ก้าวหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อเห็นฌาร์มจอดรถอยู่ข้างๆ ตัวเองและเดินยิ้มเข้ามาทักทาย
“มาช่วยเปิดร้านหรือ” ฌาร์มถาม
“รับพนักงานชั่วคราวไหมล่ะ ว่างอยู่ครึ่งวัน เมื่อวานงานกว่าจะเสร็จก็มืดค่ำ น้าซีนเจ้านายผู้ใจดีเลยให้เข้าสายได้ แอบมาอู้ที่ร้านฌาร์มดีกว่าได้ทำงานไปด้วยอ่านนิยายไปด้วย” ก้าวหน้าหัวเราะคิกคัก ฌาร์มยิ้มๆ เมื่อได้ยินก้าวหน้าพูดถึงน้าสาว
“เชิญค่ะ คุณพนักงานชั่วคราว เดี๋ยวจะเลี้ยงอาหารเช้านะ” ฌาร์มทำท่าผายมือและโค้งให้กับก้าวหน้าที่หัวเราะขึ้นมาทันที จะว่าไปฌาร์มก็น่ารักดี แต่จะสนใจผู้หญิงหรือเปล่านี่สิ ก้าวหน้ายิ้มน้อยๆ กับความคิดของตัวเองและรีบเดินนำเข้าไปในร้าน เพราะแป๋วแหววเพิ่งเปิดประตูออกมา
ภาพในอินสตราแกรมที่ศิตาเห็นทำให้รอยยิ้มจาง เมื่อเห็นสถานที่ซึ่งก้าวหน้าเช็คอินที่ร้านของฌาร์มแต่เช้า แถมด้วยภาพถ่ายที่ถ่ายคู่กันด้วยรอยยิ้มที่แสนสดใสด้วยกันทั้งคู่ อาหารเช้าอาจจะเป็นเรื่องปกติของคนที่มีน้ำใจ แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนล่ะเป็นเรื่องปกติของสาวเจ้าของร้านกาแฟด้วยหรือเปล่า ศิตาคิด ฌาร์มหายไปหลังจากเมื่อคืนส่งข้อความทิ้งไว้ว่ากลับถึงบ้านแล้ว ตอนแรกศิตาตั้งใจว่าจะโทรฯ ไปหาช่วงสายๆ แต่คิดว่าไม่ดี กว่าเมื่อได้เห็นภาพถ่ายของก้าวหน้า เพียงแค่คิดเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น
“สวัสดีตอนสายๆ ค่ะ”
“มีอะไรหรือเปล่า” ศิตาถาม
“คุณซีนนั่นแหละ มีอะไรหรือเปล่า เสียงแปร่งๆ มีคนอยู่ด้วยหรือคะ” ฌาร์มถามเพราะไม่รู้ว่า ศิตาคุยงานอยู่หรือเปล่า
“ใครจะไปเสียงใสสู้ชามข้าวได้ล่ะ” ศิตาพูดออกไปแล้วรู้สึกอยาก จะตีปากตัวเองเสียเหลือเกิน
“มีอะไรบอกฌาร์มเลยดีกว่า” ศิตารู้สึกอายที่แสดงน้ำเสียงไม่ดีออก ไปอย่างนั้น ทั้งๆ ที่รู้ดีว่า ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้
บอกว่าตัวเองจะไปมีสิทธิ์อะไรหรือไปแสดงท่าทีว่าหวงในตัวของฌาร์มได้
“เปล่านี่” ศิตาบอก
“ฌาร์มเชื่อก็ได้ ก้าวอยู่ที่ร้านค่ะ เดี๋ยวจะฝากชากับขนมเข้าไปให้จะได้อารมณ์ดีขึ้น คิดถึงนะคะ” ฌาร์มยิ้มไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้ว
ที่ไม่ได้พูดคำว่าคิดถึงกับใคร มีเพียงแค่นานๆ ครั้งจะบอกกับน้านุชบ้าง อดนึกถึงเวลาอ้อนมารดาไม่ได้ เพราะชอบบอกท่านว่าคิดถึง
เวลากลับบ้าน
“ซีนก็คิดถึงนะ ขอตัวไปทำงานก่อน” ศิตายิ้มกว้างมากขึ้น เมื่อได้ยินคำว่าคิดถึง จากที่ก่อนหน้านั้นตั้งแง่ไม่พอใจที่ก้าวหน้าไปอยู่ที่ร้านกาแฟตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด ศิตายิ้มน้อยๆ รู้สึกผิดที่คิดอะไรแบบนั้น
“เป็นเอามากนะ เราเนี่ย” ศิตารำพึงออกมาเบาๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และสลัดภาพการคลอเคลียระหว่างตัวเองกับฌาร์มออก
ไปจากความคิดเพื่อจะได้ตั้งใจทำงาน
ชัชวาลยังคงออกงานตามสถานที่ต่างๆ ส่วนใหญ่จะไปเพียงลำพังนอกจากงานใหญ่ๆ ที่ต้องพบปะนักการเมือง รวมถึงผู้ใหญ่ในรัฐบาลถึงจะมีคู่ควงออกงาน เมื่องานก่อนมีแต่คนออกปากอยากเป็นหนุ่มโสดที่มีว่าที่ศรีภรรยาแสนสวยและทำงานเก่งเหมือนอย่างเขา
“สวัสดีครับ คุณนุช ผมโทรฯ มาตามข่าวเรื่องที่เราคุยกันไว้ครับ”
“นุชคิดว่า คุณชัชเลิกล้มความตั้งใจไปแล้วเสียอีกนะคะ” น้านุชพูดขึ้นแล้วแอบถอนใจ
“เชิญที่พรรคดีกว่าไหมครับ หากทราบแผนงานรวมถึงคนทำงานด้วยอาจจะยอมใจอ่อน ผมอยากได้คุณนุชมาช่วยงานจริงๆ นะ
ครับ”
“คุณชัชทำเหมือนนุชทำงานเก่ง อันที่จริงก็แค่ข้าราชการตำแหน่งไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย” น้านุชบอก
“แต่ที่ได้ยิน ไม่ใช่แบบนั้นนี่ครับ เป็นวันเสาร์ดีไหมครับ เพราะเป็นวันหยุด ผมจะได้นัดคนอื่นๆ เพื่อประชุมพูดคุยนะครับ คุณนุช”
การพูดจาหว่านล้อมเป็นไปอย่างสุภาพ คนฟังไม่แปลกใจนักทำไมสาวๆ ถึงได้หลงใหลยอมเป็นคู่ควง โดยไม่ได้สนเลยว่า ชัชวาลควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า หรือวันหนึ่งถ้าเจอคนที่ใช่เข้า ชัชวาลจะกลับมาเป็นสามีที่ดีเหมือนตอนที่อยู่กับมารดาของฌาร์ม
“ได้ค่ะ ถ้านุชปฏิเสธเลย ถือว่าจบ ห้ามตื้อแล้วนะคะ คุณชัช”
“ครับผม ขอบคุณที่กรุณานะครับ คุณนุช เดี๋ยวเรื่องเวลาผมจะให้เจ้าหน้าที่โทรฯ ไปนัดหมายอีกครั้งครับ แล้วพบกันนะครับ”
ชัชวาลบอก
“ค่ะ คุณชัช”
ก้าวหน้าทำงานออกแบบเสื้อผ้า โดยกำลังใช้ดินสอร่างและทำท่าขบคิด ฌาร์มยิ้มมองมาจากส่วนที่จัดเตรียมเครื่องดื่ม หลังจากพูดคุยกันอยู่พักใหญ่เลยปล่อยให้ก้าวหน้าได้คิดและทำงานเพียงลำพัง
“พี่ชามข้าว หนูสงสัย พี่ชอบคนไหนเนี่ย” แป๋วแหววถามตรงๆ ทำเอาฌาร์มรีบปิดปาก เพราะเกรงว่า ก้าวหน้าได้ยินเข้าจะไม่ดี
“ใช่เวลามาถามไหม ทำงานไป” แป๋วแหววถอนใจ ซึ่งอันที่จริงไม่ ได้ใคร่รู้อะไร แต่อดเป็นห่วงไม่ได้หรืออาจจะต้องพึ่งพาน้า
นุชให้ช่วยถาม
ก้าวหน้ากลับเข้ามาทำงานในช่วงบ่าย มองผ่านประตูบานกระจกใส ซึ่งเป็นห้องทำงานของศิตาท่าทางดูเหม่อลอยอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ตลอดเวลาหลายปีที่ทำงานกับน้าสาวมา ส่วนใหญ่จะได้เห็นท่าทางกระฉับ กระเฉงเอาจริงเอาจังเรื่องงาน หรือเพราะเรื่องการเปิดตลาดต่างประเทศที่ทำให้ศิตาดูเหม่อลอย ก้าวหน้ามองดูขนมกับชาร้อนคิดว่าน่าจะช่วยทำให้น้าสาวของตัวเองสดชื่นขึ้น
“ของฝากจากร้านกาแฟค่ะ” ศิตายิ้มให้ก้าวหน้าตั้งแต่เปิดประตูเข้ามาแล้ว
“ขอบใจจ้ะ งานรออยู่ที่ห้องนะจ๊ะ นักออกแบบ” ศิตาพูดแหย่หลาน สาวที่แสร้งทำท่าหมดเรี่ยวหมดแรงออกมาให้เห็น
“โหย ไม่ให้หายใจหายคอเลย น้าซีน” ก้าวหน้าพูดเสียงอ่อยๆ
“ปารีสที่ขอน่ะ จะไปไหม ขี้เกียจล่ะก็น้ายกเลิกนะ” ศิตาหัวเราะ เมื่อก้าวหน้าเปลี่ยนมาทำเป็นแข็งขันและยิ้มๆ เมื่อพูดถึงเรื่องการขอไปดูงานแฟชั่น ณ มหานครปารีส ซึ่งศิตาได้อนุมัติเรียบร้อย โดยมีนักออกแบบไปด้วยอีกหนึ่งคน
“แหมไม่ได้ขี้เกียจสักหน่อยค่ะ แค่อ้อนเฉยๆ แต่น้าซีนคะ มีเรื่องรบกวนปรึกษา” ก้าวหน้าเป็นสาวที่ไม่ค่อยเก็บงำอะไรไว้คนเดียว หากเรื่องไหนตัวเองไม่รู้มักจะถามไถ่และอะไรที่ตัวเองรู้ก็จะมาบอกเล่า ถ้าเรื่องราวเหล่านั้นเป็นประโยชน์กับใคร
“ว่ามาจ้ะ อ้อแต่เรื่องขอไปเรียนต่อเลย ไม่ได้นะ รออีกสักสองปี”
“โห มีดักคอ ไม่ใช่เรื่องงานสักหน่อย” ก้าวหน้าบอกและเมื่อได้ยินดังนั้น ศิตาจึงตั้งใจฟังหลานสาวที่นั่งบิดไปบิดมาอิดออดไม่
ยอมเล่าเสียที
“ลีลาเยอะ เสียเวลา” ศิตาพูดคล้ายดุแล้วหันไปสนใจเอกสารที่อยู่ตรงหน้าทั้งๆ ที่ยังตั้งตารอการบอกเล่า เพราะรู้ว่า ก้าวหน้าเพิ่งกลับมาจากร้านของฌาร์ม
“คิดก่อนว่าจะเริ่มยังไง” ก้าวหน้าพูดเสียงอ่อยๆ
“เรื่องแฟน หรือ” ศิตาถาม
“ยังไม่ได้เป็นแฟน แค่ชอบๆ กันค่ะ” ก้าวหน้าบอก ศิตาขมวดคิ้วแล้วแอบถอนใจ เพราะเดาได้ไม่อยากว่าหมายถึงใคร
“ปัญหา คืออะไร มีแฟนก็ไม่แปลกไหม” ศิตาบอก
“เป็นผู้หญิงก็ไม่แปลกหรือคะ” ก้าวหน้าถามแบบซื่อๆ ศิตายิ้มจางๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่หลานบอกออกมา
“ไม่นี่” ศิตาบอกและทำทีเป็นสนใจชา ค่อยๆ จิบ โดยทำเป็นเรื่องที่ได้ยินเป็นเรื่องธรรมดา
“กับแม่ไม่ธรรมดาน่ะสิ” ก้าวหน้าพูดเสียงอ่อยๆ
“ทำไมจะพาเข้าบ้านหรือ” ศิตาถาม
“ถ้าชัดเจน ก็จะพาไปค่ะ” ก้าวหน้าบอก
“น้าก็เคยคบผู้หญิง ไม่เห็นแม่เราว่าอะไรนี่ คิดมากไปหรือเปล่า”
“โหยกับน้าซีนแม่ไม่กล้าว่ามากกว่าค่ะ แต่กับก้าวมีหวังอธิบายกันยาวเหยียด น้าซีนช่วยก้าวด้วยนะ” ก้าวหน้าพูดอ้อน
“พามาเจอน้าก่อน ถ้าดีจะช่วย ถ้าเห็นว่าไม่ ก็พาไปเอง ตกลงตามนี้ไปทำงานได้แล้วไป” ศิตาพูดเหมือนกับไล่ทำเอาหลานสาวหน้าง้ำ แต่ยอม ออกไปทำงานแต่โดยดี
