เถาลี่อิงยกยิ้ม สายตาทอดมองบุตรชายคนเล็กด้วยความเอ็นดู ปีนี่หลานเจี่ยเอ๋อร์อายุสิบสาม อีกไม่นานเขาก็จะกลายเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วจริงๆ
หลานหลีเกอมองน้องชายด้วยสายตาเอ็นดูและภูมิใจไม่ต่างไปจากผู้เป็นมารดา คำพูดของหลานเจี่ยเอ๋อร์ทำให้นางเผลอนึกถึงใครบางคนเมื่อชาติที่แล้วขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
วาจาบุรุษต้องหนักแน่นยิ่งกว่าหินผารึ?
คำกล่าวนี้ใช้กับสองพี่น้องแซ่โจวไม่ได้จริงๆ
เพราะคนหนึ่งก็ตลบตะแลงปลิ้นปล้อน อีกคนก็หน้าไหว้หลังหลอก ศักดิ์ศรีที่พวกเขามีสู้น้องชายในชาตินี้ของนางไม่ได้สักคน
ภายหลังมื้อเช้าหลานเหวินกับหลานเจี่ยเอ๋อร์ก็ออกจากจวนไปยังสำนักศึกษา เมื่อยืนส่งสองหนุ่มต่างวัยที่หน้าจวนเรียบร้อย เถาลี่อิงก็จูงมือบุตรสาวเดินไปยังสวนด้านข้าง จุดหมายคือศาลาหกเหลี่ยมหลังใหญ่ที่โอบล้อมด้วยแมกไม้นานาพันธุ์
เถาลี่อิงชื่นชอบดอกไม้ต้นไม้อย่างยิ่ง ทว่าความชอบนี้ของนางไม่ได้ถูกถ่ายทอดให้บุตรสาว สำหรับหลานหลีเกอ ดอกไม้ก็เป็นพืชชนิดหนึ่ง แม้จะมีดอกสีสันสวยงามแต่สำหรับนางแล้วดอกไม้กับต้นหญ้าล้วนไม่ต่างกัน
“บ่าวจะไปนำชากับของว่างมาให้นะเจ้าคะ” เสี่ยวถงเอ่ยแล้วหมุนกายจากไป
“วันนี้หลีเอ๋อร์ของแม่งดงามอย่างที่น้องชายเจ้าว่าจริงๆ” เถาลี่อิงลูบหัวบุตรสาวเบาๆ
หลานหลีเกอยกยิ้ม “ความงามของลูกล้วนได้มาจากท่านแม่”
“ปากหวานเหมือนน้องชายไม่มีผิด เจ้าสองคนพี่น้องนี่ช่างรู้จักเอาใจคนแก่” เถาลี่อิงหัวเราะอย่างมีความสุข
“อีกไม่นานเจ้าต้องเริ่มคิดเรื่องออกเรือน แม่อดกลุ้มใจไม่ได้จริงๆ”
“กลุ้มใจด้วยเหตุใดกันเจ้าคะ?”
“ฮูหยินกลุ้มใจเพราะนายท่านเอาแต่หวงคุณหนู นับตั้งอายุสิบสามสิบสี่ คุณหนูของนมก็ไม่ได้ออกจากจวนเลย แล้วอย่างนี้จะมีบุรุษใดมาหมั้นหมายเล่าเจ้าคะ?”
“หรือว่าแม่ควรส่งเจ้าไปอยู่กับพี่ชายเจ้าสักระยะดีหรือไม่?” เถาลี่อิงเอ่ยอย่างกังวล
เรื่องที่บิดาหวงบุตรสาวนั้นผู้เป็นภรรยาก็พอจะเข้าใจได้ ทว่าในฐานะมารดานางย่อมต้องเลือกสรรและหาหนทางที่ดีที่สุดให้กับบุตรสาว
ในชีวิตลูกผู้หญิง การแต่งงานนั้นสำคัญพอๆ กับลมหายใจ หากว่าบุรุษที่แต่งด้วยเป็นคนดีก็ถือว่าโชคดีไป แต่หากบุรุษผู้นั้นเลวร้าย ชีวิตของสตรีก็คงไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็น
นางโชคดีที่ได้พบบุรุษเฉกเช่นหลานเหวิน แต่บุตรสาวของนางเล่าจะพบเจอบุรุษเช่นใด?
