บทที่ 10 ลำดับความคิดใหม่ 1

2157 Words
ดูเหมือนว่าผ้าตัวอย่างสีชมพูผืนนั้นจะกลายเป็นปัญหาให้ฮัวหมิงซื่อเสียแล้ว... หลานหลีเกอมองหน้าคนที่แย่งชิงผ้าตัวอย่างไปจากมือตนเองด้วยสายตาตกตะลึง เวลานี้ตัวตนของนางในอดีตกำลังยืนอยู่ตรงหน้านาง ใบหน้าน่ารัก รูปร่างอ้อนแอ้น การแต่งกายเรียบร้อยสดใส ทุกอย่างที่นางเห็นอยู่ตอนนี้ล้วนไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากที่นางเคยเห็นหรือเคยเป็นในชาติที่แล้วเลยสักนิด “จื่อเอ๋อร์! นี่เจ้าทำอะไร เหตุใดจึงได้กล้าเสียมารยาทเช่นนี้” ฮัวหมิงซื่อตำหนิน้องสาวเสียงดัง “ก็พี่ใหญ่จะขายผ้าที่ข้าจองไว้สำหรับตัดชุดใส่ไปงานชมบุปผานี่เจ้าคะ!” ฮัวจื่อเวยเถียงกลับ “ผ้าชนิดนี้แม้ราคาไม่แพงมากแต่ขั้นตอนการทอละเอียดลออและพิถีพิถันมาก ที่สำคัญคือสีนี้เหมาะกับข้าที่สุด อีกทั้งมีเหลือไม่เยอะแล้ว” หญิงสาวเอ่ยแล้วปรายตามองไปที่สตรีอีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า “อีกอย่าง ข้าย่อมไม่อยากเห็นผู้ใดใส่ชุดสีเดียวกัน ผ้าชนิดเดียวกันกับข้าในงานชมบุปผาอยู่แล้ว” ฮัวจื่อเวยเอ่ยอย่างไม่เป็นมิตร น้ำเสียงฟังดูก็รู้ว่ามีความไม่พอใจแฝงอยู่ “เหลวไหล!” ฮัวหมิงซื่อว่าแล้วหันกลับมาหาหลานหลีเกอและหลานฮูหยินก่อนจะกล่าวขออภัย “ไม่เป็นไร ไม่ถือสา ความรู้สึกของคุณหนูฮัวย่อมเข้าใจได้ไม่อยาก” เถาลี่อิงเอ่ยอย่างมีเมตตา ทว่าในใจกลับนึกตำหนิการแสดงออกของน้องสาวฮัวหมิงซื่อไปแล้วหลายส่วน หลานหลีเกอมองหน้าฮัวจื่อเวยตรงหน้าชัดๆ ก่อนจะยกยิ้ม ความคิดบางอย่างของนางผุดเข้ามาในหัว ก่อนหน้านี้ไม่นานนางมีความคิดว่าจะมาที่ร้านผ้าตระกูลฮัวบ่อยๆ เผื่อว่าวันใดวันหนึ่งนางจะได้พบกับตนเองในอดีตอีกสักครั้ง ทว่าเวลาผ่านไปยังไม่ทันครบหนึ่งจิบชา คนที่นางรอจะพบหน้าก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด และแม้ว่าองค์ประกอบภายนอกทุกอย่างจะเหมือนกับตัวนางในอดีตทุกกระเบียดนิ้ว แต่มองจากการแสดงออกเมื่อครู่นี้แล้ว หลานหลีเกอก็มั่นใจได้เลยว่าฮัวจื่อเวยคนนี้ ไม่ได้มีนิสัยใจคอเฉกเช่นเดียวกับนางในชาติที่แล้วแน่นอน “เจ้า...ยิ้มทำไม?” ฮัวจื่อเวยที่ยืนอยู่ด้านหลังพี่ชายตนเอ่ยถาม หลานหลีเกอไม่เอ่ยตอบ แต่สายตาที่มองออกไปย่อมทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นมองออกว่านางไม่คิดจะจบเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ง่ายๆ “หลีเอ๋อร์” หลานจิ้นหลี่เอ่ยเรียกน้องสาวตน ชายหนุ่มสาบานได้ว่าเขาไม่เคยเห็นสายตาและสีหน้าเช่นนั้นของผู้เป็นน้องสาวมาก่อน “คุณหนูฮัวเป็นฝ่ายเสียมารยาทกับข้าก่อน คำขอโทษสักคำก็ไม่มี ซ้ำยังมาถามว่าข้ามองท่านทำไมอีก นิสัยแบบนี้...ไม่แย่ไปหน่อยหรือเจ้าคะ?” หลานหลีเกอเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งๆ ทว่าถ้อยคำที่นางเอ่ยออกไปนั้นกลับทำให้คนฟังถึงขั้นหน้าชา ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ฮัวจื่อเวยเท่านั้น แต่รวมไปถึงฮัวหมิงซื่อด้วย “จะ...เจ้า ข้าขอโทษ” ฮัวจื่อเวยเอ่ยขอโทษออกไปอย่างเสียไม่ได้ การกระทำเมื่อครู่นี้เป็นนางที่เสียมารยาทกับอีกฝ่ายก่อนจริง อีกทั้งหากเอ่ยคำแก้ตัวไปก็จะยิ่งฟังไม่ขึ้น พี่ชายของนางก็จะมาตำหนินางอีก พอเรื่องนี้ถึงหูท่านพ่อ ท่านพ่อก็จะมาต่อว่านาง สุดท้ายท่านก็จะยกฮัวจื่อถิงมาเปรียบเทียบนาง เช่นนี้แล้วมิสู้นางเอ่ยขอโทษอีกฝ่ายไปให้จบๆ ตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า “คำขอโทษของท่านไร้ความจริงใจยิ่ง แต่ก็เอาเถอะ ข้าจะให้โอกาสท่านแก้ตัวสักครั้ง พรุ่งนี้ยามอู่ (11.00-12.59น.) ไปพบข้าที่เหลาเยว่หลวนก็แล้วกัน” หลานหลีเกอหยุดคำพูดของตนเองไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกมาจากร้านผ้าตระกูลฮัวด้วยฝีเท้าที่เร็วกว่าปกติ หญิงสาวกำมือทั้งสองข้างเข้าหากันแน่น การพบเจอกับตนเองในอดีตเป็นสิ่งที่นางรับมือได้ยากเย็นจริงๆ ทั้งต้องต่อสู้กับความรู้สึกหลากหลายที่ตีกันอยู่ในอก ทั้งต้องคอยแสดงสีหน้าไม่ให้คนอื่นรับรู้ได้ถึงขั้นเกิดความสงสัยจนต้องมาถามว่านางเป็นอะไร การที่ต้องทำทั้งสองอย่างในเวลาเดียวช่างสร้างความลำบากให้นางจริงๆ และกว่าที่นางจะกลั้นใจเอ่ยคำนัดหมายนั้นออกไปได้ ความรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างกดทับหัวใจนางอยู่ก็ทำเอานางแทบจะล้มทรุดลงตรงนั้น ตกเย็นหลานหลีเกออ้างว่ารู้สึกปวดหัวจึงเข้านอนแต่หัวค่ำ ทว่าความแล้วหญิงสาวกลับมานั่งคิดเรียงลำดับเหตุการณ์และสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับนางในรอบหลายปีที่ผ่านมาด้วยความเคร่งเครียด ตอนอายุห้าหนาวนางรู้ตัวเองว่าสามารถจดจำเรื่องราวในอดีตชาติของตนเองได้ อีกทั้งเวลานั้นนางยังสามารถมองเห็นและพูดคุยกับดวงวิญญาณของบรรพบุรุษตระกูลหลานได้ แน่นอนว่าหญิงสาวไม่คิดว่ามันคือเรื่องบังเอิญ เหตุการณ์ในชีวิตทุกอย่างปกติดีมาจนนางอายุสิบห้า ได้เข้ามาในเมืองหลวงและได้พบเจอกับครอบครัวในอดีตชาติของตัวเองอีกครั้ง นั่นจึงทำให้ความทรงจำที่คล้ายกับว่านางจะหลงลืมมันไปแล้ววกกลับเข้ามาในหัวของนางอีก อันที่จริงถ้านางไม่ได้เดินทางเข้ามาในเมืองหลวง ไม่ได้พบหน้าหนิงอ๋องในทันทีที่มาถึงและไม่ได้พบเจอกับพี่ชายและตัวตนของตนเองในชาติที่แล้วภายในวันเดียวกัน ความทรงจำที่ติดตัวมาจากชาติก่อนนั้นก็คงจะถูกนางลืมไปพร้อมกับวันเวลาสิบปีที่ผ่านมาแล้วจริงๆ หญิงสาวยอมรับว่าสิบปีที่ผ่านมานางมีความสุขกับการใช้ชีวิตเป็นหลานหลีเกอมาก ทุกคนในครอบครัวรักใคร่ปรองดอง พี่น้องสามัคคีกลมเกลียว ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีอยู่ไม่มากนักในครอบครัวตระกูลฮัว ชาติก่อนแม้ว่านางจะเป็นที่รักของทุกคนในตระกูล แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่นางได้หมั้นหมายกับเจาอ๋องแล้ว ทว่าเมื่อนางได้พบกับคนที่ทำร้ายนางจนตายและคนที่ต้องตายไปอย่างไม่ได้รับความยุติธรรมเพราะมีนางเป็นต้นเหตุแล้ว ความรู้สึกผิดและคับแค้นใจก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นจนนางไม่อาจเมินเฉยต่อความรู้สึกเหล่านั้นได้ ชีวิตก่อนนางถูกสามีหลอกใช้และหักหลัง ถูกน้องชายสามีพรากลมหายใจ เวลานี้นางมีโอกาสได้ย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง แล้วเหตุใดนางจึงจะปล่อยให้พวกเขามีความสุขท่ามกลางความสูญเสียของนางด้วยเล่า? นี่ยังไม่รวมคนในตระกูลฮัวที่ต้องมาตายเพราะนางอย่างน่าอนาถอีก เพียงแค่ชาติภพนี้นางได้มาเกิดในตระกูลที่ดี มีครอบครัวที่อบอุ่น เหตุผลเพียงแค่นั้นเพียงพอแล้วหรือ? ที่นางจะปล่อยวางไม่แก้แค้นเอาคืนโจวเฟิงซีกับโจวซีเฉิน เช่นนั้นแล้วคนตระกูลฮัวนับร้อยที่ตายไปผู้ใดจะชดเชยให้พวกเขากัน? ตลอดคืนที่ผ่านมาหลานหลีเกอนอนไม่หลับ เรียกได้ว่านางไม่อาจข่มตาหลับลงแม้แต่นิด เพราะเพียงแต่หลับตาลง ภาพการตายของคนตระกูลฮัวก็ฉายชัดเข้ามาในหัว และแทรกซ้อนด้วยภาพความอบอุ่นของครอบครัวในปัจจุบันของนาง กระทั่งรุ่งเช้าหลานหลีเกอถึงตัดสินใจเรื่องที่นางเฝ้าครุ่นคิดมาตลอดทั้งค่ำคืนได้ กับตระกูลฮัว ถึงอย่างไรนางก็ต้องชดเชยให้พวกเขา และกับตระกูลหลานนางยิ่งต้องปกป้องพวกเขาไม่ให้ต้องประสบกับชะตากรรมเช่นเดียวกับตระกูลฮัว ชาติก่อนความสูญเสียทุกอย่างมีจุดเริ่มต้นที่นางตบแต่งให้กับชายชั่วผู้นั้น และในทางกลับกันหากชาตินี้นางกีดกันไม่ให้ฮัวจื่อเวยได้พบกับโจวซีเฉิน ไม่ให้พวกเขาต้องแต่งงานกัน เช่นนั้นเหตุการณ์สูญเสียสะเทือนใจเหล่านั้นก็จะไม่เกิดขึ้น คนในตระกูลฮัวก็ไม่ต้องตายตกเหมือนชาติที่ผ่าน “หลีเอ๋อร์ เรื่องคุณหนูฮัวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เจ้าจะติดใจเอาความนางจริงๆ หรือ?” หลานจิ้นหลี่เอ่ยถามน้องสาวที่เดินอยู่ข้างกาย เวลานี้เป็นปลายยามเหม่า (05.00-06.59น.) หลานหลีเกอเดินออกมาส่งพี่ชายขึ้นรถม้าไปทำงานที่หน้าจวนหลังจากทานมื้อเช้าร่วมกันเสร็จ “มีสิ่งใดให้ต้องติดใจเอาความกับนางหรือเจ้าคะ?” หญิงสาวเอ่ยถามกลับ หลานจิ้นหลี่ขมวดคิ้ว เมื่อวานตอนเกิดเรื่องเขาเห็นสายตาแปลกๆ ของผู้เป็นน้องสาว จึงเข้าใจไปว่านางอาจจะโกรธคุณหนูฮัวเรื่องที่อีกฝ่ายเสียมารยาใส่ ถึงขั้นต้องนัดหมายกันไปเจรจา “ก็...เมื่อวานพี่เห็นว่าเจ้าค่อนข้างไม่พอใจนาง” “น้องไม่ชอบใจที่นางเสียมารยาทจริงๆ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดนาง ในเมื่อนางบอกว่าผ้าชนิดนั้นนางได้จับจองเอาไว้แล้ว เช่นนั้นย่อมแสดงว่ามีคนงานในร้านผ้าไม่รับรู้เรื่องนี้ หรือไม่ก็คงมีคนจงใจกลั่นแกล้ง จึงได้นำผ้าตัวอย่างออกมาให้ลูกค้าเลือกซื้อ และถ้ามีคนซื้อไป มาตรว่านางเองก็คงต้องเกิดปัญหา ไม่มีผ้าตัดชุดใส่ไปงานชมบุปผา เห็นชัดว่าเรื่องนี้น้องไม่ได้เป็นผู้ถูกกระทำ แต่เป็นนางต่างหาก” หลานจิ้นหลี่ฟังแล้วพยักหน้า นิสัยใจคอของสตรีส่วนใหญ่ล้วนกลั่นแกล้งเรื่องความสวยความงามกันเป็นปกติ เหตุผลที่น้องสาวของเขาหยิบยกขึ้นมาพูดก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ “แล้วเรื่องที่เจ้านัดพบกับนางวันนี้...” “พี่ใหญ่เป็นสหายกับคุณชายฮัวมิใช่หรือเจ้าคะ?” “ก็...ใช่” “เช่นนั้นน้องก็อยากจะเป็นสหายกับคุณหนูฮัวบ้าง” หลานหลีเกอเอ่ยบอกผู้เป็นพี่ แน่นอนว่าหลานจิ้นหลี่ฟังแล้วต้องยิ้มรับ แต่ไหนแต่ไรมาน้องสาวของเขาก็มีเพื่อนน้อย ยิ่งในเมืองหลวงแห่งนี้นางยังไม่มีสหายสักคน และการได้ผูกไมตรีกับน้องสาวของสหายของเขาก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องไม่ดี พี่ชายเป็นเพื่อนกันแล้ว น้องสาวยังมาเพื่อนกันอีก นับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากทีเดียว หลานหลีเกอออกจากจวนมาที่เหลาเยว่หลวนพร้อมกับเสี่ยวถง ทั้งสองแจ้งความประสงค์ว่าต้องการห้องส่วนตัวสักห้องกับหลงจู๊ของร้าน หลงจู๊ของเหลาเยว่หลวนจำหน้าหลานหลีเกอได้ว่าเมื่อวานนางมาที่นี่พร้อมกับครอบครัวและผู้เป็นพี่ชาย จึงได้จัดแจงหาห้องว่างให้แม้ว่านางจะไม่ได้จองก่อนล่วงหน้า เช่นนี้ก็หมายความว่าพี่ชายของนางเป็นขุนนางมีหน้ามีตาและเป็นที่รู้จักไม่น้อยในเมืองหลวง “ขอบคุณหลงจู๊ที่ช่วยเป็นธุระ หลีเกอสร้างความลำบากให้ท่านแล้ว” หลานหลีเกอเอ่ยบอกอีกฝ่าย ก่อนจะพยักหน้าให้เสี่ยวถงมอบสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ให้อีกฝ่าย “คุณหนูหลานเกรงใจเกินไปแล้ว” แม้ปากจะว่าอย่างนั้น แต่มือกลับรีบรับเอาก้อนเงินไปอย่างรวดเร็ว “ข้าจะให้เด็กนำทางคุณหนูขึ้นไป” หลานหลีเกอพยักหน้ารับ ไม่นานก็มีเสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งมานำทางนางและเสี่ยวถงขึ้นไปยังห้องว่างที่จัดเตรียมเอาไว้ “อยู่ในเมืองหลวงนี่สิ้นเปลืองเงินทองจังเลยนะเจ้าคะคุณหนู แค่ต้องการห้องส่วนตัวสักห้อง นอกจากจ่ายค่าน้ำชาอาหารแล้ว ยังต้องให้สินน้ำใจหลงจู๊อีก” เสี่ยวถงเอ่ยอย่างเสียดายเงิน คนฟังหัวเราะเบาๆ “สินน้ำใจมักมาพร้อมกับการอำนวยความสะดวก ชีวิตคนในเมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้” นั่งรออยู่ราวครึ่งเค่อคนที่หลานหลีเกอรอคอยก็มาถึง ฮัวจื่อเวยก้าวขาเข้ามาในห้องพร้อมกับเสี่ยวซานสาวใช้คนสนิท แวบแรกที่เห็นเสี่ยวซาน หลานหลีเกอก็ถึงกับนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง เพราะอีกฝ่ายยังคงเป็นเสี่ยวซานคนเดียวกับชาติก่อนไม่เปลี่ยน ทั้งกิริยาท่าทางและสีหน้า ล้วนเป็นเสี่ยวซานที่เคยอยู่ข้างกายนางเมื่อชาติที่แล้วอย่างแน่นอน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD