ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าความสัมพันธ์ของเราจะลากยาวมาเกือบสามปี เผลอแป๊บเดียวฉันก็ใกล้จะจบมัธยมปลายแล้ว
สองสามปีมานี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับฉันทั้งเรื่องเรียนที่อ่านหนังสือจนงงไปหมดไหนจะเรื่องงานเขียนที่ถูกก๊อปเนื้อหาอีก รวมไปถึงนักวาดที่หายตัวไปติดต่อไม่ได้ทั้งที่จ่ายเงินครบแล้ว อยากจะบ้าตายค่ะ
“เป็นไรอะ” น้ำเสียงคุ้นหูเอ่ยก่อนจะนั่งลงตรงที่ว่างข้างฉัน
“เปล่าหรอก แค่รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย”
“นิดหน่อยอะไรเห็นอยู่ว่าแกกำลังคิดมาก ดูสิคิ้วจะผูกโบอยู่แล้ว ทะเลาะกับพี่กำปั้นเหรอหรือถูกก๊อปงานอีก?”
“ไม่ได้ทะเลาะแต่ติดต่อไม่ได้ โทรไปไม่รับตั้งแต่เช้าแล้ว” เหลือบดูนาฬิกาบ่ายกว่าแล้วค่ะ “ปกติเขาไม่เคยหายไปแบบนี้เลยนะ”
“เสียงเพลง ถ้าฉันพูดอะไรออกไปแกอย่าโกรธนะ”
“...”
“พี่เขาโตแล้ว สังคมเขามันกว้างกว่าพวกเราด้วยซ้ำวันวันหนึ่งเขาเจอผู้คนตั้งเท่าไหร่มันไม่แปลกหรอกถ้าสมมุติว่าเขาจะมีคนเข้าหาน่ะ”
“กำลังจะบอกว่าเขามีคนอื่นสินะ”
“ฉันเปล่า... ฉันแค่อยากให้แกเผื่อใจไว้บ้าง สถานะตอนนี้คืออะไรแฟนเหรอ? ก็ไม่ใช่”
“นั่นสินะ”
“ตั้งสองสามปีมันเลยช่วงเวลาของคำว่าคนคุยไปนานแล้ว ไม่เห็นมีอะไรชัดเจนสักอย่าง ไม่ใช่สิ! ที่ฉันพูดมันไม่ถูกต้องทั้งหมดเพราะพี่เขาชัดเจนว่ามีแก แต่มีแค่แกคนเดียวหรือเปล่าอันนี้ฉันไม่รู้” ฉันเข้าใจที่ซีรีนพูดนะคะและก็ไม่ได้โกรธด้วย ยอมรับว่าบางครั้งฉันก็คาดหวังกับสถานะที่เป็นอยู่ตอนนี้เหมือนกัน “เอางี้! โทรหาเพียงฝันสิเผื่อจะได้คำตอบ”
“เอาแบบนั้นเหรอ ฝันน่าจะเรียนอยู่มั้ง”
“เรียนอะไรยังออนไลน์อยู่เลย” ไม่พูดเปล่าซีรีนยังยื่นโทรศัพท์มือถือให้ฉันดูด้วยค่ะ ต้องบอกก่อนว่าเพียงฝันไปต่อสายอาชีพแถมยังทำงานควบคู่ไปอีกด้วย “ลองดู ถ้าแกไม่โทรฉันโทรเองนะ”
“ก็ได้ ๆ”
มองช่างใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วกดโทรออกไป แค่เพียงแป๊บเดียวปลายสายก็รับค่ะ
(ฝนจะแล้งไหมเธอโทรมาเนี่ย)
“เธอว่างคุยหรือเปล่า”
(ว่าง)
“คือว่าเราติดต่อพี่ปั้นไม่ได้น่ะ”
(เดี๋ยวลองโทรให้ รอแป๊บนะ) แล้วสายก็ถูกวางไปค่ะ ฉันคิดว่าเพียงฝันจะย้อนกลับมาซะอีกเพราะมันไม่ใช่ธุระอะไรของเธอ แต่ความเป็นจริงไม่ใช่เลยเพราะยังพูดไม่ทันจบเธอก็รู้แล้วว่าต้องทำอะไร
“ว่าไง”
“เขาบอกจะโทรให้น่ะ”
“ก็บอกแล้วว่าเพียงฝันช่วยได้แกนี่จริง ๆ เลย” ซีรีนถึงกับส่ายหน้าให้ค่ะ ฉันก็เกรงใจเป็นนะ แล้วอีกอย่างตามเขาแบบนั้นเขาจะมองฉันยังไง ราวสิบห้านาทีเพียงฝันก็โทรกลับมาค่ะ
(ไม่รับเหมือนกัน ไม่รู้ว่าลืมมือถือไว้ที่ห้องหรือเปล่า)
“อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ขอบใจนะที่เสียเวลาให้”
(เสียงเพลง) ปลายสายเอ่ยเรียกขณะที่ฉันกำลังจะกดวาง (ตอนนี้พี่ปั้นแปลกไปบ้างไหม)
“ไม่นะ ไปไหนมาไหนเขาบอกตลอดมีแค่วันนี้ที่หายเงียบไปเลย”
(อ่อ...)
“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมเธอถามแบบนั้น” เสียงหัวใจเต้นรัวเลยทีเดียวจะว่ากลัวคำตอบก็คงใช่ค่ะ ฉันไม่ควรลืมว่าเขาน่ะเสน่ห์แรง
(ห้างสรรพสินค้าชั้นล่างสุดแต่ไม่รู้นะว่าเขาไปกับใครถ้าเธออยากรู้คำตอบก็ไปดูเองแล้วกัน)
“อืม”
(อืมอะไรให้มันกล้า ๆ หน่อยอย่าไปกลัวคำตอบสิสิ่งที่เธอควรทำคือหาคำตอบไม่ใช่เหรอ จริงอยู่ที่เขาเป็นพี่ชายเราแต่เรื่องนี้เราก็ไม่ยุ่งหรอกนะเพราะฉะนั้นเธอต้องตามหาเอง แค่นี้แหละจะทำงานแล้ว)
แล้วสายก็ถูกวางไปพร้อมกับเสียงหัวใจของฉันที่กำลังเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ทั้งที่ไม่ได้เห็นกับตาตัวเองแต่ทำไมมันถึงรู้สึกขนาดนี้ล่ะ
“ไปไม่ไป?” เสียงของซีรีนทำฉันกลับมามีสติอีกครั้ง ไอ้ความรู้สึกแบบนี้ไม่ชอบเลยค่ะ รู้เลยว่าตัวเองทุ่มความรู้สึกไปไว้ที่เขาจนหมดแล้ว “แค่บอกมา...”
“ไม่ดีกว่า”
“เสียงเพลง!”
“ฉันไม่รู้จะไปดูอะไร ถ้าเขาอยากบอกเขาก็คงจะบอกเอง”
“เฮ้อ... แกนี่มันจริง ๆ เลยใครที่ไหนเขาจะมาบอกวะ”
ตลอดทั้งวันก็เอาแต่เก็บเรื่องนี้มาคิดจนเรียนแทบไม่รู้เรื่อง แต่อะไรก็ไม่รู้สึกเท่ากับภาพถ่ายที่กำลังเผยแพร่ในโซเชียลตอนนี้หรอก
“มานี่ฉันดูเอง” ซีรีนแย่งมือถือไปอย่างวิสาสะ จากนั้นก็ส่องเพื่อนเขาไปเรื่อย ๆ รวมไปถึงพี่เจ้าของโพสต์ก็ด้วย
ในรูปพวกเขาอยู่กันในร้านอาหารค่ะ ในโต๊ะรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมายและหนึ่งในนั้นก็คือพี่ปั้น แต่สิ่งที่ฉันสนใจคือคนที่นั่งข้างเขาต่างหาก จะไม่อะไรเลยถ้าเขาคนนั้นไม่ใช่คนเดียวกันกับที่เพิ่งกดฟอลโล่ฉันเมื่อวันก่อน
เร็วเท่าความคิดฉันจึงเข้าไปส่องหน้าโปรไฟล์ของเขาแล้วกดติดตามกลับ ปรากฏว่ามีสตอรี่ที่ถูกตั้งค่าไว้ส่วนตัวด้วยค่ะ แม้จะเห็นแค่เงาแต่ฉันก็จำได้ว่าเขาเป็นใคร
“...”