“ท่านแม่อย่าได้กังวลจนเกินไป เวลานี้หลีเกอเพิ่งจะผ่านพ้นพิธีปักปิ่นมาเพียงวันเดียวเองนะเจ้าคะ...หรือว่าท่านแม่ไม่อยากให้ลูกอยู่ด้วยแล้ว จึงได้คิดหาทางผลักไสลูกไปเช่นนี้”
“ใช่ที่ใดกันเล่า แม่นั้นย่อมต้องอยากให้เจ้าอยู่ข้างกายแม่ แต่แม่เองก็เป็นห่วงอนาคตของเจ้าเช่นกัน”
สองแม่ลูกพูดคุยกันอยู่ภายในศาลาหกเหลี่ยมจนถึงเที่ยง โดยมีแม่นมเถาและเสี่ยวถงนั่งฟังและออกความเห็นขึ้นมาเป็นระยะๆ
สุดท้ายก่อนที่สองแม่ลูกจะแยกย้ายจึงได้ข้อสรุปว่า ผู้เป็นมารดาจะลองพูดคุยกับผู้เป็นสามีสักครั้ง เรื่องที่นางต้องการส่งบุตรสาวไปอยู่กับพี่ชายของนางในเมืองหลวง
หลานหลีเกอรับฟังความต้องการของมารดาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่แสดงอารมณ์ยินดียินร้าย เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีสักวันที่นางจะต้องเดินทางเข้าเมืองหลวง
ตกค่ำหลานเหวินกับเถาลี่อิงต่างนั่งทานมื้อเย็นด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มจนสองพี่น้องสังเกตได้ หลานเจี่ยเอ๋อร์คันปากอยากเล่าเรื่องที่ได้ยินมาวันนี้ให้ท่านแม่กับพี่สาวฟังเต็มแก่ แต่ติดตรงที่ผู้เป็นบิดาออกปากห้ามปรามไว้ ไม่อย่างนั้นเวลานี้พี่สาวของเขาก็คงรู้ไปแล้วตนเองกำลังจะได้ไปอยู่เมืองหลวง อีกทั้งกำลังจะเป็นสะใภ้ตระกูลแม่ทัพ
ด้วยเพราะวันนี้ที่สำนักศึกษา อยู่ๆ ก็มีชายชรารูปร่างหน้าตาดุดันผู้หนึ่งเข้ามาหาผู้เป็นบิดาของเขา และด้วยความเป็นห่วงว่าบิดาตนจะถูกผู้อื่นทำร้าย เพราะก่อนหน้านี้เคยมีผู้ปกครองของศิษย์บางคนมาหาเรื่องบิดาเขาถึงที่ ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่าสำนักศึกษาไร้ความสามารถ ไม่สามารถช่วยให้บุตรหลานของตนเองสอบบรรจุขุนนางได้
แต่แล้วจะให้ทำอย่างไร บุตรหลานของตนเองไม่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน พอไม่ประสบผลสำเร็จในการสอบ เช่นนี้แล้วจะสามารถกล่าวหาว่าสำนักศึกษาไม่ดีได้หรือ?
เป็นเช่นนั้นหลานเจี่ยเอ๋อร์จึงได้แอบฟังบิดากับชายชราหน้าตาดุดันผู้นั้นคุยกัน ทว่าสิ่งที่เขาได้ยินกลับทำให้เขาตกใจจนแทบลืมวิ่งหนี กระทั่งบิดาและชายชราผู้นั้นรู้ตัวว่าเขาแอบฟัง เป็นเหตุให้เขาถูกบิดาจับได้และถูกสั่งให้ปิดปากเงียบในที่สุด
เพราะชายชราท่าทางดุดันที่มาหาบิดาของเขานั้น แท้จริงแล้วคืออดีตแม่ทัพใหญ่ตระกูลเสิ่นที่ปลดเกษียณมาแล้วหลายปี...เสิ่นหยวน
“หลีเกอ...พ่อมีเรื่องจะบอกเจ้า”
หลานหลีเกอเงยหน้าขึ้นมอง “ท่านพ่อมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?”
หลานเหวินสูดลมหายใจเข้าปอด ริมฝีปากของชายวัยสี่สิบเจ็ดเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง ความจริงแล้วเขาไม่อยากบอกเรื่องนี้กับบุตรสาวเลย ทว่ากลับไม่มีทางอื่นให้เลือก
“มีคนมาขอหมั้นหมายเจ้า”
ได้ยินเพียงแค่นั้น ตะเกียบที่อยู่ในมือของเถาลี่อิงก็หลุดมือร่วงหล่นลงพื้นไปในทันที “ทะ...ท่านพี่ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ?”
