ศิตาขับรถมาจอดอยู่ด้านหน้าถนนใหญ่ เพียงแค่มองดูไม่ได้เลี้ยวเข้าไปด้านในร้านกาแฟทั้งที่หัวใจโบยบินไปตั้งแต่เริ่มออกจากบ้าน เมื่อได้เห็นสร้อยข้อมือที่ตกอยู่ทำให้รู้สึกสดชื่นได้อย่างน่าประหลาด
“แฟนใหม่พ่อ ลูกเขาคงมาดูแลตามมารยาท” ศิตาถอนใจ แต่เมื่อเห็นเจ้าของร้านมองออกมาจึงรีบเคลื่อนรถขับออกไปทันที ฌาร์มยิ้มจางๆ มองดูรถยนต์คันที่เพิ่งขับออกไป ซึ่งอย่างน้อยก็สบายใจได้ว่า ศิตาไม่ได้ป่วยหรือไม่สบายหลังจากเมื่อคืนดื่มไปหนักมาก กลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั้งตัว
ศิตาคิดถึงสร้อยข้อมือรูปปลาตะเพียนขึ้นมา เพราะจำได้ว่าฌาร์มนำมาคืนให้แต่ตัวเองไม่รับไว้ทำให้สร้อยเส้นนั้นตกอยู่ที่พื้น
สนามหญ้าหน้าบ้าน และเช้านี้ตกอยู่ที่บ้านของตัวเอง อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า ความห่างเหินที่มีให้กันยังคงพอมีเยื่อใยของความรู้สึกดีๆ อยู่บ้าง
ก้าวหน้าเคาะประตูกระจกที่หน้าห้องของศิตา เมื่อมองเข้าไปเห็นน้าสาวมาถึงที่ทำงานแล้ว
“ชาหอมๆ หน่อยไหมคะ” ก้าวหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ยิ้มแปลกๆ แค่เมาให้เห็นแค่นี้ต้องมายิ้มเยาะกันด้วย” ศิตายิ้มให้ก้าวหน้าที่มานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ยิ้มเรื่องชาค่ะ ไม่ใช่เรื่องเมื่อคืน”
“ชา” ศิตาถาม
“มีคนฝากถือมา อ้อมแอ้มฝาก ก้าวเลยถือมาคิดว่าคนขยันอย่างน้าซีนคงมาทำงานแน่นอน” ศิตาถอนใจเบาๆ เมื่อเห็นภาชนะที่
ใส่ก็พอจะเดาได้ว่ามาจากไหน ทั้งๆ ที่ตอนแรกคิดว่าพี่สาวฝากมา
“ไม่ล่ะ กลัวใส่ยาพิษมา มีอะไรอีกตั้งเยอะที่ยังไม่ได้ทำ”
“น่าแปลก นึกว่าจะปวดหัวมึนงง เพราะดื่มไปเกือบสองขวด แต่กลับดูสดใสยังไงกันแน่คะ” ก้าวหน้ายิ้มๆ
“สองขวดเลยหรือ”
“กินยังกับดื่มน้ำเปล่า ตื่นมาทำงานได้ก็สุดยอดแล้วค่ะ” ก้าวหน้าหัวเราะเล็กๆ เมื่อเห็นหน้าสาวยิ้มเจื่อนๆ
“มีเรื่องงานไหม เรื่องนั้นน้าอายมากพอแล้ว” ศิตาถอนใจ
“ไม่มีอะไรค่ะ ยังมีเวลาที่น้าซีนจะเปลี่ยนใจ ถ้าไม่เปลี่ยนก้าวจีบต่อเลยนะ ไปล่ะคะ ดื่มชาด้วยจะได้สดชื่นยิ่งขึ้นนะคะ” ก้าวหน้า
พูดจบรีบเผ่นออกไปก่อน เพราะเกรงว่าจะโดนดุเอาที่ไปพูดพาดพิงเรื่องส่วนตัว
