ตอนที่ 11 บ้านใหม่

2036 Words
ฉันกลับมาที่บ้านของแม่ บ้านใหม่ที่ฉันจะต้องเข้ามาอยู่ ทั้งแม่และคุณภูมิพาฉันมาดูห้องของตัวเอง แม่เตรียมห้องไว้ให้ฉันตั้งแต่ซื้อบ้านหลังนี้ หวังว่าสักวันจะให้ฉันได้มาอยู่ การตกแต่งสไตล์สีขาว ชมพูพาสเทลน่ารักสมกับผู้หญิง “แม่ไม่รู้ว่าลูกชอบแบบไหน ถ้าลูกอยากตกแต่งอะไรเพิ่มหรือเอาอะไรออกบอกแม่ได้นะลูก” ฉันกวาดสายตามองห้องนอนขนาดกำลังดี มีเตียงนอนขนาดห้าฟุตผ้าปูที่นอนสีหวาน ตู้เสื้อผ้าไม้สีขาว และโต๊ะทำงานสะอาดตา บอกตรง ๆ ว่านี่เป็นห้องในฝันของฉันซะด้วยซ้ำ “ขอบคุณนะคะแม่ หนูชอบมาก ๆ เลยค่ะ” ฉันหันมายิ้มให้ผู้เป็นแม่ “ปล่อยลูกพักผ่อนเถอะ คุณเองก็ควรพักผ่อนได้แล้วนะ” คุณภูมิหันมายิ้มให้ก่อนจะประคองแม่ให้เดินกลับมาที่ห้องนอนของตัวเองที่อยู่ถัดไปอีกห้อง “ตอนเด็ก ๆ นะ แม่หวงห้องนี้มาก ขนาดผมยังเข้าห้องพี่ไม่ได้เลย ห้องผมอยู่ฝั่งตรงข้ามนะพี่” เจ้ามิกซ์ชี้ประตูห้องฝั่งตรงข้ามของฉัน “อื้อ” “มีอะไรเรียกได้นะพี่ สแตนด์บายรอยี่สิบสี่ชั่วโมง เป็นหมอฉุกเฉินของพี่เลย” ฉันเลิกคิ้วมองน้องชายที่ทำหน้าทะเล้นใส่ “มิกซ์เป็นหมอสัตว์ไม่ใช่เหรอ” ใบหน้าหล่อเหลาของน้องชายหรี่ดวงตามองฉัน “ราตรีสวัสดิ์ครับ” มิกซ์ว่าก่อนจะเดินเข้าห้องไป ฉันเดินเข้าห้องก่อนจะอาบน้ำเตรียมตัวจะเข้านอน ฉันเอนตัวนอนลงบนเตียงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเพดานสีขาว ท่าทางแม่จะเตรียมห้องไว้ให้ฉันตั้งแต่เด็กจริง ๆ เพราะที่ตู้เสื้อผ้ามีสติกเกอร์ยีราฟวัดส่วนสูงของเด็กแปะอยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งเข้าใจว่าทำไมแม่ถึงเลือกคุณภูมิ คนอะไรจะใจกว้างได้ขนาดนี้ ฉันละอิจฉาแม่จริง ๆ ที่ได้เจอคน ดี ๆ ฉันพยายามข่มตานอนให้หลับแต่เพราะในหัวยังคิดเรื่องนู่นนี่เสียจนนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงก็ยังนอนไม่ได้อยู่ดี ฉันเลยตัดใจที่จะนอนหลับในคืนนี้แล้วเดินลงมาที่ชั้นล่างให้เบาที่สุด พอมาถึงที่ห้องครัวฉันก็ค่อย ๆ แง้มตู้เย็นออกดูว่าข้างในอะไรให้ฉันได้รองท้องบ้าง “หิวเหรอ” ฉันสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันไปมองท่ามกลางความมืดก่อนจะเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของใครบางคนที่นั่งอยู่บนโซฟา มือซ้ายฉันรีบควานหาปุ่มเปิดไฟก่อนที่ไปในห้องนั่งเล่นจะสว่างจ้า “คุณภูมิ” ฉันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ ชายหนุ่มมองมาที่ฉันตาปริบ ๆ ก่อนจะชูผลไม้ในถาดให้ฉันดู “ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ มาทานด้วยกันไหม” คุณภูมิเอ่ยถาม ฉันเลยพยักหน้าก่อนจะเดินมานั่งบนโซฟาที่อยู่ถัดไปจากคุณภูมิแล้วหยิบแอปเปิลขึ้นมากิน “คุณภูมินอนไม่หลับเหรอคะ” ฉันพยายามชวนคุยเพื่อไม่ให้สถานการณ์ดูตึงเครียด “อ๋อ อันที่จริงลุงชอบแอบตอนแม่หนูหลับแล้วมาดูรายการแข่งทำอาหารคนเดียวน่ะ หนูจะดูด้วยกันไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถาม ฉันเลยพยักหน้าตอบก่อนที่คุณภูมิจะชะโงกมองไปทางบันไดชั้นสองแล้วหยิบรีโมตขึ้นมาเปิด “ทำไมต้องแอบแม่ด้วยล่ะคะ” ฉันกัดแอปเปิลในปากพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เดี๋ยวแม่หนูจะชอบบ่นว่ามีเวลาพักทำไมไม่เอาไปนอน แม่หนูน่ะขี้บ่นจะตาย” สงสัยฉันคงต้องมีเรื่องให้ปรับตัวในบ้านหลังใหม่อีกเยอะเลยแฮะ “คุณภูมิคบกับแม่ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ” คุณภูมิเอนหลังพิงกับโซฟาก่อนจะทำหน้าครุ่นคิด “อือ ตั้งแต่แม่หนูจะแต่งงานกับพ่อหนูน่ะ” ฉันถึงกับอ้าปากค้างแล้วหันไปมองหน้าของคนพูดที่หันมาแล้วหลุดคำเพราะเห็นหน้าของฉัน “พูดจริงเหรอคะ” คุณภูมิพยักหน้า “พวกเราคบกันตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย แล้วทะเลาะกันก่อนจะเลิกกันไปประมาณปีกว่าได้แล้วมารู้อีกทีตอนที่แม่ของหนูแต่งงานกับพ่อของหนู พวกเขาถูกผู้ใหญ่จับให้แต่งงานกันไม่นานก็คลอดหนูออกมาพอแม่ของหนูเลิกกับพ่อของหนูพวกเราเลยกลับมาสานสัมพันธ์กันต่อจนมีเจ้ามิกซ์เนี่ยแหละ” “หนูเพิ่งรู้เรื่องของพ่อกับแม่ครั้งแรกเลยนะคะเนี่ย” ฉันว่าก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความเศร้า ฉันมันเป็นเด็กที่ใครไม่ต้องการจริง ๆ สินะ ไม่ใช่เด็กที่แม่ตั้งใจจะให้เกิดมานี่เอง “ที่จริงแม่เขาอยากจะรับเรามาอยู่ด้วยตั้งนานแล้ว แต่ว่าแม่ไม่มีเงินหรือสมบัติเพียงพอที่จะสู้พ่อของหนูได้ หนูเลยเปรียบเหมือนชัยชนะของพ่อหนู ที่ต้องการเอาชนะแม่” คุณภูมิเอ่ยต่อยิ่งทำให้ฉันที่ไม่รู้อะไรเลยอยากจะร้องไห้เข้าไปอีก “เพราะแบบนี้พ่อเลยไม่ยอมให้หนูไปอยู่กับแม่ เพราะเหมือนพ่อจะต้องแพ้ให้แม่ใช่ไหมคะ” “ใช่ครับ คุณเกริกวิทย์เขาพยายามเอาหนูออกจากแม่ของหนูทุกทาง เพราะแบบนี้แม่ของหนูเลยทรมานเวลาที่คิดถึงหนูมาก ๆ” หยดน้ำตาร่วงหล่นบนเรียวขาของฉันดังแหมะ ฉันได้แต่เคี้ยวแอปเปิลที่ค้างอยู่ในปากด้วยความสั่นเทา ตอนนี้ร่างกายของฉันมันสั่นสะท้านไปหมดจากความรู้สึกผิดที่เคยคิดน้อยใจผู้เป็นแม่ “แม่เขาไม่ได้อยากทิ้งหนูไปเลยนะ อย่าโกรธแม่อีกเลยนะมน” ฉันได้แต่พยักหน้าหลังจากที่ได้รับรู้ความจริงทั้งหมด ตลอดยี่สิบเอ็ดปีที่ผ่านมา ฉันไม่เคยได้ทำดีกับแม่เลยสักครั้งเพราะคิดว่าแม่ทิ้งฉันไปมีครอบครัวใหม่ แต่พอได้รู้แบบนี้ฉันคงจะมาหาแม่ตั้งแต่ได้เจอกับมิกซ์ครั้งแรกแล้ว “มน” ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงเรียก แม่ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาก่อนจะเข้ามาสวมกอดฉันเอาไว้ ฉันรีบกอดแม่แน่นด้วยความโหยหาตลอดทั้งชีวิตของฉันไม่เคยได้กอดแม่อย่างนี้มาก่อนตั้งแต่จำความได้ “แม่ขอโทษนะ” “แม่ไม่ผิดเลยค่ะ หนูขอโทษนะคะที่เคยเข้าใจแม่ผิด” ฉันพูดเสียงสะอื้น “ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร” แม่ลูบแผ่นหลังของฉันเพื่อเป็นการปลอบโยนก่อนที่แม่จะผละกอดออกแล้วยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้กับฉัน “ในที่สุดแม่ก็ได้ลูกคืน ชีวิตแม่ไม่ขออะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว” “ต่อไปหนูมนเป็นสมาชิกในครอบครัวของเราแล้วนะ” ฉันหันไปมองคุณภูมิที่ยกยิ้มให้อย่างอบอุ่น “ใช่ครับพี่มน พี่เป็นสมาชิกในครอบครัวของเราแล้วนะครับ” มิกซ์เดินเข้ามาเสริมทัพ “ลุงไม่ได้หวังว่าลุงจะแทนที่พ่อของเราได้ แต่ต่อจากนี้ไม่ต้องเรียกลุงว่าคุณภูมิหรอกนะ มันดูห่างเหินเกินไป เรียกลุงก็ได้ ลุงภูมิ” “ค่ะลุงภูมิ” “กอดกันโดยไม่มีผมได้ไงเนี่ย” มิกซ์เข้ามาโผกอดแม่กับฉันเอาไว้อย่างแนบแน่นเสียจนฉันหายใจแทบไม่ออก นี่มันรักหรือกะจะฆ่ากันให้ตายกันแน่เนี่ย ในที่สุดฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กเล็กอีกครั้งเมื่อในตอนเช้าแม่และลุงภูมิเทียวขับรถมาส่งที่บริษัททุกครั้ง ฉันเดินขึ้นมาที่ออฟฟิศก่อนจะนั่งทำงานตามปกติ วันนี้พี่รตีมาที่บริษัทอีกแล้ว แต่คราวนี้พี่มิลดันอยู่ที่ชั้นที่ฉันทำงานเสียด้วยสิ พนักงานหญิงโต๊ะข้าง ๆ เริ่มจับกลุ่มเม้าท์กันอย่างเมามันจนฉันได้แต่หูผึ่งเพื่อแอบฟัง ความว่าพี่รตีคงจะหวังจับให้พี่มิลมาทำธุรกิจด้วย คงจะฟีลเหมือนธุรกิจครอบครัวอะไรประมาณนั้น หรือไม่ก็พี่รตีแอบชอบพี่มิล แต่พี่มิลดูจะไม่เล่นด้วย นี่เขาดูออกกันทั้งบริษัทเลยเหรอเนี่ย “พี่มิลคะ รตีมีเรื่องอยากจะคุยด้วย” หญิงสาวเดินเข้าไปก่อนจะส่งยิ้มหวานให้กับชายหนุ่มที่กำลังยื่นดูแฟ้มเอกสารด้วยสีหน้าคร่ำเครียด “มีอะไรครับ” พี่มิลเอ่ยถาม “เย็นนี้พี่มิลว่างไหมคะ รตีอยากชวนพี่มิลไปทานอาหารเย็นด้วยกัน” “ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน พี่ขอไม่ไปนะ” พี่มิลส่งเอกสารให้กับเลขาฯส่วนตัวก่อนจะชำเลืองสายตามามองทางฉัน ฉันรีบหลบสายตาแล้วหันมาจ้องที่หน้าแล็ปท็อปของตัวเองเช่นเดิม “ทำไมล่ะคะพี่มิล” พี่รตีเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ต่อไปถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร ก็ไม่ต้องมาหาพี่ก็ได้นะ ฝากเลขาฯมาบอกก็ได้” หนุ่มรุ่นพี่พูดเสียงแข็ง “ก็ได้ค่ะ คุณพ่อมีโพรเจกต์ใหม่อยากให้รตีมานำเสนอ พี่มิลช่วยขึ้นไปฟังให้รตีด้วยนะคะ” “ครับ” พี่มิลตอบกลับเพียงสั้น ๆ ก่อนจะเดินออกไปทันที ทำเอาฉันได้แต่มองตามด้วยความสงสัย แสดงว่าพี่มิลคงจะไม่เล่นกับพี่รตีจริง ๆ แหละถึงได้ประกาศกร้าวซะขนาดนั้นอะ แต่แปลกแฮะ เสืออย่างพี่มิลจะซ่อนลายซ่อนเล็บไปได้นานเท่าไรกันเชียว พาร์ตรามิล “พอใจพี่มิลแล้วใช่ไหมคะ” รตีวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะของผมก่อนจะเลิกคิ้วมองมาทางผมด้วยสายตาคาดคั้นเอาคำตอบ “อื้อ ขอบคุณมากนะ” ผมเอนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งก่อนจะช้อนสายตามองหญิงสาว “แต่วิธีนี้มันใช้ได้ผลจริง ๆ นะ” “โอ๊ยจริงสิคะ ก็น้องมนเขาจะได้ไว้ใจว่าพี่ไม่ได้เจ้าชู้แล้ว แต่แค่เจ้าเล่ห์อะค่ะ” “อันนี้รตีแซวพี่เองถูกไหม” หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ “ก็ต้องขอบคุณพี่มิลนะคะที่พูดให้รตีคิดได้ ว่าชีวิตรตีไม่ใช่ชีวิตของคุณพ่อ อีกอย่างรตีก็มีแฟนแล้วด้วย แฟนรตีคงไม่ชอบที่รตีมาเล่นละครตบตาคุณพ่อแบบนี้หรอกค่ะ” “ขอให้รตีคบกับแฟนนาน ๆ นะ” สาวรุ่นน้องยิ้มรับ “แน่นอนสิคะ แฟนรตีทั้งสวยทั้งนิสัยดี รตีไม่ปล่อยให้แฟนรตีไปไหนง่าย ๆ หรอกค่ะ พี่มิลก็ควรจะเผด็จศึกได้แล้วนะคะ ดูจากที่พี่มิลเล่ามา ยายมนนั่นแหละคือคนที่จะกำราบพี่มิลได้อยู่หมัด” รตีชูกำปั้นขึ้นมาจนผมต้องอึ้งกับอินเนอร์ของเธอที่ดูจะมีความมุ่งมั่นอันแรงกล้า “พี่ชักอยากจะเห็นหน้าคนที่กำราบเธอได้แล้วสิ ใครกันนะที่จะเป็นคนโชคดีคนนั้น” “แหม พี่มิลก็” รตีมองซ้ายมองขวาก่อนจะยกมือขึ้นมาป้องปากก้มลงมาพูดด้วยเสียงกระซิบ “รตีก็แอบกินพนักงานในบริษัทเหมือนกับพี่นั่นแหละค่ะ” “Wow Excellent” (ว้าว ยอดเยี่ยม) รตีเดาะลิ้นก่อนจะเอื้อมกำปั้นมาทางผม เราทั้งสองเลยชกกำปั้นกันก่อนรตีจะยกยิ้มอย่างเริงร่าแล้วกำลังจะเดินออกจากห้อง “อย่าลืมเก็บสีหน้าด้วย” ทันทีที่ผมพูดจบหญิงสาวก็เปลี่ยนจากหน้ายิ้มกลับมาบึ้งตึงอย่างไม่พอใจก่อนจะเดินออกจากห้องไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD