ดังนั้น เจ๊หลินจึงต้องพูดมันออกมาก่อน "กลับไปอยู่บ้าน นะ" 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD