หลังจากหนิงอ๋องกับเจาอ๋องเอ่ยออกมาว่าพวกเขาต้องตาบุตรสาวคหบดีนามว่าฮัวจื่อเวย หลี่ไทเฮาก็เร่งเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับฮองเฮาและกุ้ยเฟยในทันที ซึ่งหลังจากที่ได้พูดคุยกันผู้มีอำนาจแห่งวังหลังทั้งสามก็ตกลงกันได้ว่า อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ไทเฮาจะจัดงานชมบุปผาขึ้นในอุทยานหลวงชั้นกลาง พร้อมส่งเทียบเชิญให้ฮูหยินตราตั้งทั้งหลายพร้อมบุตรสาวที่อยู่ในวัยออกเรือนมาร่วมงาน รวมทั้งตระกูลคหบดีที่มีหน้ามีตาในเมืองหลวงด้วย
หลี่ฮองเฮาคือผู้ที่คิดแผนการนี้ขึ้นมา ซึ่งนัยหนึ่งก็เพื่อดูตัวบุตรสาวคหบดีตระกูลฮัวที่ว่านั่น อีกนัยหนึ่งก็เพื่อเมียงมองหาสตรีคนอื่นไปเหมาะสมกว่าไปพลาง
ลำพังหากเป็นความต้องการของเจาอ๋องเพียงผู้เดียว ไหนเลยจะต้องวุ่นวายจัดการชมบุปผาขึ้นมาให้ต้องยุ่งยากเช่นนี้ ทว่านี่กลับเป็นหนิงอ๋องที่หมายตาสตรีนางนั้นร่วมกับผู้มีศักดิ์เป็นเชษฐาด้วย เรื่องราวทุกอย่างจึงไม่อาจปล่อยให้จบลงอย่างง่ายดาย
เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ทั้งหนิงอ๋องและเจาอ๋องต่างก็เป็นโอรสผู้มีสิทธิ์สืบทอดราชบัลลังก์ ทว่าพวกเขาทั้งสองกลับทำตัวเป็นตะเกียงไร้น้ำมันมาโดยตลอด ไม่ว่าใครก็ไม่แสดงอาการท่าทีว่าต้องการครอบครองบัลลังก์ และแม้ว่านั่นจะเป็นเรื่องที่ดี ทว่าก็ไม่น่าไว้วางใจเสียทีเดียว
กับเจาอ๋องนั้นหากเขาอยากแต่งบุตรสาวคหบดีเป็นชายาก็แล้วไปเถิด แต่กับหนิงอ๋องจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากชายาเอกของเขาเป็นเพียงบุตรสาวตระกูลพ่อค้า นั่นมิเท่ากับว่าเขาสูญเสียอำนาจและความมั่นคงในมือไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ?
ในความคิดของหลี่เจินจูผู้เป็นฮองเฮา เวลานี้แม้โอรสของนางจะครอบครองตำแหน่งรัชทายาทอยู่ก็จริง ทว่าด้วยความที่นางคลอดรัชทายาทออกมาก่อนกำหนด ทำให้เขากลายเป็นคนร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก และที่ย่ำแย่ไปกว่านั้นคือหมอหลวงบอกว่าเขาไม่อาจมีทายาทสืบทอดได้ ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ยังคงเป็นความลับ ไม่แน่ว่าต่อไปโอรสของนางอาจจะต้องเอาเด็กคนอื่นมาสืบทอดตำแหน่งแทน
ซึ่งถ้าหากต้องเป็นเช่นนั้น ลูกของหนิงอ๋องที่เกิดจากชายาเอกที่มาจากตระกูลขุนนางจึงจะเหมาะสมที่สุด
และด้วยความที่หลี่ฮองเฮาเป็นนายแห่งวังหลัง อีกทั้งยังเป็นคนที่ต้องการผลประโยชน์จากหนิงอ๋องในภาคหน้า แน่นอนว่าหลี่ฮองเฮาย่อมไม่อาจปล่อยให้หนิงอ๋องได้ตบแต่งหญิงสาวจากตระกูลพ่อค้าเป็นชายาเอกได้
