ก็แค่ผ่านมาให้จำ

2842 Words
พ.ศ.2552 ร่างสมส่วนชายไทยพร้อมก้าวย่างเร่งรีบไปตามริมฟุตบาธ ใบหน้าเครียดขรึมคอยหลีกหลบผู้คนที่เดินสวนไปมา ฝ่ามือหนากำเข้าแล้วปล่อยซ้ำๆ ยามเห็นสิ่งตรงหน้า ที่สายตาเขาจับภาพได้ มันสะเทือนไปถึงหัวใจ จนปวดแปลบเหมือนคนกำลังถูกจี่ด้วยมีดคมแล้วทิ่มแทงไล่หลัง               กรามหนาขบเข้าหากันตลอดเส้นทาง สายตาหรี่แคบมองแผ่นหลังชายหญิงที่เดินคลอเคลียเคียงคู่กันเหมือนคู่รัก ...มันไม่แปลกสักนิดหากผู้หญิงที่เขาเดินตามเป็นคนอื่น               ผู้คนเริ่มหนาตา รถราบนท้องถนนเริ่มขวักไขว่เมื่อเป็นเวลาเลิกงาน  หากช่วงจังหวะเพียงนิดเขาหลบหญิงสูงวัยนางหนึ่ง หากแต่ปะทะกับร่างผอมบางอีกคนกระเด็น               “หะ/อุ้ย!” เสียงของเขาและหล่อน ดังอย่างตกใจไม่แพ้กัน แต่นั่นเมื่อฝ่ายชายหันสายตากลับมา ไม่ต้องบอกว่าร่างหนาสมส่วนที่สูงร้อยแปดสิบกว่ากับหญิงสาวร่างบอบบางเพรียวลม ใครจะเจ็บกว่ากัน เมื่ออีกฝ่ายลงไปนั่งก้นจำเบ้า อยู่บนทางเท้าใบหน้าเหยเก เป็นที่เรียกสายตาของคนสัญจรให้หันมอง หากแต่ไม่มีใครหยุดสนใจซักถาม               “ให้ตายสิ... ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ” เมื่อ รู้ตัวว่าผิดแม้ไม่ได้ตั้งใจ มนัสไม่รีรอ เอ่ยคำขอโทษทันที และด้วยความตกใจจนลืมตัว ร่างสูงใหญ่โน้มตัวก้มลง ยื่นมือเพื่อเป็นเข้าไปช่วยประคอง หากอีกฝ่ายเอียงหลบอย่างหวงตัว และนั่นทำให้เขารู้ตัว ว่ามันไม่เหมาะจึงดึงมือกลับ “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ลุกขึ้นไหวไหม?” เขาร้อนใจหนัก สายตาคมเข้มหรี่แคบพยายามเค้นหาคำตอบด้วยสายตาตนเองไปพร้อมๆ กัน แม้ไม่มีคำตอบมาทันที หากแต่มนัสรับรู้ได้ว่าหล่อนต้องเจ็บไม่หยอก เมื่อมือเรียวลูบข้อเท้าข้างขวา สีหน้าบิดเบี้ยวพร้อมเสียง ซี้ด... สูดลมเข้าปาก  “ขอโทษจริงๆผมไม่ทันระวังครับ” คนตรงหน้าก็ห่วง หากสายตาของมนัสก็ไม่อาจตัดใจจากหนุ่มสาวก่อนจะชะเง้อคอมอง เพื่อให้รู้ว่าทั้งคู่กำลังเดินไปทิศทางไหน แต่สุดท้ายสิ่งที่ตามมาก็หายไปจากวงจรสายตาจนได้!               เมื่อไม่มีสิ่งใดทำให้ใจไขว้เขวได้อีก มนัสจึงหันมาสนใจสาวสวยในชุดกางเกงยีนเสื้อยืดธรรมดาที่นั่งแหมะอยู่บนพื้นอย่างจริงๆ จังๆ               รติกาลแหงนหน้ามองคนที่เอ่ยขอโทษไม่หยุดปาก “ไม่เป็นไรค่ะ” ตัดใจบอกไปทั้งที่ใจหงุดหงิดแต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า               สายตาที่มองสบทำให้มนัสรู้สึกผิด ตากลมใสไร้แววตำหนิหรือคาดโทษ หากแต่เขารับรู้ได้ถึงความกังวลและอ่อนใจ จนเขารู้สึกผิดขึ้นหลายเท่าตัว               “ไม่ไหวใช่ไหม?... ผมขอโทษด้วยจริงๆ”               อีกครั้งที่เขาเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและแน่วแน่ แต่ครั้งนี้คำขอโทษที่มาพร้อมกับความต้องการที่อยู่ในใจ ร่างบางถูกช้อนอุ้มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้ตั้งตัวหากจะวี้ดว้าย ยิ่งอายผู้คน รติกาลจึงลดระดับน้ำเสียงให้แผ่วลง “คุณจะทำอะไร ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี่นะ” พยายามดิ้นหากแต่พอขยับข้อเท้าก็เจ็บแปลบจนน้ำตาเล็ด “เท้าเคล็ด อย่าฝืนเดินต่อเลยครับ” มนัสบอกด้วยความเป็นห่วง ตากลมใสที่เต็มไปด้วยความกังวลจ้องตอบ หากแต่รติกาลสัมผัสได้ว่าการกระทำของเขาจริงจังและใส่ใจอาการของเธอมากกว่าคิดฉวยโอกาสกับเธอ   แต่กระนั้น ความหวาดระแวงก็ไม่ได้ลดไปจากความรู้สึกของรติกาล “ปล่อยฉันลงเดียวนี้เลยนะ” เธอพยายามสลัดตัวเองออก ครั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายต่อต้าน มนัสจึงกระชับวงแขนแน่นขึ้น “ขอโทษนะครับเห็นทีจะไม่ได้” เขาบอกพลางก้าวฉับๆ อย่างกับตัวหล่อนไร้น้ำหนัก รติกาลอยากดิ้นรนให้พ้นจากการโอบอุ้มหากแต่เสียวแปลบตรงข้อเท้าเมื่อพยายามจะสลัดตัวเองแรงๆ “จะ พาไปไหน?” น้ำเสียงของหล่อนไม่สม่ำเสมอ พร้อมใบหน้าเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดพราวด้วยความหวาดระแวง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแดงซ่านด้วยความเขินอาย เมื่อผู้คนที่เดินผ่านมามองอย่างสอดรู้สอดเห็นหากแต่ไม่มีใครสนใจถามไถ่ อดคิดไม่ได้ว่าหากผู้ชายคนนี้เป็นคนร้ายหล่อนไม่แย่หรอกหรือ? สายตากรอกไปมาของสาวสวย ทำให้มนัสยิ้มกริ่ม เขารู้ตัวเองดีว่ากำลังทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งกลัวขึ้นสมอง จึงเอ่ยบอกไปว่า อย่ากลัวผมเลย ผมจะทำอะไรคุณได้ คนเยอะแยะ รถผมจอดอยู่ไม่ไกล เดี๋ยวจะพาไปหาหมอ” เหตุผลที่ได้ฟังจากน้ำเสียงเป็นมิตรและเป็นกันเอง ทำให้รติกาลเริ่มลังเล เธอจะไว้ใจคนแปลกหน้าได้หรือ?  “ไม่เป็นไร คุณปล่อยฉันลงก่อนเถอะ อายเขา” เสียงแผ่วเบาหากแต่หนักแน่น แต่กระนั้นอีกฝ่ายหาได้ใส่ใจ ยิ้มหน้าตายตอบกลับมา เขาจงใจทำให้คนในอ้อมแขนอ่อนใจ แต่กลับทำไมสำเร็จ เมื่อคนในอ้อมแขนเกร็งตัว จนเขารู้สึกว่าอุ้มลำบากหากหล่อนทำตัวแข็งกับท่อนไม้ และคิดว่าหล่อนคงร่วงลงจากวงแขนเขาเป็นแน่ ขืนทำตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนี้... “หากคิดว่าผมอุ้มคุณ แล้วอายชาวบ้าน ผมว่า คุณเปลี่ยนจากทำตัวเป็นท่อนไม้ แล้วทำตัวตามสบายผมจะได้อุ้มคุณสะดวกไปถึงรถไวๆจะดีกว่านะครับ” เขาบอกพร้อมรอยยิ้มขำ รติกาลเหลือบตามองคนพูด หน้างอ ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน เธออยากเถียง แต่ก็ไม่อาจอ้าปากเถียงออกไปได้  เขาเลยส่งยิ้มทางสายตาและคำพูดเป็นการยืนยันอีกครั้ง “จะอายทำไม เหตุผลที่ผมอุ้มคุณ ใครไม่รู้ แต่ผมรู้ดี ที่สำคัญคุณก็รู้อยู่ว่า ตัวเองไหวหรือเปล่า?” รอยยิ้มอบอุ่น ไม่ได้เสแสร้งยังอยู่เต็มใบหน้าหล่อนั้น แต่รติกาลไม่อาจ ยินดีตอบรับความรู้สึกที่อีกฝ่ายแสดงออกมาได้เธอ เธอจึงกัดฝันทำหน้าบึงตึงตอบกลับ แต่จะให้สะบัดตัวออกจากอ้อมแขนคงไม่ไหว เพราะข้อเท้าของเธอแค่เขาขยับเดินเป็นจังหวะ ก็ปวดแปลบจนน้ำตาเล็ดแล้ว สุดท้ายสาวสวยวัยใกล้ 20 ปี ที่ทำงานจนตัวเป็นเกลียวส่งตัวเองเรียนภาคค่ำเสาร์-อาทิตย์ จันทร์ถึงศุกร์ต้องทำงาน ก็นั่งหน้ามุ่ยอยู่หน้าห้องตรวจ โดยข้อเท้าถูกพันผ้าไว้อย่างแน่นหนา รออีกคนรับยาจากหน้าเคาน์เตอร์ “รติกาล ชื่อเพราะดี” เขาเอ่ยเหมือนจะย้ำให้ตัวเอง เจ้าของชื่อที่เขาพร่ำถามตั้งแต่นั่งมาด้วยกันในรถ จนแล้วจนรอดหล่อนก็ไม่บอก เหมือนคนหวงชื่อ จนเขายอมเสียมารยาทแอบดู หันมาสบตาสีหน้าเรียบเฉย เขายิ้มรับหน้าเจื่อนๆ พร้อมชูถุงยาให้เจ้าของชื่อได้เห็นถนัดขึ้น ‘เขารู้เพราะมันเขียนอยู่หน้าซองยา’ “เฮ้อ สีหน้าคุณทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลย” มนัสยังมีความวิตกหลงเหลืออยู่มาก “เอ่อ...ก็นะ เป็นแบบนี้ เถ้าแก่คงไล่ออกจากงานแน่ ไหนเวลาที่ต้องไปเรียนอีก” น้ำเสียงเหมือนพ้อกับตัวเองลอยๆ ของรติกาล ทำให้มนัสรู้สึกใจหายกับสิ่งที่จะตามมากับความหมายที่เขาแปลได้ “คงไม่ถึงกับไล่ออกมั้งครับ สองสามวันคงไปทำงานได้ ไม่ได้เจ็บจนถึงขนาดต้องถือไม้เท้าซะหน่อย” มนัสบอกตามสภาพการณ์ รติกาลเหลือบมองคนเอ่ยที่ทำเป็นรู้ดี แล้วหันมองข้อเท้า สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหากแต่ไม่ถนัดหนัก เพราะเท้าที่พันด้วยผ้าไว้ทำให้เธอพยุงตัวได้ไม่ถนัด มนัสที่ยืนอยู่ใกล้เข้ามาพยุงอีกครั้งแล้วเอ่ยอย่างนุ่มนวล “ขอโทษนะครับ...” สองมือหนาสอดที่เอวคอด รติกาลมองหน้าสีหน้าลำบากใจ หากแต่ไม่เอ่ยว่าอะไร “ให้ผมไปส่งนะ” เขาอาสาอีกครั้ง คำตอบที่ได้คือการพยักหน้าของเธอ ตลอดเส้นทางที่เขาทำหน้าที่พลขับ สายตาของมนัสไม่ได้จับจ้องอยู่บนท้องถนนแต่อย่างเดียว เขาสอดสายตามองสองข้างทางที่ขับผ่าน เมื่อรถขับแยกออกจากถนนสายหลัก บางครั้งหากถนนว่าง รถราขาดช่วง พอที่ให้เขาได้ใช้สายตาไปไกล เขาจะยืดตัวพร้อมทำคอยาว มองเหมือนคนพยายามสังเกตหรือจับผิด แล้วสิ่งที่เขาเอ่ยขึ้น ทำให้คนที่เงียบมาตลอดทางหันมองอย่างแปลกใจ “บ้านตัวเองหรือเช่า” ตาคมของรติกาลเหลือบมองคนถาม ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะอยากรู้ไปทำไมแต่ก็ตอบไป “เช่า อยู่กับเพื่อน” เขาพยักหน้ารับรู้ “เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน” บอกไปแล้ว รติกาลก็หันกลับมาครุ่นคิดว่า ทำไมต้องบอกเล่าเขาด้วย สายตาที่จับจ้องท้องถนนละสายตาหันมามองใบหน้าหวานเพียงนิด หล่อนไม่ต่างจากเขาไม่รู้ว่าครอบครัวที่อบอุ่นเป็นเช่นไร “ถนนสายนี้ค่ำๆ น่ากลัว ทางที่ดีอย่ากลับค่ำ” เขาเอ่ยในสิ่งที่รติกาลคิดไม่ถึง               รติกาลยิ้มน้อยๆ รู้สึกใจชื้นที่โลกนี้ยังมีคนหวังดีต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน ที่สำคัญเพิ่งเจอหน้ากันด้วยซ้ำ ความอุ่นใจจึงหลุดปากออกไปว่า “ไม่น่ากลัวหรอก เพราะฉันกับเพื่อนใช้ถนนสายนี้จนชินแล้วล่ะ”               “หือ...” หันขวับส่งสายตาเหมือนไม่อยากเชื่อก่อนจะเอ่ยปราม “ต่อไปห้ามเลยนะครับ ขาดเหลืออะไรซื้อไว้ช่วงกลับเข้าบ้านช่วงเย็นดีกว่า” น่าแปลกที่เขาห่วงสาวร่างบางที่เพิ่งเจอหน้า จนกล้าออกคำสั่ง ทั้งที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลยด้วยซ้ำ               “....” คนถูกสั่งห้ามอึ้งไป ก่อนจะคลายสีหน้า เอ่ยว่า “ไม่ได้หรอก กาลต้องออกไปเรียนภาคค่ำด้วยกันกับเพื่อน แค่เสาร์-อาทิตย์”               “แย่...” เขาสรุป ยังไงก็ผู้หญิงเหมือนกัน บางทีที่ฟังข่าวออกสื่อ มีผู้ชายอยู่ด้วยหากเกิดเรื่องก็ใช่จะช่วยเหลือกันได้               เขาชอบที่สาวสวยผู้นี้ใฝ่คว้าอนาคตด้วยตนเอง “เอางี้ไหม เดี๋ยวผมหาที่พักใหม่ให้ เอาที่สะดวกในการเดินทาง” เขาเสนอ หากอีกฝ่ายยิ้มรับเมื่อชายแปลกหน้ายื่นไมตรีให้               “ค่าใช้จ่ายคงแพง เงินเดือนเราไม่กี่บาท ไม่เอาดีกว่า” หล่อนเดาจากการแต่งตัวและรถที่ชายหนุ่มใช้ เชื่อว่าหากเขาจัดการอย่างที่ปากว่า คงดูมาตรฐานความต้องการเขาเป็นหลักแน่นอน ประเด็นสำคัญของคนหาเช้ากินค่ำที่ต้องขวนขวายอนาคตให้กับตัวเอง โดยมีตัวเลือกแค่ว่า อยู่อย่างพอดีและแค่ดีพอให้ตัวเองไม่เดือดร้อนเท่านั้นก็เพียงพอสำหรับเธอและเพื่อนรัก... ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจเหตุผล แต่เขาก็ยังกังวลอยู่ดี ปัจจัยหลักของแต่ละคนแตกต่างกัน ทว่าเขาต้องการช่วยเหลือสาวนางนี้ ที่เกิดถูกชะตาจนน่าแปลกใจ “ตอนนี้เช่าอยู่เดือนละเท่าไหร่ครับ” “สามพันค่ะ” คิ้วที่เคยนูนเด่น เหมือนมีเรื่องขบคิดอยู่ตลอดเวลาคลายออก แล้วเอ่ยขึ้น เหมือนกับว่าสิ่งที่ครุ่นคิดมานาน ณ ตอนนี้ถึงทางสว่างแล้ว“ผมช่วยออกให้อีกสองพันในแต่ละเดือน เพื่อความปลอดภัย เดี๋ยวผมจะหาให้ในราคาห้าพันบาทโอเคนะ” เขาสรุป หากอีกฝ่ายไม่เห็นด้วย “เพื่ออะไร ที่คุณจะมาช่วยค่าเช่า...” เธอค้านทันที ด้วยความไม่เข้าใจ ก็เขาแค่คนแปลกหน้า  หากอีกฝ่ายหน้าเจื่อนไป รติกาลจึงเอ่ยเพื่อรักษาน้ำใจอีกฝ่ายว่า “แต่ขอบคุณในความหวังดีนะคะ หากมันเสี่ยงจริงๆ กาลยินดีให้คุณหาที่พักใหม่ให้ แต่เรื่องเงินไม่ต้อง” เธอบอกน้ำเสียงจริงจัง เมื่อถึงตอนนั้นจริงๆเธอคงมีรายได้มากกว่านี้ และนั้นอีกไม่รู้กี่ปีกว่าเธอจะบอกเขา... คำตอบที่ได้ มนัสยิ้มอย่างพอใจ เขาชอบผู้หญิงนิสัยแบบนี้ ไม่หน้าเงินไม่มักมาก อยากได้ใคร่ดีของผู้อื่นทั้งที่อีกฝ่ายเต็มใจให้...  แล้วความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้น ทั้งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน ว่าวันหนึ่งเขาจะรู้สึกแบบนี้ กับคนที่เพิ่งพบครั้งแรกทั้งที่ไม่ได้ศึกษาหรือสอบถามข้อมูลความเป็นอยู่กันเลยแม้แต่น้อย เขายินดี รับสาวสวยคนนี้เป็นน้องสาวหากหล่อนไม่ออกฤทธิ์ใส่เขาเสียก่อน... “ถึงแล้วค่ะ” เสียงแหลมเอ่ยบอก พร้อมชี้นิ้วไปยังบ้านที่มุงด้วยสังกะสีเก่าๆ ฝาบ้านเป็นปูนฉาบขึ้นมาจากพื้นดินครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งด้านบนเป็นสังกะสีที่บอกอายุได้ดีว่าผ่านแดดผ่านฝนมาหลายสิบปี รถคันหรูจอดนิ่งสนิทเลียบข้างทางโดยไม่ดับเครื่องยนต์ มนัสเปิดประตูและวิ่งออกไปยังอีกด้านอย่างเร่งรีบ เปิดประตูรถและประคองร่างบางให้ลุกขึ้น ก่อนจะพากันเดินไปยังประตูที่เป็นกระดานไม้อัดเก่าๆ ประตูที่ปิดมาจากด้านในถูกเคาะสองสามครั้งโดยเจ้าของบ้านสาวที่เพิ่งกลับมา สักพักก็มีเสียงหวานแหลมถามมาจากด้านใน “ยัยกาลใช่ไหมนั้น?” เสียงมาก่อน ไม่ถึง 10 วินาที ประตูก็ถูกเปิดออก ใบหน้าขาวซีดโผล่ออกมา โดยเจ้าตัวใส่แว่นหนาเกือบปิดบังใบหน้า ก่อนจะชะงักงัน มองหน้าเพื่อนรักและชายหนุ่มที่ยืนประคองกัน สลับกันไปมา “ใคร?” เธอร้องถามในวินาทีนั้นพร้อมถอยหลังตั้งหลัก เหมือนไม่แน่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า เพราะไม่เชื่อว่าอยู่กันมานานปีเพื่อนไม่เคยมีผู้ชายมาส่งถึงบ้านแถมกลับผิดเวลาอีก ใบหน้าซีดขาวอยู่แล้วกลับซีดหนักขึ้นอีก “เป็นอะไร ยัยอนงค์ ฉันเจ็บขาไม่เห็นหรือ จะประคองเพื่อนเข้าบ้านกลับถอยหลังซะงั้น มันน่าน้อยใจนักเชียว” คนผิดเวลาทำสีหน้าเง้างอด อรอนงค์ก้มลงมองยังตำแหน่งที่เพื่อน บอกก่อนจะอุทานออกมา “จริงด้วย ไปโดนอะไรมา?” “ประคองฉันเข้าไปก่อน เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง” ว่าแล้วคนที่ทำสีหน้าตกใจ ก็เดินเข้ามาแนบอีกข้างและประคองกันเข้าไป โดยเจ้าของบ้านไม่ลืมชวนผู้ชาย ที่ทำให้เธอมีสภาพขาเดี้ยง เข้าบ้านมาด้วยกัน “เข้ามานั่งก่อนสิคะ” มนัสนั่งลงตามคำเชิญของรติกาล แต่เมื่อสองสาวหันหน้าพูดคุย ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น มนัสที่ได้จังหวะจึงมองสำรวจสภาพภายในตัวบ้าน ไม่รู้ว่าเขาเก็บรายละเอียดอยู่นานเท่าไหร่ แต่เมื่อหันกลับมาที่สองสาว ก็เห็นว่าสายตาทั้งคู่มองมายังเขาอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงฉีกยิ้มเจื่อนๆส่งให้ จะมองอะไรนักหนา...? ความคิดของสองสาวตรงกัน หากแต่เมื่อเขาหันกลับมา ก็พบว่าสายตานั่น  ไม่ได้มองอย่างดูถูก หากเต็มไปด้วยความครุ่นคิดผสมความกังวล จากสีหน้าที่ย่นตรงหน้าผากอย่างเห็นได้ชัดและ ไม่กี่นาทีถัดมา สองสาวต้องหันสบตากันอีกครั้ง “ผมว่า คุณลองเอาข้อเสนอของผมไปคิดอีกทีดีกว่ามั้ยครับ” เมื่อได้ข้อสรุปทางสายตากับสิ่งแวดล้อม มนัสจึงเอ่ยตามความตั้งใจอีกครั้ง “ไม่ดีกว่า รบกวนคุณเปล่าๆ” รติกาลปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด โดยมีสายตาของเพื่อนสาวมองอย่างงงๆ หากแต่เก็บต่อมความอยากรู้และก็ตั้งใจฟังอยู่เงียบๆ “หากคิดว่าข้อเสนอของผม เป็นการรบกวนของพวกเธอ ค่อยค*****นให้ผมก็ได้” มนัสไม่ละความพยาม “นี่นามบัตรผม มนัส จักรพล โทรหาได้ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับ ‘น้องสาว’ ของ ‘พี่ชาย’” เขาบอกน้ำเสียงจริงจังและเน้นหนัก โดยมีสายตาและปากที่อ้าค้างของสองสาวที่หันหน้าเข้าหากันและทำตาปริบๆ               “....” คิ้วโก่งเป็นปื้นผูกปมนูนสูงจนน่าขัน ชายหนุ่มยักไหล่เสมือนบอกให้รู้ว่าไม่แปลก และไม่ผิดในคำพูดที่ได้เอ่ยออกไป ตามนั้น ไม่มีสายตาจาบจ้วง ไม่มีสายตาหื่นกระหาย ไม่มีสายตาประเมินค่าหรือดูถูก หากแต่เต็มไปด้วยความจริงใจที่มาพร้อมมิตรภาพ... ... รติกาลได้แต่ยิ้มเจื่อนๆตอบกลับ แต่ก็ยื่นมือไปรับแผ่นกระดาษตรงหน้ามาถือไว้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม โลกนี้อะไรมันจะแปลกกว่านี้อีกไหม?        
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD