“มิว เราเลิกกันเถอะ ภัทรว่าเราคงไปต่อกันไม่ได้แล้ว”
..
...
..เป็นเสียงของ ‘ณภัทร’ ผู้เป็นแฟนหนุ่มของฉัน
พวกเราคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย และเป็นเขาที่กำลังพูดกับฉัน เพียงแค่ประโยคนั้นประโยคเดียวมันก็ทำให้ฉันรู้สึกช็อกจนนิ่งค้างไป ในตอนที่สมองของฉันกำลังว่างเปล่า…
‘เรามาทำความรู้จักกันก่อนนะ’
สวัสดีค่ะทุกคน ฉันชื่อว่า ‘มิว’ อายุยี่สิบสามปี วันนี้เป็นวันจบการศึกษาแล้วก็เป็นวันรับปริญญาของฉันกับภัทร ซึ่งเป็นแฟนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน เมื่อสิบนาทีก่อนตอนที่ฉันกำลังจะแยกย้ายจากการถ่ายรูปหมู่กับเพื่อนที่คณะ ภัทรก็ส่งข้อความมือถือมาหา พวกเราจึงนัดเจอกันที่สวนหย่อมด้านหลังของคณะวิศวกรรม
ตอนนั้นฉันรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก คิดเพียงว่าเขาอาจจะขอฉันแต่งงานหรือเปล่านะ เพราะเราทั้งคู่ก็คบกันมาทั้งหมดสี่ปีแล้ว และฉันก็ฝันว่าอยากสร้างครอบครัวกับภัทรมากจึงทำให้อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ ในขณะที่มิวกำลังจมอยู่ในความคิด และยิ้มตื่นเต้นให้กับตัวเองอยู่นั้น หญิงสาวก็เหลือบมองไปเห็นแฟนหนุ่มกำลังนั่งรอเธออยู่บนเก้าอี้ใต้ต้นไม้ระหว่างทางไปสวนหย่อม
“ภัทร ทำไมถึงมารอเราอยู่ตรงนี้ล่ะ” มิวถามขึ้นและส่งยิ้มไปให้แฟนหนุ่ม
“ภัทรอยากจะบอกกับมิวว่า...” ณภัทรลุกยืนขึ้นและมองสบตามิวแล้วก็นิ่งเงียบไปสักพัก การกระทำนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี แต่เธอก็ยังทำใจดียิ้มสู้จึงถามเขาออกไปว่า
“มีอะไรหรือเปล่า ภัทรพูดมาเลย มิวพร้อมที่จะฟัง” มิวบอกและมองสบตาภัทรที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าตั้งใจ
ชั่วอึดใจเดียวหลังจากมิวพูดจบ ภัทรก็พูดขึ้นมาว่า
“เราเลิกกันเถอะ พวกเราคงไปต่อกันไม่ได้แล้ว” ชายหนุ่มพูดจบก็ก้มหน้าหลบสายตาหญิงสาวที่มองมาด้วยความตกใจ
‘ในขณะที่ได้ยินประโยคบอกเลิกนั้น สมองของฉันมันก็ว่างเปล่าพร้อมกับขอบตาที่ร้อนผ่าวขึ้น หัวใจมันเจ็บรู้สึกเหมือนจะขาดใจ’ มิวยืนนิ่งด้วยความรู้สึกช็อกและมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไร
...
..
“มิว...มิว” เสียงภัทรเรียกขึ้น แล้วเขาก็เข้ามาจับแขนของฉันไว้
“ว่าอะไรนะภัทร...มิวได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไหร่” ฉันรีบกะพริบตาพยายามตั้งสติแล้วถามกลับไปใหม่ด้วยรอยยิ้มที่ร่าเริง
“ภัทรจะบอกว่า จบงานรับปริญญาแล้ว ให้เรากลับพร้อมกันใช่ไหม” ฉันแสร้งเฉไฉพูดไปเรื่องอื่นแทนแล้วก็เอื้อมมือไปจับมือของภัทรเพื่อจะพาเขาออกไปจากสวนหย่อม
แต่ร่างสูงกลับดึงมือของฉันเอาไว้ก่อน
“มิวฟังภัทรนะ...พวกเราเลิกกันเถอะ” ภัทรรั้งมือของฉันเอาไว้และพูดประโยคที่เสียดแทงหัวใจขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ฉันที่ได้ยินประโยคนั้นชัดเจนตั้งแต่แรกอยู่แล้วแต่ก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้ จึงได้แต่แกล้งฟังผิดทำเป็นพูดไปเรื่องอื่นแทน และพอได้ยินประโยคบอกเลิกซ้ำอีกครั้ง มันเลยทำให้ฉันระเบิดอารมณ์ขึ้นมาด้วยความโกรธปนไม่เข้าใจ
“มิวไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเราต้องเลิกกันด้วย มิวทำอะไรผิด มิวผิดอะไร!” หญิงสาวร้องไห้ฟูมฟายจนดวงตาแดงก่ำ
ณภัทรเห็นอย่างนั้นก็เกิดอาการเจ็บปวดใจขึ้นมา แต่ก็เก็บสีหน้าทำเป็นเฉยเมยและพูดกับมิวต่อว่า
“ภัทรไม่ได้รักมิวแล้ว ขอโทษด้วย...มิวไม่ได้ทำอะไรผิดเลย มันผิดที่ภัทรเอง” ชายหนุ่มได้แต่หลุบนัยน์ตาก้มหน้าซ่อนความเศร้า
“มิวเข้าใจนะ” เขาพูดจบก็ดึงมือหญิงสาวที่จับแขนเอาไว้ออก
ในขณะที่ณภัทรกำลังจะเดินหันหลังจากไป แม้จะไม่ถึงสิบก้าวก็มีผู้หญิงคนใหม่เดินเข้ามากอดแขนของเขา แล้วผู้หญิงคนนั้นก็หันหน้ามายิ้มเยาะใส่ ซึ่งฉันจะไม่เจ็บปวดและตกใจเลย
ถ้าผู้หญิงคนนั้นมันไม่ใช่!...
“ไม่! ภัทรอย่าไป!”
แฮก ๆ ฉันที่หอบหายใจจากการตะโกนสุดเสียงในความฝันที่ดันหลุดละเมอออกมาในความจริง พร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลรินออกมาจากหางตา ‘ฝันร้ายอีกแล้ว…นี่มันผ่านมาจะครึ่งปีแล้วนะ แกยังไม่ลืมอีกหรือ’ มิวคิดในใจพลางลุกขึ้นนั่งพิงหลังกับหัวเตียงด้วยความเชื่องช้า
จากเหตุการณ์วันนั้นก็ผ่านมาได้ครึ่งปีแล้ว ซึ่งช่วงนี้เธอก็ยังเป็นโรคนอนไม่หลับแถมไม่เคยไปพบแพทย์เลยสักครั้งเดียว เมื่อครู่ร่างกายคงจะทนไม่ไหวเลยเผลอหลับไป ในทุกวันต้องกินยานอนหลับที่เริ่มจากการกินทีละเม็ดแล้วก็ค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นสองและสามเม็ดในที่สุด นี่คงเป็นผลข้างเคียงที่ทำให้ร่างกายดื้อยา
‘วันนี้ก็คงจะไม่พ้นที่จะต้องกินยานอนหลับอีกแล้วสินะ ถ้าฉันกินแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยก็คงจะดี อย่างไรชีวิตนี้ก็ไม่เหลือใครอีกแล้ว พ่อแม่ก็จากฉันไปตั้งแต่ยังเด็ก ส่วนพี่น้องก็ไม่มี และญาติก็นาน ๆ เจอกันทีเพราะทุกคนไปอยู่ต่างประเทศกันหมด’ ในขณะที่มิวคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย มือเล็กข้างหนึ่งที่มองดูหม่นหมองไม่สดใสก็ควานหากระปุกยานอนหลับที่ตกอยู่ข้างเตียง เธอเทยาออกมาจำนวนหนึ่งแล้วกรอกยาทั้งหมดใส่ปากพร้อมกับดื่มน้ำจากขวดน้ำตามไปอีกอึกใหญ่
“อย่าหาว่าฉันกำลังฆ่าตัวตายเลยนะ ฉันก็แค่นอนไม่หลับเลยต้องกินยามากหน่อยเท่านั้นเอง” หญิงสาวพูดปลอบใจตัวเองอย่างเหม่อลอยแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงที่รกไปด้วยผ้าห่มและหมอนที่ไม่ได้ซักมานานแรมเดือน จนในขณะที่ร่างเล็กกำลังจะเข้าสู่นิทรา เธอก็ได้ภาวนาขึ้นในใจ
‘หากชาติหน้ามีจริง ก็ขออย่าให้ประสบพบเจอเรื่องราวอย่างในชาตินี้เลย ฉันเกลียดผู้ชายทุกคนที่ไม่ซื่อสัตย์ และอยากมีหัวใจที่ไร้รัก อยากให้ผู้ชายพวกนั้นรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ฉันได้รับบ้างว่ามันรู้สึกยังไง!’ มิวพูดในใจอย่างเคียดแค้น ในขณะที่สติของเธอกำลังจะหลุดลอยออกไปก็มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว
‘เปรี้ยง! เปรี้ยง!’ เสียงฟ้าผ่าที่มาพร้อมกับพายุฝนลูกใหม่ที่พัดผ่านเข้าครอบคลุมประเทศไทย หลังจากเสียงฟ้าผ่านั้นเงียบลงก็มีฝนโปรยลงมาพร้อมกับสติของมิวที่ไม่รับรู้อะไรอีก มันจมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราตามฤทธิ์ของยานอนหลับ