หากจะไล่เลียงหาลำดับเครือญาติ หลี่ฮองเฮานั้นถือเป็นหลานอาของหลี่ไทเฮา ส่วนหลิวกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาของหนิงอ๋องโจวเฟิงซีนั้นเป็นหลานน้า เป็นญาติฝั่งมารดาของหลี่ไทเฮา
สาเหตุที่หลี่ไทเฮาจำต้องให้หลานสาวฝั่งมารดาแต่งเข้ามาเป็นสนมอีกคนของฮ่องเต้ ก็ด้วยเพราะพระนางนั้นต้องการรักษาไว้ซึ่งอำนาจในมือ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นคนที่พระนางเลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกก็จริง ทว่ามีหรือที่พระนางจะมีพระคุณสู้มารดาผู้อุ้มท้องได้
ดังนั้นแล้วเพื่อเป็นการปกป้องตนเอง หลี่ไทเฮาจึงทำทุกอย่างวิถีทางเพื่อให้หลานสาวของตนทั้งสองคนได้เป็นใหญ่วังหลัง คนหนึ่งเป็นฮองเฮา คนหนึ่งเป็นกุ้ยเฟย ซึ่งทั้งหมดที่หลี่ไทเฮาทำลงไปนั้นไม่ใช่เพื่อรักษาอำนาจที่มีอยู่ของตนและตระกูลเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อเป็นการปกป้องชีวิตนับหลายร้อยของตระกูลหลี่กับตระกูลหลิว
เพราะถ้าหากไม่ทำเช่นนี้ เกรงว่าสองตระกูลนี้คงไร้ที่ยืนไปนานแล้ว...
อดีตฮ่องเต้นั้น ตอนที่พระองค์ยังทรงหนุ่มแน่น พระองค์ก็ทรงเห็นพระนางอยู่ในสายพระเนตร เห็นสองตระกูลเป็นขุนนางสำคัญในราชสำนักมาโดยตลอด
ทว่าพอพระทรงย่างก้าวเข้าวัยชรา นอกจากอดีตฮ่องเต้จะทรงสติฟั่นเฟือนแล้ว ยังทรงหูตามืดบอด ในวัยชรากลับหลงใหลสนมนางในรุ่นราวคราวลูกคราวหลาน ราชกิจนานาประการล้วนไม่แตะต้องนานหลายเดือน
สุดท้ายพระองค์ก็ถูกนางสนมชั้นต่ำยั่วยุ ให้เคลือบแคลงสงสัยในความภักดีของสองตระกูลที่คอยเกื้อหนุนบัลลังก์ ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมา หลี่ไทเฮาจึงได้เริ่มกระทำการหลายต่อหลายอย่าง เพื่อรักษาชีวิตและลมหายใจของสองตระกูล จวบจนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้ขึ้นครองราชย์ หลี่ไทเฮาจึงได้เก็บซ่อนอำนาจในมือของพระนางไว้
ทว่าคนรุ่นราวก่อนหน้านี้กลับรู้ดีว่า หลี่ไทเฮานั้นทรงเด็ดขาดและอำมหิตเพียงใด มิเช่นนั้นสนมชายารัชกาลก่อน จะหลงเหลืออยู่ในวังหลังเพียงแค่พระนางกับเฉาไท่เฟยผู้เป็นมารดาแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเท่านั้นหรือ?
“เฮ้อ!” หลานหลีเกอถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงเรื่องราวของคนในวังหลังที่นางรู้มาตั้งแต่ชาติที่แล้ว
ยามนี้เป็นเวลาบ่ายคล้อย ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงอ่อนแรงลง ลมเย็นหลายสายพัดผ่านมาต้องผิวกายของหญิงสาวอย่างประปราย ทว่าไหนเลยที่หลานหลีเกอจะมีเวลามาดื่มด่ำกับบรรยากาศอันสุดแสนพิเศษนี้ ด้วยเพราะสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าของนางในเวลานี้ เป็นสิ่งที่ทำให้บรรยากาศดีๆ รอบกายนางนั้นจืดชืดไปเสียหมด
เทียบเชิญจากวังหลวง...
