“ช่างเถอะๆ ให้แล้วก็แล้วไป แต่ถ้าเดือนนี้คุณหนูรองน้ำหนักไม่ลด ก็คงเป็นเบี้ยหวัดของเจ้าที่จะถูกลดแทน”
เสี่ยวถงได้ยินอย่างนั้นแล้วก็แทบหลั่งน้ำตา
คุณหนูรองเจ้าขา...เอาขนมกลับคืนมาเถอะเจ้าค่ะ!
เมื่อได้จานขนมมาอยู่ในความครอบครอง หลานหลีเกอก็ตรงดิ่งมายังศาลาในสวนท้ายจวนในทันที
มือเล็กป้อมหยิบขนมเข้าปาก ก่อนจะเคี้ยวตุ่ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย เด็กน้อยรู้ดีว่าที่มารดาสั่งงดของหวานตนนั้น เป็นเพราะร่างกายที่อ้วนพีและเจ้าเนื้อของนาง เหตุเพราะบุตรสาวบ้านอื่นไม่มีใครตัวใหญ่เท่านางเลยสักคน
เด็กคนอื่นทั้งเนื้อทั้งตัวคงได้เพียงแค่ครึ่งเดียวของนางกระมัง?
แม่นมเถาบอกว่า ‘อันรูปร่างสตรีที่ดีนั้นไม่ควรอ้วนพี เพราะมันจะแลดูไม่งาม แล้วในภายภาคหน้าจะไม่มีผู้ใดตบแต่งเข้าจวน’
เด็กน้อยนึกถึงคำสอนของแม่นมเถาแล้วก็เบ้ปากใส่ชิ้นขนมในมือ เรื่องออกเรือนนั้นยังเหลือเวลาอีกยาวไกล แล้วเหตุใดนางจึงต้องเป็นกังวลกับอนาคตอันไกลด้วยเล่า?
เด็กน้อยวางขนมในมือลง นางไม่น่าคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้มากมายเลยจริงๆ
“เฮ้อ! เมื่อไหร่จะโตสักที” หลานหลีเกอเอ่ยขึ้นลอยๆ
ความจริงแล้วเด็กหญิงตัวน้อยรู้ความทุกอย่าง นางรู้ว่าบิดาอยากให้นางเก่งศาสตร์ศิลป์ในทุกด้าน ส่วนมารดาก็อยากให้นางเติบโตเป็นสตรีที่เพียบพร้อมดีงาม เพื่อที่วันข้างหน้าจะได้แต่งงานดีๆ
เมื่อตอนอายุสี่หนาว มีครั้งหนึ่งที่หลานหลีเกอป่วยหนัก นอนจับไข้อยู่บนเตียงราวครึ่งเดือน บิดามารดาร้อนใจจนอยู่ไม่สุข ด้วยเพราะหมอกี่คนๆ ก็มิอาจทำให้อาการป่วยของนางทุเลาลงจนหายดีได้
กระทั่งมีนักพรตพเนจรคนหนึ่งเดินทางผ่านมา เขามอบยาตำรับหนึ่งให้พ่อบ้านหาน พร้อมกับบอกให้ต้มยานั้นให้นางกินแล้วอาการที่เป็นอยู่จะดีขึ้น
ในตอนนั้นพ่อบ้านหานไม่กล้าเสี่ยง ด้วยเพราะไม่รู้ว่ายาที่นักพรตคนนั้นให้เป็นยาอะไร เขาจึงได้ให้ท่านหมอคนหนึ่งมาตรวจดูเทียบยานั้น แล้วก็พบว่าเป็นเพียงยาบำรุงร่างกายขนานหนึ่ง
เมื่อรู้ว่าเป็นยาบำรุงร่างกายก็ไม่มีผู้ใดสนใจยาห่อนั้น ด้วยในตอนนั้นทุกคนคิดว่าหลานหลีเกอที่เป็นไข้สูง ควรจะได้รับยาลดไข้อะไรทำนองนั้นเสียมากกว่ายาบำรุง
ทว่าผ่านไปหลายวันอาการป่วยของนางก็ไม่ดีขึ้น สุดท้ายหลานเหวินผู้เป็นบิดาจึงตัดสินใจลองเสี่ยงดู ในเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นยาบำรุง หากดื่มเข้าไปก็คงไม่มีผลร้ายแรงอะไร
แล้วผลก็เป็นอย่างที่หลานเหวินคาดคิด หลังจากดื่มยาบำรุงห่อนั้นไปได้สองวัน อาการจับไข้ของหลานหลีเกอก็ดีขึ้นอย่างน่าประหลาด
สุดท้ายทุกคนในจวนตระกูลหลานก็เชื่อว่า แท้ที่จริงแล้วนักพรตพเนจรผู้นั้นเป็นหมอเทวดา จึงได้แต่กล่าวขอบคุณไปตามสายลมแสงแดด เนื่องด้วยนักพรตผู้นั้นไม่ได้รั้งอยู่ที่เมืองอันหลางแล้ว แม้จะส่งคนออกตามหาอยู่หลายวันก็ไม่พบแม้แต่เงา
แม้หลานหลีเกอจะรอดพ้นจากความตายเพราะป่วยหนักมาได้อย่างหวุดหวิด ทว่าสิ่งที่ผิดแปลกไปในตัวของเด็กหญิงตัวน้อยกลับเป็นนิสัยใจคอ ที่ดูเหมือนจะแก่แดดเกินกว่าวัยไปมาก
และแม้จะมีอายุเพียงสี่หนาว ทว่ากิริยามารยาท หรือแม้แต่คำพูดในบางครั้งของนางกลับคล้ายเด็กโตคนหนึ่ง
หลานหลีเกอในวัยสี่หนาวรู้ว่าผักชนิดใดที่กินเข้าไปแล้วเป็นประโยชน์ แล้วยังรู้อีกว่าผักชนิดใดที่กินเข้าไปแล้วจะให้โทษมากกว่าให้คุณ
เด็กน้อยรู้ว่าดอกโบตั๋นจะเบ่งบานยามใด รู้ว่าดอกเหมยที่ตนชอบจะเบ่งบานตอนไหน รู้ว่าฤดูกาลใดที่ชาวบ้านจะต้องปลูกข้าว และรู้ว่าหากอยากได้เงินนั้นจะต้องทำงาน
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่หลานหลีเกอรู้นั้น ยังไม่มีผู้ใดเอ่ยปากบอกหรือสั่งสอนนางเลยสักคน
ทุกคนคิดว่าเด็กหญิงตัวน้อยมีอาการฟั่นเฟือนเพราะป่วยหนัก กระทั่งความทรงจำของนางเกิดความสับสน จึงได้พูดจาเลอะเลือนออกมามากมาย
ทว่าผ่านมาหนึ่งปีแล้วทุกคนในจวนก็ยังคิดเช่นนั้นอยู่ คิดว่าหลานหลีเกอเป็นพวกสติเลอะเลือน และชอบมีพฤติกรรมแปลกๆ ที่เกินกว่าวัยของตนเอง
แต่ความจริงกลับไม่เป็นอย่างที่คิด หลานหลีเกอรู้ดีว่าตนเองนั้นไม่ได้สติเลอะเลือน แต่เป็นคนที่มีความทรงจำมากเกินความจำเป็นต่างหาก
อย่างเช่นว่าหากบิดาให้นางดีดพิณ ความทรงจำในสมองของนางก็จะฉายภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังดีดพิณขึ้นมาให้นางเห็นในทันที
หรือเมื่อใดที่มารดาต้องการให้นางเย็บปัก นางก็จะเห็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังปักผ้าขึ้นมาในทันที
และทุกครั้งที่นางได้เห็นภาพเหตุการณ์เหล่านั้น เด็กหญิงตัวน้อยก็จะมีความรู้สึกเหมือนว่า นางได้ผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาแล้วหลายต่อครั้ง
ความรู้สึกคุ้นเคยและการกระทำที่คุ้นชิน จะเกิดขึ้นกับนางในทันทีเมื่อมีภาพเหล่านั้นแล่นเข้ามาในสมองน้อยๆ ของนาง
แล้วสิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ผลักดันให้เด็กน้อยรู้จักที่จะหลีกเลี่ยง
นางไม่ได้นึกกลัวภาพที่ตนเองเห็น ไม่ได้คิดว่าตนเองถูกผีสางหรือสิ่งชั่วร้ายครอบงำ
เด็กหญิงรู้สึกเพียงแค่ว่า สิ่งเหล่านั้นคล้ายกับเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของนาง ความรู้สึกลึกๆ บอกนางเช่นนั้นจริงๆ
และเมื่อนางไม่ต้องการจะเห็นภาพเหตุการณ์เหล่านั้น หลานหลีเกอก็แก้ปัญหาด้วยการไม่ลงมือทำอันใดเลย
มารดาอยากให้นางเรียนปักผ้าหรือ?
นางก็หลับตาปักผ้าแล้วทิ่มเข็มแทงนิ้วตนเองเสีย
บิดาอยากให้วาดรูป ร่ายกาพย์กลอน?
นางก็หลับตาตวัดพู่กันจนได้ไส้เดือนดินมากองหนึ่ง แล้วเขียนกลอนที่มีแต่คำว่าไส้เดือนลงไป
เมื่อทำในสิ่งที่ไม่เคยทำลงไปก็จะไม่มีภาพเหตุการณ์ใดๆ โผล่เข้ามาในหัวของนางอีก
ความจริงแล้วนางควรจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับนางนี้ให้บิดามารดาหรือแม้แต่พี่ใหญ่ของนาง หลานจิ้นหลี่ฟัง แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กัน เมื่อเล่าให้ฟังแล้วพวกเขาจะไม่คิดว่านางเลอะเลือนหรอกหรือ?
ท่านหมอคนหนึ่งเคยกล่าวว่าการเป็นไข้หนักๆ นี้ สามารถทำให้คนคนหนึ่งลืมสิ้นซึ่งความทรงจำเกี่ยวกับตนเองและคนใกล้ตัวได้ ซึ่งคนในจวนตระกูลหลานเกือบทุกคน คิดว่านางเองก็คงจะเป็นเช่นนั้น หลังจากที่ป่วยหนักเพราะพิษไข้มานานร่วมเดือน
ซึ่งการถูกมองว่าเป็นคนสิ้นความทรงจำ สำหรับหลานหลีเกอแล้ว มันแย่เสียยิ่งกว่าการถูกมองว่าเป็นคนเกียจคร้านเป็นไหนๆ
“เฮ้อ! ถ้าโตไปแล้ว ภาพจำเหล่านั้นมันจะเลือนหายไปบ้างหรือไม่นะ?”
เด็กน้อยเอามือสองข้างเท้าคาง ใบหน้ากลมๆ ดูเคร่งเครียดราวกับกำลังคิดหาทางแก้ปัญหาภัยพิบัติ
“ขนมไม่อร่อยรึ! ไยน้องสาวข้าถึงได้ทำหน้าตาบูดบึ้งเช่นนี้”
เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง หลานหลีเกอหันขวับไปมองก็พบว่าใครคนนั้นคือพี่ใหญ่ของตนหลานจิ้นหลี่
“พี่ใหญ่!”
หลานหลีเกอเอ่ยอย่างตกใจ อยากจะหยิบเอาจานขนมไปซ่อนไว้ก็เกรงว่าจะไม่ทันการเสียแล้ว เพราะถูกพี่ชายเห็นแล้วนั่นเอง
พี่ใหญ่จะฟ้องท่านแม่หรือไม่นะ? ที่เห็นว่านางแอบเอาขนมมากิน
“หลีเอ๋อร์ทำอันใดอยู่หรือ?” พี่ชายในวัยหนุ่มน้อยเอ่ยถามน้องสาวตัวเล็ก ทว่าอ้วนท้วนด้วยความเอ็นดู
“ข้า...ข้า”
“ขนมไม่อร่อย หรือว่ามันน้อยไปจนเจ้ากินไม่อิ่ม?” คนเป็นพี่ว่ายิ้มๆ พร้อมกับเหล่ตามองขนมในจาน
“หลีเกอคิดว่ามันอร่อยดีเจ้าค่ะ แต่กินไปแล้วกลับรู้สึกผิดต่อท่านแม่ยิ่งนัก หลีเอ๋อร์จึงไม่กล้ากินต่อ”
เด็กน้อยเอ่ยตอบพี่ชายเสียงหงอย ราวกับว่าตนเองเป็นลูกสุนัขตัวน้อยที่กำลังถูกสุนัขตัวใหญ่รังแก และกำลังเรียกร้องความเป็นธรรมจากเด็กหนุ่มผู้มีจิตใจดีและโอบอ้อมอารีเช่นเขา
“ที่แท้แม่ดอกหลีฮวาดอกน้อยของพี่ก็เป็นคนมีจิตสำนึกดีเช่นนี้เอง”
หลานจิ้นหลี่เอ่ยชมน้องสาว โดยที่เขาหารู้ไม่ว่า หากเขาเดินเข้ามาในสวนช้ากว่านี้สักราวครึ่งเค่อ ไม่มีทางที่เขาจะเห็นขนมสามสี่ชิ้นนี้วางอยู่ในจานเป็นแน่
“มีจิตสำนึกดีแล้วเช่นไรเจ้าคะ เย็นนี้หลีเอ๋อร์คงได้กินข้าวเพียงแค่ครึ่งถ้วยแน่” เด็กน้อยเอ่ยบอกอย่างเจ็บปวด
วันใดที่มารดารู้ว่านางแอบกินขนมในเวลาใกล้มื้อเย็นเช่นนี้ วันนั้นนางก็จะได้รับข้าวเพียงครึ่งถ้วย พร้อมกับกับข้าวที่เต็มไปด้วยผักเสียเป็นส่วนใหญ่ จะดีหน่อยก็ตรงที่นางได้กินขนมไปก่อนหน้านั้น แม้จะไม่อิ่มข้าว ทว่าก็จะไม่ทำให้รู้สึกหิวในเวลาก่อนเข้านอน
แต่ในเวลานี้นางกลับกำลังจะได้กินข้าวเพียงครึ่งถ้วย ทั้งยังไม่ได้กินขนมพวกนั้นจนหมดเพราะว่าพี่ชายเดินมาเจอเสียก่อน
ไม่ได้ๆ นางจะปล่อยให้ตนเองนอนท้องร้องในคืนนี้ไม่ได้!
“ใครว่าวันนี้เจ้าจะได้กินข้าวเพียงครึ่งถ้วยเล่า”
เด็กน้อยเอียงคอมองหน้าพี่ชาย “ก็ท่านแม่อย่างไรเล่าเจ้าคะ ท่านแม่มักจะให้หลีเอ๋อร์กินข้าวเพียงแค่ครึ่งถ้วย หากวันใดที่หลีเอ๋อร์แอบกินขนมก่อนมื้อเย็น ท่านแม่บอกว่าหลีเอ๋อร์ตัวใหญ่เกินไป”
“ตัวใหญ่ที่ใดกัน ตัวเท่าลูกหมาเช่นเจ้าพี่อุ้มมือเดียวได้สบาย” ว่าแล้วหลานจิ้นหลี่ก็ยื่นมือไปอุ้มน้องสาวตัวน้อยด้วยมือข้างเดียวดังปากว่า แล้วพานางเดินออกมาจากสวนท้ายจวน
“พี่ใหญ่ แล้ววันนี้หลีเอ๋อร์จะได้กินข้าวกี่ถ้วยเจ้าคะ?”
คนเป็นพี่หัวเราะ “เจ้าอยากกินกี่ถ้วยก็ตามใจเจ้าเถิด ยาจกน้อย”
“แล้วท่านแม่จะไม่ว่าหลีเอ๋อร์หรือเจ้าคะ ยังมีแม่นมเถาอีก”
“ไม่ว่าหรอก พี่ชายเป็นคนให้เจ้ากินได้ตามใจ ใครจะกล้าว่าอะไรเจ้าได้”
ด้วยเพราะเป็นบุตรชายคนโต แน่นอนว่าเขาคือผู้นำตระกูลหลานในรุ่นต่อไป อีกทั้งในยามนี้เขาก็มีอายุสิบห้าหนาวแล้ว นับเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งได้อย่างไม่ขัดเขิน และถ้าหากเขาจะให้น้องสาวเขากินข้าวให้มากหน่อย เรื่องแค่นี้จะเป็นอะไรกันนักเชียว
หลานจิ้นหลี่รู้ว่าที่มารดาให้น้องสาวลดการกินอาหารลง ก็เพราะมารดากลัวว่านางจะเติบโตไปเป็นสตรีอวบอ้วนเจ้าเนื้อแล้วจะไม่ต้องตาบุรุษ เนื่องด้วยมารดาของพวกเขานั้นรักสวยรักงามเป็นอย่างยิ่ง และในเมื่อมารดามีหลานหลีเกอเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว มารดาจึงต้องเป็นห่วงนางในแบบของสตรีเป็นเรื่องธรรมดา
และยิ่งเห็นว่าบุตรสาวตัวน้อยของตนนั้นนับวันจะยิ่งอ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นเกินพอดี กฎห้ามหลานหลีเกอกินของหวานจึงได้ผุดขึ้นมา
ทว่าเขากลับเป็นพี่ชายที่ห่วงใยน้องสาวยิ่งนัก เห็นนางกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยแล้วมีดูมีความสุข ตัวเขาเองก็รู้สึกมีความสุขตาม
ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน เมื่อมีโอกาสไขว่คว้าความสุขเอาไว้ เราก็ควรจะทำเช่นนั้นมิใช่หรือ?
“จริงหรือเจ้าคะ! พี่ใหญ่ให้หลีเอ๋อร์กินข้าวได้หลายๆ ถ้วยจริงหรือเจ้าคะ?”
“จริงสิ พี่จะโกหกเจ้าไปไย”
“พี่ใหญ่ดีที่สุด! หลีเกอรักพี่ใหญ่เจ้าค่ะ” เด็กตะกละยกแขนป้อมๆ ขึ้นกอดคอพี่ชายด้วยความดีใจ
หลานจิ้นหลี่มองน้องสาวตัวน้อยของตนเองยิ้มๆ ชีวิตในวัยเด็กก็มีเพียงเท่านี้ ขอเพียงแค่ได้กินอะไรอร่อยๆ ได้เล่นอะไรอย่างที่อยากเล่นก็นับว่าเป็นความสุขอย่างมากมายแล้ว
ว่าแต่เหตุใดเขาจึงได้รู้สึกว่าเรือนใหญ่อยู่ไกลถึงเพียงนี้นะ ทั้งๆ ที่เดินออกมาไกลจากสวนท้ายจวนมากแล้ว...
ความคิดเหล่านั้นผุดขึ้นมาในสมองทันทีที่หลานจิ้นหลี่รู้สึกว่าตนเองรู้สึกชาที่แขนขวา แขนข้างที่เขากำลังอุ้มน้องสาวตัวน้อยอยู่
ถอนคำพูดว่าเขาสามารถอุ้มนางได้สบายๆ ตอนนี้ทันหรือไม่นะ?
แล้วไหนจะคำพูดที่ว่าจะให้นางกินอาหารเยอะเท่าไหร่ก็ได้ตามใจอีก?