“พูดอะไรออกไปบ้างเนี่ย ศิตา” ศิตารำพึงออกมาเบาๆ และหยิบแก้วที่ใส่ชามาเปิดฝาสูดกลิ่นที่ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นก่อนจะค่อยๆ จิบ
ภาพที่ถูกส่งเข้ามาทางโทรศัพท์พร้อมกับคำขอบคุณ ฌาร์มเพียงแค่อ่านแต่ไม่ได้ตอบข้อความกลับไป ดีใจที่ยอมดื่มชาคงทำ
ให้อาการเมาค้างทุเลาลงได้บ้าง ละเมอพูดจาไม่รู้เรื่องตลอดทั้งคืน แม้ตอนฌาร์มจะกลับยังดึงมือเอาไว้แน่นกว่าจะแกะออกได้กลัวจะ
ตื่นมาแทบแย่ ฌาร์มแอบยิ้มยิ้มนั้นไม่สามารถหลุดรอดสายตาของแป๋วแหววไปได้ แต่ที่ยิ้มน่ะเรื่องไหนกันไม่น่าใช่เรื่องของสาวสวย
ดุจนางพญาแน่ แป๋วแหววคิด
น้านุชตัดสินใจที่จะไปทำงานกับชัชวาล โดยตำแหน่งบริหารจัดการภายในพรรคการเมือง จึงมักจะได้ติดสอยห้อยตามชัชวาลไปไหนมาไหนอยู่บ้าง ตั้งแต่เริ่มเข้าไปรับหน้าที่วันแรก น้านุชตัดสินใจจากคำแนะนำของ ฌาร์ม เพราะตัวเองไม่มีครอบครัว ดังนั้นหากอยากทำงานใหม่ๆ ก็ควรจะตัดสินใจเดินหน้า หลังจากได้พูดคุยและเข้าร่วมฟังนโยบายในการประชุมครั้งก่อน เชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังจะไปเริ่มต้นจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นมาก กว่างานเดิมที่ทำอยู่ เพราะประโยชน์ส่วนใหญ่จะตกอยู่กับประชาชนนั่นทำให้น้านุชตัดสินใจไปทำงานกับบิดาของฌาร์ม
“ฌาร์มว่าอย่างไรบ้างคะ เรื่องคุณซีน” น้านุชถามขึ้น เพราะหลายวันมาแล้วยังไม่ได้พูดคุยอะไรกับหลานสาว
“ยังไม่ได้ว่าอะไรครับ แต่ผมให้สิทธิ์เขาตัดสินใจนะ คุณซีนต้องทำให้ลูกสาวผมยอมรับก่อนถึงจะพูดเรื่องแต่งงานได้” ชัชวาล
พูดเป็นงานเป็นการฟังดูไม่เหมือนเรื่องส่วนตัวนัก น้านุชถามเพียงแค่นั้น แต่เมื่อคิดตามหาก ฌาร์มตัดสินใจไม่ต้อนรับแฟนใหม่ของ
บิดา ชัชวาลก็คงประวิงเวลาหากชอบพอศิตาจริงหรือจะดันทุรัง เมื่อมานึกถึงหลานสาวก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“คุณชัชรู้จักคุณซีนมานานแล้วหรือคะ”
“นานแล้วครับ ตั้งแต่ตอนผมกลับมามุ่งมั่นใช้เวลาทั้งหมดทำธุรกิจหลังจากแม่ฌาร์มเสีย” ชัชวาลยิ้มน้อยๆ น้านุชไม่ได้ถาม
อะไรต่อ เมื่อเห็นชัชวาลรอยยิ้มจางไปหลังจากเอ่ยถึงอดีตภรรยาที่จากไปแล้ว น้านุชไม่กล้าเข้าไปก้าวก่าย เพราะเชื่อว่าหากมีอะไรเหลือบ่ากว่าแรงมากนัก ฌาร์มคงมา บอกเล่าหรือขอคำปรึกษาเหมือนที่ผ่านมา
ฌาร์มมาตามนัดหมายของก้าวหน้าและพันธุดา ซึ่งสองสาวดูจะสนิทสนมกัน หลังจากพูดคุยกันเรื่องการออกแบบเสื้อผ้า ถึงขนาดพันธุดายอมไปเข้าเรียนหลักสูตรสั้นๆ เพื่อเป็นการทดสอบความสามารถของตัวเอง โดยก้าวหน้าเป็นคนให้คำแนะนำและหาสถานที่เรียนให้ สองสาวเลยชวนมาฉลองว่าที่นักออกแบบเสื้อผ้าหน้าใหม่ ตอนพันธุดาโทรฯ ไปชวนยังยิ้มๆ เพราะไม่เคยเห็นกระตือรือร้นเท่านี้มาก่อน แต่อาจจะเป็นเพราะช่วงวัยที่โตขึ้นด้วยมากกว่า
“ว่าไงสาวๆ ขอโทษที่มาสาย” ฌาร์มบอกแต่ยังไม่ได้นั่งลง
“ปรับให้เป็นคนเลี้ยงสิเนอะ พี่ก้าว” พันธุดาหัวเราะ
“เลี้ยงก็ได้ สบายมาก แต่ขอตัวไปล้างมือก่อนนะ” ฌาร์มบอก
“พี่ก้าวหาเรื่องจริงๆ เลย” พันธุดาพูดต่อว่า
“เรื่องอะไร” ก้าวหน้าหันมาถาม
“วางแผนอะไรไว้ล่ะ จะอดกินไหมล่ะข้าวน่ะ” พันธุดาบ่นพึมพำ
“ทำไมถึงจะอดกิน” ก้าวหน้าทำท่าคิด
“รถคุณซีนจอดอยู่ แพทเห็นนะ คงไม่ได้บังเอิญล่ะสิ” พันธุดาถาม
“ฌาร์มคงไม่เห็นเนอะ ไม่อย่างนั้นคงหนีกลับ” ก้าวหน้าหันมายิ้มให้พันธุดาที่ส่ายหน้าให้ทันที
“ทำไมพี่ไม่จีบเอง แพทลุ้นสุดตัวเลยนะ”
“เป็นเงาน้าซีน เจ็บปวดตายพอดี” ก้าวหน้ายิ้ม พันธุดาได้ยินเข้ารู้สึกได้กับสิ่งที่ได้ยิน
“ดีนะที่รู้ตัวก่อน พี่ฌาร์มเป็นคนน่ารัก แพทยังเสียดายเลยที่เทไปตอนนั้นยังเด็กเห็นคนใหม่ๆ อะไรใหม่ๆ ก็เลือกที่จะเดินจากไป” พันธุดายิ้มเมื่อนึกถึงฌาร์มซึ่งเป็นอดีตคนรัก
“ไม่อยากได้คืนหรอกหรือ” ก้าวหน้าหัวเราะเล็กๆ
“ไว้รอเงาจางก่อนไหมล่ะ มาจีบแข่งกัน พี่ก้าวอย่าเพิ่งจีบใครแล้วหนีไปก่อนล่ะ” พันธุดาหัวเราะกับการพูดแหย่ก้าวหน้า ซึ่ง
มองไปทางที่ฌาร์มเพิ่งเดินไป
ฌาร์มชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นศิตาเดินสวนออกมาแล้วชนกันจนศิตาเซถลา ฌาร์มจึงคว้าตัวแล้วกอดเอาไว้
“ฌาร์ม” ศิตาขยับตัวออกห่างเล็กน้อย ฌาร์มเองรีบคลายอ้อมกอดออกทันทีและถอยหลังออกมา
“มาทานข้าวเหรอคะ” ฌาร์มถาม
“ยายก้าวล่ะสิ” ศิตาถอนใจ เริ่มรู้แล้วว่าที่เมาไปเมื่อวันก่อนคงพูดอะไรออกมาทำให้ก้าวหน้ารู้เรื่องระหว่างตัวเองกับฌาร์ม
“ก้าวนัดมา” ฌาร์มพูดขึ้น
“อือ” ศิตาบอก
“ถ้างั้นฌาร์มกลับก่อนดีกว่า จะได้ไม่อึดอัด” ฌาร์มยิ้มน้อยๆ
“ลองดูไหมอาจจะไม่อึดอัด เพราะถ้าใครคนใดคนหนึ่งกลับเราจะไปสร้างความอึดอัดให้คนนัดมาหรือเปล่า” ศิตาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจัง แต่ในเมื่อคนที่อยากเจออยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ไม่อยากปล่อยโอกาสดีๆ อย่างนี้ไป ฌาร์มทำท่าคิด
“แพทมาด้วยนะคะ” ฌาร์มพูดขึ้น
“แฟนเก่า คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง เพราะซีน” ศิตาไม่ได้พูดอะไร
“งั้นเจอกันที่โต๊ะ ก็แล้วกันค่ะ” แววตาอ่อนโยนของฌาร์มทำให้ศิตาต้องหลบสายตาในบางครั้ง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อออก
ไปเผชิญหน้ากับจอมวางแผน โดยเฉพาะแม่หลานสาวตัวดี
ศิตาดูเป็นปกติทำให้สองสาวหันมามองสบตากัน พันธุดาลุกมานั่งข้างก้าวหน้าที่ขมวดคิ้ว แต่เมื่อเห็นศิตาเดินมาถึงพอดีเลยไม่
ได้ว่าอะไร
“สวัสดีค่ะ คุณซีน” พันธุดาพนมมือไหว้ ศิตารับไหว้แล้วยิ้มให้
“ทานอะไรดี สั่งอะไรหรือยัง” ศิตาถาม
“รอคนโน้นด้วยค่ะ” ก้าวหน้าพูดเสียงอ่อยๆ ฌาร์มยิ้มๆ และนั่งลงข้างศิตาแต่โดยดีทำเอาสองคนที่นั่งอยู่ก่อนหันมามองสบตา
กันอีกครั้ง
ฌาร์มดูแลศิตาตักอาหารใส่จานให้ เพราะถือเป็นเรื่องปกติเพราะถ้าหากพันธุดาหรือก้าวหน้านั่งข้างๆ ก็จะได้รับการดูแลเช่นกัน บรรยากาศเงียบมากไม่มีใครพูดอะไรจนทำเอาพันธุดารู้สึกอึดอัด
“คุณซีนจะว่าอะไรไหมคะ ถ้าแพทจะขออนุญาตไปดูงานที่ห้องเสื้อบ้าง อยากดูพี่ก้าวตอนทำงานค่ะ” พันธุดาเคยแสดงท่าทาง
เสียมารยาทไปกับศิตาในครั้งแรกที่เคยพบกัน
“เอาสิ แต่นัดกับก้าวก่อนนะ เพราะบางทีก้าวจะยุ่งไม่มีเวลาดูแล” ศิตาบอก
“ขอบพระคุณค่ะ” พันธุดาพนมมือไหว้
ฌาร์มกับศิตาไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกันมากนัก นอกจากหันไปยิ้มให้กันบ้าง ศิตาบอกขอบคุณเวลาที่ฌาร์มช่วยตักอาหารใส่จาน
ให้ ฌาร์มไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองขยับตัวเข้าใกล้จนไหล่เบียดชิดกับศิตาซึ่งยิ้มจางๆ และไม่ ได้ถอยห่างออกจากกัน สองสาวที่นั่งอยู่อีกฝั่งพยักพเยิดแล้วยิ้ม
“ก้าวขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ แพทไปด้วยค่ะ” สองสาวรีบออก ไปทันที
“ขอบคุณนะ ที่คืนนั้นช่วยดูแล” ศิตาพูดโดยไม่ได้หันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ก้าวแบกคนเดียวไม่ไหวเลยโทรฯ ให้ไปช่วย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
สองสาวหายเงียบไป จนกระทั่งข้อความปรากฏขึ้นหน้าจอโทรศัพท์ของทั้งศิตาและฌาร์มที่ถอนใจออกมาทันที
“ร้ายกาจนักนะ สองคนนั้น” ศิตาพูดบ่น
“หวังดีมากกว่าค่ะ เดี๋ยวฌาร์มเดินไปส่งที่รถนะคะ” ฌาร์มพูดจาสุภาพเหมือนครั้งแรกๆ ที่ได้พบกัน เหมือนเด็กที่พูดคุยกับ
ผู้ใหญ่ เมื่อแอบนึกถึงความกวนในวันแรกทำให้เผลอยิ้มออกมา ซึ่งฌาร์มเห็นเข้าพอดี
“ก้าวเป็นเด็กจิตใจดีเหมาะกับฌาร์มนะ” ศิตาพูดขึ้น เมื่อเดินไปถึงรถของตัวเอง ซึ่งทำให้ฌาร์มมีรอยยิ้มจางลง
“ทราบค่ะ แต่ฌาร์มอาจจะไม่ได้ชอบคนดีก็ได้นะคะ” ฌาร์มพูดแขวะรู้สึกไม่พอใจที่เหมือนถูกผลักไสให้ไปหาก้าวหน้า
“คนไม่ดี คนหลอกลวง ไม่เหมาะกับคนดีๆ หรอกนะ ไปล่ะ” ศิตาพูดว่าตัวเองเหมือนที่ฌาร์มเคยว่าคงเพราะความโกรธ
“ถ้าแต่งงานแล้วย้ายเข้าบ้าน ฌาร์มจะอยู่ด้วยได้ไหมยังไม่รู้เลย” ฌาร์มรำพึงออกมาเบาๆ เพราะรู้ดีว่า ถึงอย่างไรศิตาคงต้อง
มาเป็นแม่เลี้ยงของตัวเอง อาจจะอีกไม่นานนักแม้บิดาจะบอกว่า อยากให้ฌาร์มเป็นคนตัดสินใจว่าผู้หญิงคนนี้ดีพอที่จะเข้าไปอยู่ในครอบครัวหรือไม่ ถ้าไม่ได้เกิดเหตุขึ้นก่อน ฌาร์มคงยินดีต้อนรับอย่างเต็มใจมากกว่าที่เป็นอยู่
“มาพอดีเลย” บิดายิ้ม เมื่อเห็นลูกสาวกลับบ้านแต่วัน กระเป๋าใบใหญ่ที่เห็นพร้อมกับแฟนใหม่ของบิดาทำให้ฌาร์มแปลกใจ ฌาร์มพนมมือไหว้ทักทายศิตาและมองไปที่กระเป๋าเดินทาง
“จะไปไหนกันคะ” ฌาร์มถาม
“ไม่ได้ไป คุณซีนจะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่” สิ่งที่บิดาบอกเหมือนสายฟ้าฟาดลงที่กลางหัวใจของฌาร์ม ซึ่งยิ้มจางๆ มองสบตากับศิ
ตา
“ถ้าอย่างนั้นฌาร์มยกกระเป๋าขึ้นไปไว้ที่ห้องให้นะคะ” ฌาร์มบอกและทำท่าจะเดินไปหยิบกระเป๋าของศิตาที่เจ้าตัวขยับมายืน
ขวางเอาไว้
“พูดอย่างนั้นได้อย่างไร คุณซีนเขาจะเสียหาย พ่ออยากให้ฌาร์มกับคุณซีนคุ้นเคยกันเอาไว้ ก่อนที่จะย้ายเข้ามาอยู่อย่างเต็ม
ตัว” บิดาบอกกับลูกสาวที่ทำหน้างงๆ จ้องมองท่านที่หัวเราะออกมา
“ย้ายเข้ามาก่อนแต่งงาน ผู้หญิงยังไงก็เสียหายค่ะ พ่อ” ฌาร์มพูดขึ้นทำให้ศิตาแอบยิ้ม เพราะนั่นคือความห่วงใยที่ฌาร์มมีให้
“พ่อไม่ได้ไปป่าวประกาศให้ใครรู้ ถึงรู้ก็ว่าอะไรไม่ได้ เพราะคุณซีน มาในฐานะแขก ซึ่งฌาร์มจะต้องเป็นคนดูแล พ่อคุยกับคุณ
ซีนแล้วนอนห้องเดียวกับฌาร์มนั่นแหละจะได้รู้จักกันให้มากขึ้น” บิดานึกขำเมื่อเห็นท่าทางลูกสาวเหมือนตกใจ
“อะไรนะ พ่อ ห้องอื่นก็มีนะคะ” ฌาร์มรีบบอกออกไปทันที
“เราพูดเองนะว่าคุณซีนจะเสียหาย ถึงจะไปนอนห้องอื่นก็ไม่ดีนะ อยู่ห้องเดียวกับเราอย่างน้อยฌาร์มก็เป็นพยานให้พ่อได้ว่า พ่อน่ะให้เกียรติ์คุณซีนถึงแม้จะเข้ามาอยู่บ้านเดียวกันแล้วก็ตาม” บิดา
อธิบาย ซึ่งลูกสาวตั้งใจฟังแต่ถึงกับถอนใจ
“แล้วเกิดฌาร์มมีใครขึ้นมา อยากพามาที่บ้านล่ะ” ฌาร์มพูดพึมพำ
“ซีนกลับไปนอนบ้านก็ได้” ศิตารีบบอกทันที แววตาของผู้หญิงที่ยืนเคียงข้างบิดาทำเอาฌาร์มรู้สึกไม่สบายใจ หากรู้ก่อนเรื่องราวต่างๆ คงไม่เกิดขึ้น ความไม่เข้าใจผู้หญิงคนนี้ได้ทำให้เกิดมีคำถามมากมายกว่าเดิม
“ยกกระเป๋าไปได้ พ่อมีงานเลี้ยงคงกลับดึกหน่อย” บิดาบอกกับลูกสาวที่ถอนใจ เพราะศิตาคงไปงานกับบิดาด้วย
“ดูแลคุณซีนมื้อเย็นด้วยนะ เราน่ะ” ฌาร์มรีบหันมาทันที ศิตายิ้มน้อยๆ เพราะตัวเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน เมื่อชัชวาลเอ่ยปาก
ชวนและบอกว่าอยากให้ศิตาได้ใช้เวลากับลูกสาวของท่าน ฟังดูออกจะแปลกอยู่สักหน่อย แต่เมื่อได้รู้ว่าจะได้พักอยู่ห้องเดียวกันยิ่ง
ทำให้รู้สึกแปลกใจมากขึ้น ฌาร์มเองคงคิดอย่างนั้นเหมือนกัน ศิตายิ้มๆ มองดูคนที่เดินไปเดินมาทำอะไรไม่ถูก เมื่อศิตาตามเข้ามาอยู่
ในห้องและกำลังเดินไปเปิดกระเป๋าเสื้อผ้า เจ้าของห้องจึงหันมาช่วยยกไปวางไว้บนเตียงเพื่อจะได้จัดเก็บได้สะดวก
“ของซีนไว้ในกระเป๋าก็ได้” ศิตาพูดขึ้น เพราะฌาร์มเงียบไป
“ใส่ตู้ดีกว่าค่ะ ชุดทำงานจะได้ไม่ยับ” ฌาร์มเดินไปเปิดตู้และเริ่มหยิบชุดของศิตาไปแขวนให้ จนกระทั่งสร้อยข้อมือรูปปลา
ตะเพียนตกลงที่พื้นทำให้ฌาร์มแปลกใจว่าทำไมถึงไปอยู่กับศิตาได้
