เสียงโวยวายดังขึ้นลั่นบ้าน คุณหนูที่มีแต่คนตามใจตลอดบัดนี้ได้ถูกผู้เป็นพ่อแม่ออกคำสั่งให้แต่งงานกับผู้ชายที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน ชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบตอนนี้มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว
"ทำไมจะต้องแต่งงานด้วยคะ มันมีวิธีตั้งมากมายที่จะได้ผลประโยชน์ร่วมกันโดยที่ไม่ต้องแต่งงาน ถ้าคุณพ่ออยากจะได้บริษัทมากนักก็ขอซื้อหุ้นทั้งหมดสิ"
หญิงสาวเสนอความคิดเห็นในสิ่งที่เธอคิดว่าควรทำที่สุด ผู้เป็นพ่อขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะเริ่มอธิบายในสิ่งที่ลูกต้องรู้
"มันไม่ใช่ว่าอยากได้แล้วใครจะยอมขายง่ายๆ บริษัทนี้เราร่วมลงทุนกับครอบครัวของคุณลุงจ๊อดเมื่อสองปีก่อน เราแค่อยากทำกันสนุกแต่ไม่คิดว่าปัจจุบันนี้กำไรจะมหาศาล และอนาคตมันไปได้อีกไกล เราสองครอบครัวได้ลองคุยกันแล้วว่าทำไมเราจะต้องนำเงินที่หามาได้จากน้ำพักน้ำแรงของสองครอบครัวไปให้คนอื่นร่วมใช้"
"แล้วมันยังไงคะ"
แจนเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ กำไรร้อยล้านก็แบ่งครึ่งกันไปสิ ใครอยากจะเอาไปทำอะไรก็เอาไปไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย
"คืออย่างงี้นะคะคุณลูกขา ฟังแม่นะ เราสองคนเห็นว่าตาเจมส์เหมาะสมกับลูกสาวแม่ในทุกๆด้าน เขาเป็นผู้ชายที่หล่อ รวย และทำงานเก่งมาก สองปีมานี้เขาช่วยบริหารจนบริษัทที่ลงทุนใหม่ได้กำไรทะลุ50% แถมเขายังมีบริษัทสื่อโฆษณาเป็นของตัวเองด้วย ผู้ชายแบบนี้เหมาะสมที่จะมาดูแลลูกสาวของแม่ได้"
แจนหลุดขำออกมาเล็กน้อย ทำไมจะต้องมีใครมาดูแลเธอด้วย เรียนจบเมืองนอกเมืองนามาตั้งสี่ปี เกียรตินิยมอันดับหนึ่งไม่ได้มาเพราะโชคช่วยหรอกนะ เธอสามารถเรียนรู้และบริหารช่วยครอบครัวได้สบายมากอยู่แล้ว ทำไมต้องหาคนมาดูแลเธออีก
"คุณพ่อคะ คุณแม่คะ หนูเรียนจบบริหารมาโดยตรงความสามารถก็ไม่ได้เป็นรองใคร ทำไมถึงคิดว่าหนูต้องง้อผู้ชายด้วยคะ"
"มันไม่ใช่แบบเลยลูก พ่อรู้ว่าหนูเก่งค่ะ แต่พี่เขามีประสบการณ์มากกว่าหนูมากและเขาสามารถดูแลธุรกิจของสองครอบครัวได้ดี ส่วนลูกสาวพ่อก็จะมีคนคอยแนะนำและเงินทุกบาททุกสตางค์มันจะเป็นของหนูไม่ไปไหนด้วย"
แจนถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ ความคิดของคนรวยสมัยโบราณเขาคิดกันแบบนี้เหรอ... คุณพ่อของเธอพยายามเกลี้ยกล่อมลูกสาว ใจจริงมันก็แค่ข้ออ้าง เขาอยากได้เจมส์เป็นลูกเขยแค่นั้นแหละ สองปีมานี้เขารู้เลยว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีความรับผิดชอบสูงมากและมีความคิดที่ฉลาด ลูกสาวของเขาควรจะได้คนดีๆแบบนี้มาเป็นคู่ชีวิต และเขาเชื่อว่าถ้าเด็กสองคนได้เรียนรู้กันและกัน จะรักกันได้ไม่ยากเลย
"ลองไปเจอพี่เขาก่อนนะลูก รับรองว่าหนูจะต้องชอบพี่เขามากแน่นอน"
แจนเบือนหน้าหนีไปอีกทางก่อนจะเบะปากมองบนอย่างเสียอารมณ์ อยากให้เจอเธอก็จะไปเจอรับรองว่าเจอครั้งเดียวรีบถอยแทบไม่ทันแน่นอน หึ!
ทางด้านของเจมส์ที่ตอนนี้กำลังคุยกับลูกค้าอยู่ในเล้าจ์แห่งหนึ่ง วิลลี่เรียกเด็กมานั่งรอบโต๊ะนัวเนียกันจนแทบไม่ได้คุยงาน
"คุณวิลลี่ครับ ตกลงว่าแบบนี้ดีมั้ยครับ"
เขาเอ่ยถามครั้งสุดท้าย วิลลี่ที่หอมแก้มสาวที่นั่งข้างกายเงยหน้าขึ้นมามองเขาก่อนจะพยักหน้าโอเค
"เอาแบบที่คุณเจมส์ว่าเลยครับ แล้วเอาสัญญามาด้วยรึเปล่าผมพร้อมเซ็นสัญญาเลย เพราะตอนนี้อยากไปต่อกับสาวๆที่อื่นละ"
เขาหันไปหาผู้ช่วยรีบเปิดแฟ้มเอกสารสัญญาพร้อมกับยื่นปากกาให้เขาเซ็น วิลลี่จรดปากกาเซ็นอย่างไม่คิดอะไรเพราะตอนนี้เขาอยากจะพาสาวๆขึ้นห้องแล้ว
"เรียบร้อยนะครับ ขอบคุณที่ไว้วางใจบริษัทของผมทำสื่อให้ ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับ ขอให้มีความสุขในค่ำคืนนี้นะครับ"
เจมส์รับเอกสารมาก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่โล่งใจ งานนี้รับเละแน่นอนเพราะเขาเงินถึงและงานมีตลอดทั้งปี
"ยินดีเช่นกันครับ ไม่รับน้องๆไปดูแลสักคนเหรอครับคุณเจมส์ สวยๆทั้งนั้นเลย"
"ไม่ดีกว่าครับเชิญคุณวิลลี่ดื่มด่ำกับความสุขที่น้องๆมอบให้เถอะ งั้นเราแยกกันตรงนี้นะครับ"
"ได้ครับ ยังไงไว้เจอกันที่บริษัทของคุณนะครับ"
"ได้เลยครับ"
เจมส์และผู้ช่วยของเขาที่ชื่อพอลเดินออกมาด้วยกันพร้อมรอยยิ้มกว้าง ตลอดทางเจมส์ผิวปากอย่างอารมณ์ดีไม่คิดว่าการคุยงานในสถานบันเทิงมันจะง่ายกว่ามานั่งคุยกันในห้องประชุมอีก
เมื่อมาถึงที่บ้านเขาก็เดินเข้ามาเจอครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งคุณพ่อคุณแม่เหมือนว่ากำลังรอเขาอยู่
"ยังไม่นอนกันเหรอครับ"
เจมส์เอ่ยถามอย่างสงสัยก่อนจะเดินไปตามเสียงเรียกของผู้เป็นแม่
"มานี่ก่อนลูกแม่มีเรื่องจะคุยด้วย"
"คุยอะไรครับ"
เจมส์เริ่มระแวงรอยยิ้มของผู้เป็นแม่ คุณหญิงดารินยิ้มมุมปากก่อนจะเอารูปถ่ายของเด็กสาวคนหนึ่งมาให้เขาดู
"คนนี้สวยมั้ย"
เจมส์มองรูปภาพใบนั้นก่อนจะพยักหน้า จะบอกว่าไม่สวยก็ไม่ได้เพราะผู้หญิงคนในรูปจัดว่าสวยในระดับพรีเมี่ยมเลย ปากนิดจมูกหน่อยสเป็คเขาเลยแหละ
"สวยดีครับ ใครอ่ะ"
เขาเริ่มมีความอยากรู้ขึ้นมานิดหน่อย หายากมากที่จะได้เจอผู้หญิงที่ไร้การเติมแต่งแต่มองยังไงก็ไม่น่าเบื่อ
"ลูกสาวเพื่อนพ่อเอง ลูกของอาบดินทร์ที่เป็นหุ้นส่วนบริษัทของเราไง"
เจมส์ร้องอ่อออกมาอย่างเข้าใจ เธอคือลูกสาวคนเดียวที่ตอนนี้รู้สึกว่าจะไปเรียนต่อเมืองนอก แต่เขาไม่เคยเห็นหรอกเพราะเพิ่งรู้จักอาบดินทร์เมื่อสองปีก่อนตอนร่วมธุรกิจกันเอง
"ครับ สวยดี"
"สเป็คเราแหละแม่รู้ อยากเจอน้องมั้ยเพิ่งกลับมาได้สักพักเองนะ"
เจมส์เท้าคางมองทั้งสองคนก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
"ไม่ต้องอ้อมค้อมครับว่ามาตรงๆเลย"
ทั้งสองคนท่านหันไปมองหน้ากันก่อนจะยิ้มออกมา ใจจริงไม่อยากจับคู่ให้เลยแต่เขาเห็นเด็กคนนี้ครั้งแรกก็ถูกใจในความน่ารัก ความทันเล่ห์เหลี่ยมของคน คำพูดคำจาบ่งบอกว่าฉลาดกว่าวัยเดียวกัน ซึ่งบอกตามตรงลูกชายของพวกเขาก็ร้ายไม่เบาน่าจะไล่ตามกันทันได้
"แม่คุยกับครอบครัวของหนูแจนแล้วว่า จะให้ลูกทั้งสองคนแต่งงานกัน ไหนๆธุรกิจของเราสองครอบครัวก็ไปได้ดี ถ้าลูกกับหนูแจนแต่งงานกันไปแล้วช่วยกันบริหารบริษัทเงินทองจะไปไหนเสียก็เป็นของลูกทั้งสองคนนั้นแหละ"
เจมส์เริ่มเข้าใจทุกอย่างแล้ว ตอนนี้คือเขากำลังโดนจับคลุมถุงชนใช่มั้ย...
"เอาตรงๆคือจะจับผมแต่งงาน"
"ไม่ได้จับแต่งงาน แต่แม่เชื่อว่าถ้าเราได้เจอน้องจะต้องชอบและอยากได้มาเป็นภรรยาแน่นอน"
เขามองหน้าพ่อกับแม่ก่อนจะเริ่มกุมขมับอย่างปวดหัว เขาพอรู้มาบ้างว่าพ่อกับแม่ของเขาสร้างบริษัทมากับเพื่อนแต่เล่นๆไม่ได้คิดอะไร แต่พอสองปีมานี้เขาได้เข้าไปดูแลและทำให้มันมีชื่อเสียงโด่งดังทำกำไรมหาศาล คาดว่าคงจะเสียดายในส่วนอีกครึ่ง และทางครอบครัวนั้นคงคิดแบบเดียวกัน จึงเสนอให้เขาและเด็กน้อยคนนั้นแต่งงานกัน ทุกอย่างของผู้ใหญ่มันคือผลประโยชน์ทั้งนั้น
'แล้วความรู้สึกของเขากับเด็กน้อยคนนั้นล่ะ.....'