ศิตาเปิดกล่องใส่ขนม จึงได้เห็นกระดาษแผ่นเล็กๆ ซึ่งเมื่อพลิกดูถึง กับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่ใช่สิต้องเรียกว่ายิ้มกว้างมาก เพราะ
เจ้ารอยลิปสติกที่ติดมากับกระดาษแผ่นนั้น
“ร้ายจริงๆ แม่ชามข้าว” ศิตาหัวเราะเล็กๆ หยิบพลาสติกใสๆ ซึ่งเป็นสติกเกอร์ตัดให้พอดีกับกระดาษแผ่นที่ใส่มาในกล่องขนม และนำไปติดทับเอาไว้เพื่อรอยนั้นจะได้ไม่จางหายไปไหน ศิตาเอากระดาษแผ่นนั้นทาบทับกับริมฝีปากของตัวเองก่อนจะนำไปเสียบเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ เพราะคงอุ่นใจที่จะรู้ได้ว่ามีฌาร์มอยู่ด้วยเสมอ ศิตายิ้มกับสิ่งที่ทำลงไปไม่คิดเหมือน กันว่าจะเป็นได้มากมายขนาดนี้
“ชาหอมนะ แต่คนชงชาหอมกว่า ขอบคุณจ้ะ” ศิตาส่งข้อความและแอบหวังว่าจะสร้างรอยยิ้มให้กับผู้อ่าน
“คนไหนแน่ว๊ะเนี่ย ดูสิ ส่งข้อความมาซะหวานขนาด” แป๋วแหววชำเลืองมองโทรศัพท์มือถือที่เจ้านายวางทิ้งไว้ ถือเป็นเรื่อง
ปกติ แต่ข้อความ ที่เด้งขึ้นมาให้เห็นนั่นสิ ไม่ค่อยปกติสักเท่าไรนัก แป๋วแหววแอบถอนใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเจ้านายของตัวเองซึ่ง
ไม่รู้จะไปทางไหน หลานหรือน้ากันนะ แป๋วแหววแอบคิด แต่เมื่อเห็นฌาร์มเดินมาจึงทำเป็นเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พี่ก้าวน่ารักดีนะ พี่ฌาร์ม” แป๋วแหววพูดขึ้นและสังเกตท่าทางของเจ้าของร้านที่ไม่ได้สนใจอะไรนัก
“เก่ง ฉลาด น่ารัก ชอบอ่านนิยายด้วย” ฌาร์มพูดขึ้นแล้วยิ้มเมื่อนึกถึงวันที่ก้าวหน้าหยิบหนังสือนิยาย ซึ่งตัวเองเป็นคนเขียนขึ้น
มาอ่าน
“งั้นที่เขียนก็ให้พี่ก้าวช่วยอ่านสิ หนังสือจะได้พิมพ์สักที” แป๋วแหวว อมยิ้ม เมื่อเห็นฌาร์มเงื้อมือทำท่าจะเขกที่ศีรษะ
“หนังสือดีๆ สิบปีถึงจะเสร็จ” ฌาร์มหัวเราะ
“ลูกหนูคงโตแล้วเนอะ” แป๋วแหววหัวเราะคิกคัก แต่เมื่อเห็นฌาร์ม หยิบโทรศัพท์ไปเปิดดู และเห็นรอยยิ้มกับท่าทางเหม่อลอยมองออกไปด้านนอกร้านทำให้แป๋วแหววแอบถอนใจ
“ความรักคงทำให้คนตาบอดจริงๆ” แป๋วแหววรำพึงออกมาเบาๆ
บางทีคนเราเลือกไม่ได้ที่จะไปรู้สึกรักใครชอบใคร แป๋วแหววไม่เคยเห็นฌาร์มรู้สึกดีกับใครมาก่อน แต่พอจะรู้เรื่องที่เคยอกหัก
และคนรักเป็นผู้หญิง เพราะเคยแอบได้ยินน้านุชคุยกับฌาร์ม ถึงจะเป็นผู้หญิงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรในความคิดของแป๋วแหวว เรื่องอื่นมากกว่าที่จะแปลกคนที่คิดยิ้มจางๆ มองดูฌาร์มที่ยังคงนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่
“เวลาอกหักเป็นยังไงว๊ะเนี่ย พี่ชามข้าว” แป๋วแหววกลับมาตั้งใจทำงานดูแลลูกค้าตามหน้าที่ ในเมื่อยังไม่มีเหตุการณ์อะไรคิด