“วันนี้ผู้เฒ่าตระกูลเสิ่น...เสิ่นหยวน มาทาบทามขอหมั้นหมายหลีเกอ ให้หลานชายคนรองของเขา เสิ่นจ้าน”
หลานหลีเกอรับฟังด้วยสีหน้านิ่งสนิท ทว่าผู้เป็นมารดานั้นกลับทำท่าคล้ายจะเป็นลม
“แล้วท่านพี่ตอบพวกเขาไปว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
“ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่บอกให้ทั้งสองฝ่ายหาโอกาสกินข้าวร่วมกันสักมื้อก่อน ส่วนเรื่องหมั้นหมาย...ข้าบอกพวกเขาไปว่าไม่จำเป็นต้องรีบ หลีเกอเพิ่งครบสิบห้าหนาวได้ยังไม่เต็มสองวัน ข้าบอกพวกเขาว่ายังอยากให้บุตรสาวอยู่ด้วยอีกสักระยะ”
คำตอบของบิดาฟังดูก็รู้ว่าเป็นการแบ่งรับแบ่งสู้ ตัวนางในชาติก่อนไม่รู้จักสกุลหลานที่นางมาเกิดใหม่ในชาตินี้ก็จริง ทว่ากับสกุลเสิ่นนั้นแตกต่าง
ด้วยเพราะตระกูลเสิ่นนั้นเป็นตระกูลแม่ทัพ หากนางจำไม่ผิด บุตรสาวตนโตของตระกูลเสิ่นนี้มีวาสนาได้แต่งให้กับอ๋องผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นพระโอรสองค์โตและกำเนิดจากมารดาที่เป็นถึงฮองเฮา ต่อมาอ๋องผู้นั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท ภายหลังจึงถูกอดีตสามีของนางในชาติก่อนใส่ร้าย และพยายามเอาชีวิตก่อนจะแย่งชิงเอาตำแหน่งรัชทายาทอันทรงเกียรตินั้นมาเป็นของตนเอง
แล้วเหตุใดชาตินี้คนตระกูลเสิ่นถึงได้อยากเกี่ยวดองกับตระกูลหลานเล่า?
หรือว่าชาติที่แล้วบุตรีตระกูลหลานก็แต่งให้กับตระกูลเสิ่นจริงๆ เพียงแต่นางไม่รู้?
หลานหลีเกอมีสีหน้าเคร่งเครียด ด้วยเพราะนางไม่รู้ความเป็นมาเป็นไปของตระกูลหลานในชาติที่แล้ว อีกทั้งเวลานี้นางไม่รู้สถานการณ์ในเมืองหลวง และไม่รู้ว่ายามนี้การแข่งขันชิงตำแหน่งรัชทายาทนั้นดำเนินไปถึงไหนแล้ว
ตามหลักการ...องค์ชายใหญ่ผู้ถือกำเนิดจากฮองเฮาสมควรที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ทว่าด้วยความที่องค์ชายใหญ่ผู้นี้ร่างกายไม่ค่อยสู้ดี เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ มาตั้งแต่เล็ก และแม้ว่าจะเกิดจากภรรยาเอก ทว่ากลับไม่เป็นที่ชอบใจของเหล่าขุนนางในราชสำนัก
แม่ทัพไม่แข็งแกร่งจะควบคุมดูแลทหารใต้อาณัติได้เช่นไร ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จึงลังเลที่จะแต่งตั้งองค์ชายใหญ่ให้เป็นรัชทายาทมาโดยตลอด แต่อีกนัยหนึ่งก็เพื่อปล่อยเวลาให้องค์ชายใหญ่ได้รักษาตัว เพื่อที่ว่าเขาจะได้แข็งแรงขึ้นในอนาคต
ด้วยเหตุผลนี้เอง ตระกูลเสิ่นจึงได้หลีกเลี่ยงการแต่งงานของบุตรหลานในตระกูลกับคนมีอำนาจ หรือว่าเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ด้วยกัน เพื่อลดความหวาดระแวงของฮ่องเต้ลง
หากเป็นตามที่นางคิด เวลานี้หลานสาวคนโตของตระกูลเสิ่นคงแต่งให้องค์ชายใหญ่เรียบร้อยแล้ว พระชายาขององค์ชายใหญ่มาจากตระกูลแม่ทัพ ยากนักที่ฮ่องเต้จะไม่หวาดระแวง กลัวว่าตนเองจะถูกแย่งยิงบัลลังก์หากว่าองค์ชายใหญ่มีอำนาจและคนหนุนหลังมากเกินไป
ดีอย่างที่องค์ชายใหญ่ผู้นั้นอ่อนแอ หาไม่แล้วฮ่องเต้คงนอนหลับไม่สนิทสักตื่นเลยแม้แต่คืนเดียว
ดังนั้น เพื่อลดความระแวงจากผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ สตรีคนต่อไปที่จะแต่งเข้าไปในตระกูลเสิ่น จึงต้องเป็นสตรีที่มาจากครอบครัวที่ไร้อำนาจในมือ
ทว่าผู้เฒ่าตระกูลเสิ่นนั้นลืมไปแล้วหรือไม่ ว่าเวลานี้พี่ชายของนางนั้นรั้งตำแหน่งรองเสนาบดีกรมยุติธรรมอยู่ แม้ตอนนี้เขาจะมีอำนาจในมือไม่มาก ไม่อาจสร้างคลื่นลมใดๆ ได้ ทว่าภายภาคหน้านั้นไม่มีผู้ใดรู้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นใช่หรือไม่?
หากเหตุการณ์ในชาตินี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากชาติที่แล้วและถ้านางจำไม่ผิด ต่อไปภายหน้าอีกสองหรือสามปี หลานจิ้นหลี่พี่ชายของนางจะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นเสนาบดีกรมยุติธรรม และเขา...ก็จะกลายเป็นขวางหนามที่สำคัญอีกหนึ่งชิ้นของอดีตสามีในชาติที่แล้วของนาง
“หมายความว่าพวกเราจะต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงหรือเจ้าคะ?”
เถาลี่อิงเอ่ยถาม หลานเหวินพยักหน้ารับ ก่อนที่ผู้เป็นบิดาจะมองไปที่ผู้เป็นบุตรสาว สายตามีความรู้สึกผิดเเฝงอยู่
ความจริงแล้วหลานเหวินหมายตาบัณฑิตผู้หนึ่งไว้ให้บุตรสาว แต่ก็จนใจด้วยว่าตนเองเป็นฝ่ายสตรีนั้นไม่อาจเอื้อนเอ่ยถึงการหมั้นหมายก่อน จนสุดท้ายตระกูลเสิ่นก็ก้าวขาเข้ามาเกี่ยวพันเอาเสียได้
หลานหลีเกอยกยิ้ม ด้วยเพราะนางอ่านความกังวลในสายตาของผู้เป็นบิดาออก
“ท่านพ่ออย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ ก็เพียงแค่กินข้าวร่วมกันมื้อหนึ่งมิใช่หรือเจ้าคะ? มีสิ่งใดให้ต้องกังวลใจถึงเพียงนี้กัน” .
“พี่สาวไม่อยากแต่งงานกับตระกูลเสิ่นหรือขอรับ?” หลานเจี่ยเอ๋อร์ที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยปากถาม
“พี่ไม่มีสิทธิ์เลือก แต่มีสิทธิ์ที่จะบ่ายเบี่ยงได้ เรื่องนี้ละเอียดอ่อนเกินไป ไม่อาจด่วนสรุปได้ในเร็ววัน” หลานหลีเกอตอบกลับน้องชายด้วยความระมัดระวัง
กับตระกูลเสิ่นนั้น ครอบครัวของนางไม่อาจตอบรับหรือปฏิเสธออกไปเต็มสิบส่วน ด้วยเพราะเส้นสายของพวกเขานั้นไม่อาจดูเบา หากทำการสิ่งใดผิดพลาดไป ผลร้ายอาจจะไปตกอยู่ที่พี่ใหญ่ของนางก็เป็นได้
เย็นวันนั้นทุกคนในครอบครัวทานมื้อเย็นกันอย่างฝืดคอ เถาลี่อิงแต่เดิมทีมีเรื่องจะคุยกับผู้เป็นสามีก็เก็บเรื่องนั้นกลืนลงท้องไป เพราะต่อให้นางไม่เอ่ยอะไร บุตรสาวของนางก็มีแววว่าจะได้เข้าไปในเมืองหลวงอยู่แล้ว
คืนนั้นเถาลี่อิงเขียนจดหมายส่งตรงถึงบุตรชาย หลานเหวินเห็นว่าภรรยาลงมือทำในสิ่งที่เขาคิดไว้ว่าจะทำพอดี จึงได้สั่งให้ภรรยาเกริ่นเรื่องที่มีคนมาสู่ขอน้องสาวของเขาให้หลานจิ้นหลี่ฟังด้วย รุ่งเช้าก็จัดแจงสั่งการให้พ่อบ้านหานไปส่งจดหมายให้บุตรชายทันที