“ยังไม่บอกเลยนะว่าคุยอะไรกัน” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมถามหรอกนะ แต่ทุกครั้งคำตอบมันก็ยังคงเดิม
“บอกไม่ได้ค่ะความลับ”
“ไม่เป็นไร ห้องพี่มีกล้องวงจรเดี๋ยวไปย้อนดูทีหลังก็ได้”
“ไม่ต้องมาขู่ค่ะมันไม่ได้ผล ถ้ามีจริง ๆ พี่คงเปิดดูไปนานแล้วไม่มานั่งขู่หนูแบบนี้หรอก” นั่นแหละครับ หลอกเด็กไม่สำเร็จ
“ปกติเพียงฝันไม่เคยปิดบังอะไรเลยนะ”
“ก็ตอนนี้ไม่ปกติไงอีกเดี๋ยวสบายใจก็คงจะบอกพี่เองแหละ”
“...” ผมเงียบแล้วมองคนตรงหน้านิ่ง ๆ ไม่รู้ว่าไปสนิทกันตอนไหน
“อย่ามองแบบนี้สิคะหนูบอกไม่ได้จริง ๆ เอาเป็นว่าน้องพี่กำลังมีความรักก็แล้วกัน”
“มีความรักเหรอ... ใช่คนนี้ไหม?” พลางเปิดโปรไฟล์โซเชียลของใครคนหนึ่งให้เสียงเพลงดู ที่ผมสงสัยเพราะมีไม่กี่คนหรอกที่เพียงฝันจะฟอลโล่กลับแล้วกดหัวใจให้ จะว่าไปผมก็วุ่นวายกับชีวิตน้องเหมือนกันนะเนี่ย
“พี่รู้จัก?”
“ไม่นะ แค่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามอยู่เหมือนกัน เป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครแต่เพื่อนเยอะนะ”
“นี่ขนาดไม่รู้จักนะคะ” น้องว่ายิ้ม ๆ แล้วพูดต่อ “หนูก็ติดตามพี่เขาในโซเชียลเหมือนกัน ดูท่าทางเขาลึกลับมีอะไรให้ค้นหาแปลก ๆ”
“ใครอนุญาตให้ติดตามผู้ชายคนอื่นไม่ทราบครับ?”
“ขอโทษนะคะหนูติดตามเขาก่อนติดตามพี่อีก”
“จบกัน! พี่มาทีหลังเหรอเนี่ย”
“อย่ามาทำเป็นพูดดีตัวเองยังติดตามสาว ๆ ได้เลย เนี่ยดูหลักฐานคาตา” ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังจิ้มลงบนหน้าจอผมอีกด้วย “แต่พี่คนนี้น่ารัก” คำชมถูกเอ่ยออกมาก่อนจะหยิบมือถือผมไปกดถูกใจซะเอง “คนนี้ก็น่ารักค่ะ”
“คนนี้น่ารักกว่า” ผมว่ายิ้ม ๆ แล้วเอื้อมมือไปจับแก้มยุ้ย ๆ นั่น “ไม่หึงหน่อยเหรอ”
“ต้องหึงด้วยเหรอคะ?” มันไม่ใช่คำถามกวนประสาทหรือว่าคำพูดประชดประชันเลยครับ ที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้คือแววตาใสซื่อต่างหาก “แค่กดหัวใจเอง หนูเป็นผู้หญิงหนูยังมองว่าน่ารักเลยไม่แปลกถ้าพี่จะกดติดตามหรือกดถูกใจ หนูว่าเรื่องพวกนี้มันปกตินะคะ”
“คิดแบบนั้นเหรอ”
“แล้วพี่คิดแบบไหน?”
“พี่ก็คิดแบบนั้นแหละแค่ไม่คิดว่าเราจะคิดต่างจากคนอื่นไง” จะว่ากำลังมีความคิดเปรียบเทียบอยู่ในหัวก็ได้ครับ เพราะที่ผ่านมาผมเจอแบบนั้นจริง ๆ เรื่องเล็กน้อยพวกนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่มาหลายครั้งแล้ว
“ไม่ได้คิดอะไรเลยค่ะเพราะหนูก็กดหัวใจให้คนอื่นเหมือนกัน คิกคิก”
“เดี๋ยวทุบให้”
“ฮ่า ๆ”
เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของคนตรงหน้ามันชวนให้ยิ้มตามทุกทีเลย นี่ผมเป็นอะไรหลงเด็กเหรอ? ใช้คำนี้ก็คงได้มั้งครับ
“คิดไว้หรือยังว่าจะเรียนต่ออะไร”
“ต่อมอปลายที่นี่ค่ะ แต่มหาวิทยาลัยหนูยังไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไรเลยยังไม่ได้คิด”
“ช่างเถอะยังมีเวลาค้นหาตัวเองอีกหลายปี”
“แล้วพี่ล่ะคะ จบปวช.แล้วพี่จะเรียนอะไร”
“ตอนแรกก็จะต่อปวส.แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว พี่ว่าจะต่อมหาวิทยาลัย คงเป็นวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์นั่นแหละ”
“เหมือนพี่มิวเลย”
“ตามนั้น”
พูดถึงไอ้มิวแล้วผมยังจำน้ำเสียงเย็นยะเยือกของมันได้อยู่เลยครับ เราเป็นเพื่อนกันมานานก็จริงแต่น้อยครั้งที่จะเห็นท่าทีแบบนั้นของมัน
กับเสียงเพลงยอมรับครับว่าตอนแรกไม่ได้คิดอะไรก็แค่น้องสาวเพื่อน แต่ทำไงได้ดันแพ้ทางความต่างของเธอนี่สิ เธอจะรู้ตัวบ้างไหมว่าตัวเองมีเสน่ห์มากแค่ไหน...
หนึ่งปีผ่านไป
ผมเข้ามหาวิทยาลัยแล้วครับส่วนน้องเองก็ขึ้นมัธยมปลายแล้วเช่นกัน ระหว่างเราเป็นความสัมพันธ์ที่ลงตัวมากเลยทีเดียว เสียงเพลงยังคงเป็นคนแรกที่สานต่อความรู้สึกผม ไม่ได้น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป
“ใครโทรมาเหรอครับ?” เอ่ยถามเมื่อเห็นว่ามีสายวีดิโอคอลเข้ามาแต่เจ้าตัวกดทิ้งไป
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันเพิ่งกดรับเพื่อนเมื่อกี้นี้เอง” พูดไม่ทันขาดคำก็โทรเข้ามาอีกครั้งครับแต่คราวนี้ผมเป็นคนกดรับเอง
“สวัสดีครับ” ปลายสายเงียบไม่มีการตอบรับอะไรแล้วกดวางสายไปแทน เร็วเท่าความคิดก็กดโทรกลับทันทีแต่ว่ามันถูกบล็อกไปแล้วครับไม่สามารถเชื่อมต่อได้ เห็นแบบนั้นผมจึงใช้เครื่องของตัวเองกดค้นหาชื่อบัญชีโปรไฟล์นี้แทน
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“พี่ต้องถามหนูมากกว่านะ”
สาบานเลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีความรู้สึกพวกนี้ กับเอิงเอยผมไม่เคยเช็คบุคคลที่สามเลยด้วยซ้ำ ไม่สิ! ต้องบอกว่าไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ถึงจะถูก
“หนูไม่รู้จักเขาจริง ๆ ใครก็ไม่รู้โทรสุ่มสี่สุ่มห้า” ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจมากนักแล้วหันไปสนใจของกินต่อปล่อยให้ผมหัวร้อนอยู่คนเดียว
“เป็นไรของมึงวะหน้าบอกบุญไม่รับเชียว” ไอ้มิวเอ่ย
“ใครไม่รู้โทรมาหาหนูแล้วเขาโทรกลับไปไม่ติด”
“เดี๋ยวนะ มึงกำลังหึงเหรอ?”
“...” ทุกอย่างหยุดนิ่งรวมไปถึงความคิดและความรู้สึกของผมด้วย
“เป็นไง ความรู้สึกตอนนี้ หัวร้อนล่ะสิ”
“เออ”
“ฮ่า ๆ เป็นเอามากนะมึงอะ ถ้าน้องกูนิสัยเหมือนมึงก็ว่าไปอย่าง”
“ถ้าตอนไม่มีใครกูไม่เถียงนะ” ยอมรับครับว่านิสัยเจ้าชู้แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมคบใครคบเป็นคนคนไป คุยก็ส่วนคุย
“กูจะรอดู จำคำกูไว้เลยน้องกูเจ็บเมื่อไหร่มึงเจ็บเมื่อนั้นแหละ”
“บอกน้องมึงเลิกหว่านเสน่ห์ดีกว่านะ”
“เกี่ยวอะไรกับหนูล่ะคะ”
“ต้องให้พูดไหม?” พลางค้อนสายตาใส่นิ่ง ๆ หวังให้คนตรงหน้ากลัวแต่ผลที่ได้ไม่เลยครับ นอกจากจะไม่กลัวแล้วยังมองผมตาแป๋วอีกด้วย “อย่าหาใส่อีกนะชุดนี้น่ะ” ผมว่าพลางเปิดภาพที่เจ้าตัวลงโซเชียลไปให้ดู มันน่ารักครับแต่ชุดมันเหมาะกับการเรียกว่าเศษผ้ามากกว่า
“ปกตินะ อยู่บ้านก็แบบนี้มึงนั่นแหละเยอะไปเอง ทำไม? มีความรู้สึกระแวงเหมือนกันเหรอ”
“มึงก็ขยี้จัง”
“เปล่าเลยแค่นาน ๆ จะเห็นมึงเป็นแบบนี้ไง”
เลิกสนใจไอ้มิวแล้วหันไปสนใจใครอีกคนแทน นี่สินะความรู้สึกกังวลทั้งที่น้องก็ไม่ได้ทำอะไรแต่ทำไมถึงมีผลต่อความรู้สึกผมขนาดนี้
หลายวันผ่านไป
ผมอยู่หอครับเพราะจากบ้านมามหาวิทยาลัยไกลพอสมควร ส่วนไอ้มิวมันอยู่บ้านเพราะไม่มีใครอยู่กับเสียงเพลงเว้นแต่ว่าวันไหนมีเรียนเช้าหรือพ่อมันกลับมามันก็จะมาอยู่กับผมนี่แหละ ลืมบอกว่าพวกเราเรียนด้วยกันหมดครับและก็พักอยู่หอเดียวกันแค่คนละชั้น
“พี่คนนั้นแอดมามึงรับยัง” ไอ้เคมีเอ่ย
“ใคร?”
“พี่ปีสามไงเขาอยากรู้จักมึงกูก็เลยชี้ทางให้” ไม่พูดเปล่าไอ้เคมันยังเปิดโซเชียลให้ดูอีกด้วย “น่ารักว่ะ ยิ้มเหมือนน้องเพลงเลย”
“ไม่เหมือน เสียงเพลงของกูมีแค่คนเดียวครับ”
“เออเนอะกูลืมไปว่ามึงเป็นคนดีแล้ว”
“กูไม่ได้เป็นคนดีหรอกก็แค่อยากตั้งใจมีใครสักคนเท่านั้นเอง”
“ใครสักคนที่มึงว่าไม่ได้เรียกว่าแฟนนี่ แต่จะว่าไปคำว่าคนคุยมันผูกพันพอ ๆ กับแฟนเลยนะเว้ย มึงเคยคิดไหมว่าจะให้เขายืนอยู่ตรงไหนของชีวิต”
“ยืนข้างกูนี่แหละ”
“แล้วทำไมไม่ขอเป็นแฟนสักที หรือรอน้องมันโต?”
“ส่วนหนึ่งก็ใช่ เขาต้องเจอผู้คนอีกมากมายยังต้องตื่นเต้นกับคนที่เข้าหาและคนที่บังเอิญผ่านมาอีกเยอะ ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ดีมากแล้วแค่เรียกได้ไม่เต็มปากว่าเป็นแฟนเท่านั้นเอง”
“กูถามจริงถ้าตัดเรื่องที่เป็นน้องไอ้มิวออกไปมึงจะมีแค่เขาคนเดียวเหมือนตอนนี้ไหม?”
“ไม่เกี่ยวหรอกที่กูมีเสียงเพลงคนเดียวเพราะกูรู้สึกเองมากกว่า ไม่รู้ดิอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน” อย่างที่บอกครับว่าความต่างของเธอมันมีเสน่ห์มาก ถึงตอนนี้จะไม่ได้เรียกว่าแฟนแต่เชื่อเถอะว่าอีกไม่นานต้องใช้คำนี้แน่ ใจผมผมรู้ดี
“ก็ในเมื่อตอนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วทำไมมึงไม่คุยกับคนอื่นล่ะ เมื่อก่อนไม่เห็นจะสนใจใครเป็นพิเศษเลยยกเว้นพี่เอย”
“กูจะบอกให้นะคนเราจะนอกใจกันมันง่ายมากก็แค่ทำตามใจตัวเอง แต่เรื่องอะไรกูจะเอาสิ่งที่ดีอยู่แล้วไปเสี่ยงล่ะ”
“นอกใจอะไรไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย”
“มึงเลิกปั่นประสาทเถอะกูเหนื่อยจะพูดละ” ที่มันหว่านล้อมอยู่ตอนนี้ก็แค่อยากลองใจผมนั่นแหละ “มึงลองตั้งใจรักใครดูเผื่อจะเข้าใจกูมากขึ้น”
“ทำไมกูจะไม่เข้าใจ กูแค่อยากรู้ว่ามึงหวั่นไหวกับคนอื่นบ้างไหมเท่านั้นเอง กำปั้นที่กูรู้จักคนจริงครับ ไม่คือไม่” มันว่ายิ้ม ๆ พลางตบบ่าผมสองสามครั้งแล้วพูดต่อ “มีแฟนเด็กมันดีแบบนี้นี่เอง”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง บอกกูมาซะดี ๆ ใครใช้มึงมาหลอกถาม” ไอ้เคไม่ตอบอะไรแค่หยิบมือถือวางตรงหน้าผมซึ่งค้างสายไอ้มิวอยู่ “อะไรของมึงวะ”
(ว่าไงไอ้น้องเขย)
“กวนส้นตีน”
(ฮ่า ๆ)
แล้วมันก็วางสายไปครับ แน่นอนว่าผมต้องได้คำตอบของเรื่องนี้
“ว่ามา”
“ใจเย็นนะคนเรา มันก็แค่อยากรู้ว่าความห่างไกลมันมีผลต่อความรู้สึกมึงไหมเท่านั้นเอง”
“ห่างไกลอะไรของมึงกูคุยกันทุกวันครับ”
“ขอโทษครับกูไม่รู้แต่ตอนนี้กูเข้าใจแล้ว”
เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายความรู้สึกของเราให้คนอื่นเข้าใจ โดยเฉพาะกับคนที่รู้จักเราเป็นอย่างดีนี่แหละ
ระหว่างผมกับเสียงเพลงเราไปกันได้ดีกว่าที่คิดอีก น้องเป็นความสบายใจที่ผมเพิ่งเคยมีด้วยซ้ำจนบางครั้งก็นึกกลัวหากว่าวันหนึ่งเผลอทำความรู้สึกของเธอตกหล่นไป ถึงวันนั้นมันจะเป็นยังไงนะ?