“พี่มิวช่วยได้”
“อย่า!”
“ให้ตายเถอะคนสวยของฉัน! รู้ขนาดนี้แล้วแกยังจะรออะไรอีก”
“รอเขาอธิบาย”
“เฮ้อ! ฉันโคตรจะเบื่อแกเลย”
ไม่ได้สนใจคำบ่นของซีรีนด้วยซ้ำ ที่สนใจอยู่ตอนนี้คือไทม์ไลน์ก่อน ๆ ที่โพสต์ต์ต่างหาก เขาอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันและคงจะเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันด้วย หลายรูปที่มีพี่ปั้นติดมาคล้ายว่าไม่ตั้งใจถ่ายแต่แปลกที่มักจะโผล่มาในรูปที่เธอตั้งใจถ่ายตัวเอง จะสื่อว่าอยู่ด้วยกันตลอดสินะ
เลิกเรียนฉันแยกกับซีรีนแล้วรอรถคนเดียวเงียบ ๆ ปกติพี่มิวจะมารับค่ะแต่พอเข้ามหาวิทยาลัยฉันจึงต้องกลับเองซึ่งมันก็ชินแล้วล่ะ
หมับ!
แขนข้างหนึ่งถูกรั้งอย่างถือวิสาสะ “เรียกไม่หันเลยนะเหม่ออะไรอยู่ครับ”
“...” บุคคลตรงหน้าก็คือคนที่ทำให้ฉันวิ่งวุ่นกับความคิดมากเกือบทั้งวันนั่นเอง “โทรไปไม่รับเลยนะคะ” ตอนแรกจะถามว่าไปไหนมาด้วยซ้ำแต่มันก็ดูละลาบละล้วงเกินไปหน่อยเลยเปลี่ยนคำถามแทน
“โทษทีพี่ลืมมือถือไว้ที่ห้องน่ะ”
“แล้วพี่เพิ่งเรียนเสร็จเหรอคะทำไมถึงมาทางนี้ได้” เขายังอยู่ในชุดนักศึกษาค่ะ จากหอมาที่นี่มันไม่ใกล้เลย
“พาเพื่อนมาทำธุระก็เลยแวะมารับด้วยครับ” ทุกคำพูดยังคงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มไม่ได้หลบตาหรือมีอะไรให้ผิดสังเกตเลยค่ะ “ไปส่งเพื่อนพี่ก่อนนะแล้วเดี๋ยวไปส่งเราทีหลัง” จบประโยคก็จูงมือฉันมาที่รถ ที่นั่งข้างคนขับมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วค่ะแต่ฉันจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไรเพราะเคยเห็นตอนที่วีดิโอคุยกันบ่อย พี่คนนี้ชอบเข้ามาป่วนประจำเลย
“ว้าว... ในที่สุดก็ได้เจอกันนะครับ” เขาว่ายิ้ม ๆ แล้วเอ่ยแนะนำตัวกับฉัน “พี่ชื่อดีนนะ ส่วนนั่นลูกหนูกับไอ้คิม” ประโยคหลังเขาหันไปแนะนำใครอีกสองคนที่มาด้วยค่ะ
“สวัสดีค่ะ” พลางยกมือไหว้และตอบกลับตามมารยาท
“มึงไปนั่งเบาะหลังครับไอ้ดีน”
“แหม! ทีแบบนี้ไล่กูเชียวนะ”
“เออ”
พี่ดีนบ่นพึมพำแต่ก็ยอมไปนั่งเบาะหลังแต่โดยดี
“หน้ามุ่ยอีกแล้ว” เขาว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะให้ฉันนั่งลงตรงที่ว่างข้างคนขับแล้วคาดเข็มขัดให้อย่างเช่นทุกครั้ง
“วาสนาขึ้นรถมาดูคนเขารักกันแท้ ๆ เลยกู”
“ฮ่า ๆ มึงกับกูมารักกันก็ได้นะ”
“เชี่ยคิมกูขนลุก”
“ฮ่า ๆ”
ตลอดเส้นทางฉันไม่ได้พูดอะไรแค่เพียงไถฟีดโซเชียลไปเรื่อยแก้เหงาเพราะไม่มีใครคุยกับฉันเลย แม้กระทั่งคนขับก็เอาแต่คุยกับคนที่อยู่ด้านหลัง เรื่องที่พวกเขาคุยกันก็เรื่องเรียนนั่นแหละค่ะ เกี่ยวกับโครงงานอะไรสักอย่างที่เป็นงานกลุ่ม
ครืด... ครืด...
“ค่ะ” เป็นพี่มิวค่ะที่โทรมาทำให้เสียงสนทนาเงียบลง
(วันนี้พ่อไม่กลับนะแล้วพี่ก็ไม่ได้กลับด้วย)
“ค่ะ”
(ค่ะอะไรทำไมเสียงไม่ค่อยดีเลย) ทุกความรู้สึกมันตีกันมั่วไปหมดจนอยากจะร้องไห้ออกมาแต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ (อยู่ไหน เป็นอะไรหรือเปล่า)
“ค่ะ”
(เดี๋ยวพี่ไปรับดีกว่า)
“พี่ปั้นมารับแล้ว”
(แล้วทำไมเสียงหงอยแบบนี้ ทะเลาะกันเหรอ)
“พี่ล่ะคะอยู่ไหน” เลี่ยงที่จะตอบแล้วเป็นฝ่ายตั้งคำถามออกไปแทน ขืนถูกจี้มาก ๆ น้ำตาต้องล่วงลงมาแน่นอน
(อยู่ห้องไอ้เคเนี่ยพอดีมีงานกลุ่มต้องรีบทำให้เสร็จ)
“ค่ะ ไว้เจอกันนะคะ”
(ครับ)
“ไอ้มิวเหรอ” คำพูดแรกถูกเอ่ยออกมาก็ตอนนี้แหละค่ะ
“ค่ะ แค่โทรมาบอกว่าไม่ได้กลับบ้านเท่านั้นเอง”
“แล้วพ่อล่ะ”
“เหมือนกัน”
“เลี้ยวซ้ายข้างหน้าก็ถึงแล้ว” พี่ลูกหนูพูดแทรกขึ้นพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างให้พี่ปั้น “จอดตรงนี้ก็พอถ้าเข้าไปมันกลับรถไม่ได้” พี่ปั้นไม่ได้ตอบอะไรแค่ทำตามที่เขาบอกเท่านั้นเอง “พรุ่งนี้มารับกี่โมง”
“คงไม่ได้มารับแล้ว”
“ทำไมล่ะ คืนนี้นายกลับบ้านไม่ใช่เหรอหรือว่าพรุ่งนี้จะซิ่ว”
“เปลี่ยนใจไม่กลับแล้ว”
“อ๋อ... อยากมาส่งเฉย ๆ นี่เอง คิกคิกขอบใจนะขับรถดี ๆ”
“อืม”
ทั้งน้ำเสียงและรอยยิ้มอยู่ในสายตาของฉันทั้งหมด แม้ว่ามันจะไม่ต่างจากที่เขาคุยกับพี่แก้มแต่ฉันก็คิดมากอยู่ดีค่ะ แต่เพราะคำว่าเชื่อใจฉันจะให้โอกาสเขาอธิบายแล้วกันนะ แล้วก็ให้โอกาสตัวเองใช้ความใจเย็นให้เป็นด้วย