ไปก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้ สังเกตจากอากัปกิริยาหลังจากอ่านข้อความแล้ว กู่ไม่กลับแน่แล้วพี่ชามข้าวของแป๋วแหวว
น้านุชมาปรึกษากับฌาร์มเรื่องงานที่ชัชวาลพูดทาบทาม และมีการนัดหมายพูดคุยกันเอาไว้ โดยฌาร์มเห็นด้วยและเชื่อมั่นว่า
บิดาคงตัดสินใจ ดีแล้วถึงได้เอ่ยปากเชื้อเชิญหลายครั้งหลายครา เรื่องงานและการดูคนถือว่าบิดาค่อนข้างเฉียบแหลม เพราะนั่นทำให้
ธุรกิจของบิดาก้าวหน้าและไปได้ด้วยดีมาตลอดระยะเวลาหลายปี ส่วนหนึ่งมาจากการดูคนและเลือกใช้คนให้เหมาะกับงาน โดยเฉพาะ
กับน้านุช ซึ่งคุ้นเคยกับบิดามาก่อน ความไว้วางใจในตัวน้านุช บิดาของฌาร์มมีให้เต็มร้อยถึงได้เลือกที่จะให้ไปช่วย งาน เชื่อได้เลยว่า น้านุชจะช่วยงานบิดาของฌาร์มได้มากแน่นอน
“ตอนแรกนึกว่าจะห้ามไม่ให้ไป ตอนนี้กลายเป็นว่าเห็นด้วยกับพ่อเราเสียอย่างนั้น” น้านุชพูดบ่นพึมพำ
“ถ้าอยากสนุกกับงานที่ไม่ซ้ำกับที่ทำอยู่ ก็น่าลองนะคะ น้านุช”
“น้าคิดอย่างนั้นเหมือนกันนะ แต่คงต้องขอดูรายละเอียดตอนที่จะ ต้องไปเข้าประชุมก่อนดีกว่า ฌาร์มไปเป็นเพื่อนน้าหน่อยสิ
สองคนค่อยสบายใจหน่อย” น้านุชยิ้มๆ เมื่อเอ่ยปากชวนหลานสาว
“ได้ค่ะ ฌาร์มขับรถให้เอง รถน้านุชจอดไว้ที่ร้าน”
“ขอบใจนะ ลูก” น้านุชบอกขอบคุณฌาร์ม แต่เมื่อเห็นแป๋วแหววโบกมือไหวๆ น้านุชจึงบอกให้ฌาร์มไปทำงานของตัวเอง โดย
เมื่อเห็นฌาร์ม กลับมานั่งทำงาน แป๋วแหววจึงหลบไปหาน้านุชและบอกเล่าเรื่องราวที่ตัวเองได้รับรู้มา
“ตายแล้ว จริงหรือ คุณซีนน่ะนะ” แป๋วแหววบอกเรื่องข้อความที่เด้งขึ้นมาในโทรศัพท์ของฌาร์มให้กับน้านุชได้รับรู้
“หนูเข้าใจไม่ผิดใช่ไหมคะ ว่าเป็นการเกี้ยวพาราสีน่ะ และที่สำคัญพี่ฌาร์มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วย เล่นเอาเพ้อเลยค่ะ” แป๋วแหววพูดคล้ายเป็นการรายงานกึ่งฟ้องให้ผู้ปกครองของฌาร์มทราบ
“เจ้านายเราน่ะ โตแล้วคงต้องให้คิดเองตัดสินใจเอง อีกอย่างฌาร์มเป็นคนมีเหตุมีผล น้าเชื่อนะว่า ฌาร์มจะตัดสินใจในสิ่งที่ถูก
ต้อง พวกเราคงต้องเอาใจช่วยอยู่ห่างๆ เวลาล้มเราก็ช่วยกันประคับประคอง แป๋วแหววเข้า ใจใช่ไหม” น้านุชถามแป๋วแหวว
“เราไม่ล้อมคอกก่อนวัวจะหายหรือคะ” แป๋วแหววถาม น้านุชยิ้มและนึกดีใจที่มีคนรักใคร่ในตัวหลานสาวมากมาย เหมือนที่แป๋วแหววได้ทำให้เห็นถึงความห่วงใยที่มีให้กับฌาร์ม
“ปล่อยวัวไปก่อน บาดเจ็บมา รักษาให้หายเจ็บ แล้วค่อยล้อมคอก เอาเนอะ” น้านุชบอก แป๋วแหววพยักหน้าแล้วยิ้ม