หลานหลีเกอถอนหายใจออกมาอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าครั้งก่อนหน้ามาก ซึ่งหากว่ามีผู้ใดอยู่ใกล้ๆ นางในเวลานี้ คงต้องได้ยินเสียงถอนหายใจของนางเป็นแน่
สาเหตุที่นางนั่งถอนหายใจอยู่ในศาลากลางน้ำเวลานี้ก็เพราะว่าหลังจากที่นางได้เห็นเทียบเชิญจากวังหลวง ก็ทำให้นางอดที่จะคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อชาติที่แล้วไม่ได้
การเป็นชายาเอกของอ๋องผู้หนึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด...
ด้วยเพราะชาติที่แล้วนางเป็นเพียงบุตรสาวตระกูลคหบดี ไหนเลยจะเป็นที่ชื่นชอบของแม่สามีได้โดยง่าย ต่อหน้าเจาอ๋องผู้เป็นโอรส เกาเสียนเฟยนั้นเสแสร้งแกล้งเป็นแม่สามีที่ดีปานใด มีเพียงแค่นางในชาติที่แล้วเท่านั้นที่รู้
แล้วก็ไม่ใช่เพียงแค่เกาเสียนเฟยเท่านั้น เพราะบุปผางามในวังหลวงก็ล้วนแล้วแต่เป็นเช่นนั้นหมด...เป็นผกาอาบยาพิษ ที่แม้แต่เหล่าผกาด้วยกันเองยังฆ่าแกงทำร้ายได้
หลี่ไทเฮานิสัยใจคอเป็นอย่างไร หน้าเนื้อใจเสือแค่ไหนนางเองก็รู้
หลี่ฮองเฮาเห็นแก่ตัวและเข้าข้างพวกพ้องตนเองอย่างไร ข้อนี้นางเองก็รู้
หลิวกุ้ยเฟยต่อหน้าอ่อนหวานใจดี มือซ้ายมอบดอกไม้มือขวาถือกระบี่ หน้าไหว้หลังหลอกเพียงใดนางเองก็รู้ดีอีกเช่นกัน
และสุดท้ายเกาเสียนเฟย...มารดาของเจาอ๋องผู้นี้ก็มิใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน เพราะเบื้องหลังการฆ่าพี่ชายเพื่อแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทของเจาอ๋องนั้น ก็คือเกาเสียนเฟยผู้นี้
แล้วเหตุใดนางจึงต้องประสบพบเจอกับคนเหล่านั้นอีกครั้งด้วย?
จริงอยู่ที่ว่านางนั้นยังโกรธเคืองและคับแค้นโจวซีเฉินกับโจวเฟิงซีอยู่ไม่เสื่อมคลาย และถ้าภายหน้ามีโอกาส แน่นอนว่านางต้องหาทางแก้แค้นเอาคืนบุรุษชั่วช้าสองคนนั้น ทว่ากับมารดาและญาติๆ ของพวกเขา นางนั้นล้วนไม่ใส่ใจและไม่เคยคิดจะใส่ใจ
หลี่ไทเฮากับหลิวกุ้ยเฟยดูถูกดูแคลนนางสารพัดก็จริง ซ้ำหลี่ฮองเฮาก็ยังคอยถากถางค่อนแคะไม่หยุด เกาเสียนเฟยที่อับอายเพราะถูกคนอื่นดูถูกที่ได้สะใภ้มาจากตระกูลคหบดีก็มาลงไม้ลงมือกับนาง ซึ่งความโกรธแค้นและไม่พอใจทั้งหมดนั้น นางได้โยนใส่หัวของโจวซีเฉินผู้เป็นอดีตสามีไปเรียบร้อย
เพราะถ้าไม่ใช่เขาที่ต้องการตบแต่งนางเป็นชายา ชีวิตบุตรสาวคหบดีผู้ร่ำรวยอย่างนางมีหรือจะต้องพบเจอกับความอับอายและอดสูปานนั้น
และแน่นอนว่าความผิดนี้ฮัวหยุนเซี่ยผู้เป็นบิดาของนางในชาติที่แล้วจะต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย
ทว่าหลังจากที่นางเห็นผู้เป็นบิดาต้องตายตกอย่างน่าอนาถเมื่อชาติที่แล้ว ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็มาจากนาง หลานหลีเกอก็หักใจไม่อาจกล่าวโทษบิดาในอดีตชาติได้ลง เพราะถึงอย่างไรแล้ว คนผู้นั้นก็ทำไปเพราะต้องการให้บุตรสาวของตนเองได้ดี แม้ว่าจะทะเยอทะยานและไม่เจียมตนไปบ้างก็เถอะ
“เป็นสตรีงดงามที่ยังไม่ได้ออกเรือนแท้ๆ แต่ไฉนน้องพี่จึงได้ทำหน้าราวกับว่าบุตรสาวตัวน้อยถูกบุรุษทาบทามไปเป็นภรรยาตั้งแต่ยังเป็นเพียงเจ้าหัวผักกาดเช่นนี้เล่า?”
หลานหลีเกอฟังคำเปรียบเปรยของผู้พี่ชายแล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ...ทำหน้าเหมือนมารดาที่มีบุตรสาวตัวน้อยอะไรของเขากัน?
“พี่ใหญ่กลับมาถึงนานแล้วหรือเจ้าคะ?”
“สักพักแล้ว ว่าแต่เจ้าเป็นอะไร เห็นท่านแม่กับแม่นมเถาบอกว่าเจ้าเอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่ในศาลานี้ตั้งแต่หลังมื้อกลางวันแล้ว มีเรื่องใดไม่สบายใจรึ?” หลานจิ้นหลี่เอ่ยถามไถ่น้องสาวคนเดียวอย่างห่วงใย
“พี่ใหญ่ น้องไม่อยากไปงานชมบุปผา” หลานหลีเกอเอ่ยตอบพี่ชายเสียงเบา
งานเสแสร้งแสดงละครเช่นนั้นนางหาได้มีความอยากไปแม้สักนิด ไหนจะเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายอีก ทั้งยุ่งยากและสิ้นเปลืองเงินทองไปไม่น้อย แต่กลับเป็นงานที่ไม่ค่อยจะมีประโยชน์อันใดนัก
“งานชมบุปผา?” หลานจิ้นหลี่เอ่ยทวน ก่อนจะหลุบตาลงมองที่โต๊ะหินอ่อนตรงหน้า “ที่จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าน่ะหรือ?”
หลานหลีเกอพยักหน้ารับ คิดไว้ในใจแล้วว่าพี่ชายจะต้องรู้เรื่องนี้มาบ้าง เพราะถึงอย่างไรแล้วพี่ชายนางก็ทำงานอยู่ในรั้วในวัง ต่อให้ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงก็ต้องได้ยินผ่านหูผ่านตามาบ้าง
“เจ้าค่ะ”
“เกรงว่าจะไม่ได้ พี่ได้ข่าวมาว่างานนี้ไทเฮาเป็นผู้จัด หากเจ้าไม่ไป...จะไม่เป็นการหมิ่นพระเกียรติของพระนางหรอกหรือ?”
หลานหลีเกอหมดคำจะพูดต่อ อันที่จริงนางก็คิดไว้แล้วว่างานชมบุปผาครั้งนี้นางไม่อาจหาทางหลีกเลี่ยงบ่ายเบี่ยงได้ แต่ก็อยากโยนหินถามทางดูสักครั้ง เผื่อว่าผู้เป็นพี่ชายจะเป็นใจ
แต่ในเมื่อสุดท้ายนางไม่สามารถบ่ายเบี่ยงได้ ก็คงต้องไหลตามกระแสน้ำไป เพราะถึงอย่างไรพี่ชายนางก็เป็นถึงขุนนางขั้นสาม ไม่แน่ว่าหากนางไม่ไป พี่ชายนางอาจจะเดือดร้อนเอาได้
แม้ว่าในใจนางจะไม่อยากเจอเหล่านางมารบุปผาในวังหลวงแห่งนั้นมากแค่ไหนก็ตาม...