“เดี๋ยวซีนจัดเอง ขอบคุณนะที่ไม่ไล่ไปนอนห้องอื่น” ศิตาบอก
“พ่อพูดเสียขนาดนั้น ใครจะไปกล้าขัด”
“แต่คุณชัชบอกว่า ฌาร์มไม่ค่อยทำตามที่ท่านอยากให้ทำนักนี่นา” ศิตาพูดและเดินไปหยิบเสื้อผ้าในกระเป๋าเข้าตู้ โดยไม่ได้
พูดถึงสร้อยที่ฌาร์มแอบเก็บไป
“ดื้อทุกเรื่อง แต่รู้จักผิดชอบชั่วดี” ฌาร์มบอก
“ซีนไม่รู้ว่าจะเจอฌาร์ม ในสถานการณ์แบบนี้นะ” ศิตาพูดเพียงแค่นั้นแล้วเงียบไป
“ถ้าฌาร์มรู้ก่อน เรื่องก็จะไม่เกิดเหมือนกันนั่นแหละ” ฌาร์มพูดต่อว่าศิตา
“แต่ซีนไม่แน่ใจ” ศิตาบอกความรู้สึกของตัวเองและนำของใช้บาง ส่วนไปเก็บในห้องน้ำ ห้องฌาร์มมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่มาก ห้องนอนเป็นแบบเรียบๆ ไม่มีข้าวของอะไรมากนัก ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไรแต่ต่างกับลูกของคนที่พ่อแม่มีฐานะดี ซึ่งชัชวาลถือได้ว่าติดอันดับเศรษฐีไม่ว่าอะไรคงจัดหาให้กับลูกสาวได้ แต่ผู้หญิงที่ยังคงเดินไปเดินมาใช้ชีวิตเรียบง่ายเสียจนไม่มีใครรู้เลยว่า ฌาร์มเป็นลูกสาวของชัชวาล แม้แต่ศิตาเองยังไม่เคยคิดจนกระทั่งมาพบกันที่บ้านหลังนี้
“คุณซีนรู้จักกับพ่อมานานแล้วหรือคะ” ฌาร์มหาเรื่องชวนพูดคุยพยายามตัดความสัมพันธ์ที่เคยมีเคยรู้สึกกับศิตาออกไป จึงคิดหาคำถามที่คนไม่รู้จักกันมาก่อนต้องมาเรียนรู้กัน ก็น่าจะมีคำถามประมาณที่ได้ถามออกไป
“ก็นานอยู่นะ” ศิตาบอก
“หลังจากแม่ฌาร์มเสียแล้ว หรือเปล่า” ฌาร์มไม่กล้าพูดเต็มเสียงนักเพราะดูเหมือนไม่ให้เกียรติ์ศิตาที่ถึงกับถอนใจ
“ค่ะ”
“พ่อมีทุกอย่าง ฌาร์มไม่ควรจะแปลกใจหรือถามอะไรเลย” ฌาร์มไม่ รู้จะพูดหรือถามอะไรต่อ เพราะไม่ว่าใครคงคิดเหมือนที่
ฌาร์มคิด เงินทอง ชื่อเสียง ความมีหน้ามีตาคงทำให้ผู้หญิงที่อยู่เคียงข้างมีความสุขและพลอยมีหน้ามีตาไปด้วย
“ก็คงตามนั้น คิดอะไรก็อันนั้นแหละ” ศิตาบอก
“งั้นไม่ถามดีกว่า” ฌาร์มบอกแล้วเบ้ปากเล็กน้อย
“แต่ถ้าซีนเจอฌาร์มก่อน ก็คงจะดีกว่านี้” ศิตาพูดแล้วเดินหนีเข้าห้องน้ำไป ฌาร์มถอนใจและยืนนิ่งภาวนาว่า เหตุการณ์ที่เกิด
ขึ้นอยู่ ณ เวลานี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง บางทีตัวเองอาจจะฝันอยู่ก็ได้