ปัจจุบัน
บนถนนสายหลักเมืองหลวงของประเทศไทย ร่างหนาในชุดสูทราคาแพงนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเฮริค มิลลส์ตัล วัย 32 ปี นักธุรกิจหนุ่มเลือดร้อน หรือในวงการเดียวกันตั้งฉายาไว้ว่า ‘เสือร้ายนัยน์ตาสีฟ้า’ กำลังเร่งรีบเดินทางเคลียร์ปัญหาธุรกิจที่เขามีหุ้นส่วนดูแลอยู่
“เมลสัน หากนายขืนช้าไปกว่านี้ ฉันจะให้นายออกไปวิ่งแข่งกับรถเลยนะ” ความที่ไม่ได้ดั่งใจเฮริคจึงพาลลงเอากับคนสนิท
อีกฝ่ายส่งยิ้มเจื่อนๆ ผ่านกระจกหลัง “จะให้ผมทำไงล่ะครับก็รถมันติด ”
“เออน่า ทนรับไปหน่อยสิ แล้วคำว่าครับเลิกพูดได้ไหม อยู่กันสองคน จะครับทำไม”
ผู้เป็นนายมองค้อนให้จนน่าขำ คนโดนบังคับให้รับและเตือนในคราเดียว ฉีกยิ้มแล้วหันกลับไปสนใจถนนเบื้องหน้าต่อ
เมื่อไม่ได้อยู่ต่อหน้าธารกำนันคนอื่นๆ เฮริคต้องการให้เพื่อนรักกึ่งบอดี้การ์ดอย่างเมลสัน ปฏิบัติใช้ตัวให้เป็นเรื่องปรกติ นาย/ฉัน เท่านั้น
แม้มีบ้างบางครั้งที่เพื่อนสนิทคนอื่นๆเอ่ยถามถึงความเป็นมาระหว่างที่คบหาเพื่อนคนละระดับ เขาเลือกให้คำตอบกลับไปว่า
‘เพื่อนจริง คือเรากำหนดไม่ได้ว่าเขาจะมีฐานะและภูมิหลังยังไง รู้แค่ว่าตอนนี้เขาซื่อสัตย์และพร้อมสู้อุปสรรคไปกับเราก็พอ’
นึกไปถึงเพื่อนบางกลุ่มที่เคยดื่มกินจนเมาหัวราน้ำไปไหนไปกัน หากแต่ยามเกิดเรื่อง กลับไม่มีเพื่อนคนไหนกล้าเสี่ยงตาย หากแต่ชายหนุ่มแปลกหน้ากลับไม่คิดกลัว
เพราะความช่วยเหลือจากเมลสันเมื่อครั้งนั้น เมื่อเขาถูกรุมทำร้ายในผับ ทำให้เขาได้เพื่อนใหม่ และได้ชวนชายหนุ่มที่ช่วยเหลือตนเอง มาทำงานเป็นสมุนมือขวาช่วยตนที่เมืองไทยจนถึงทุกวันนี้...
“ติดได้ติดดี...” น้ำเสียงยังคงหงุดหงิด พร้อมมือหนาจัดการลดกระจกด้วยความอึดอัด เหมือนต้องการให้บรรยากาศภายนอกรับเอาความร้อนรุ่มของเขาออกไปบ้าง ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถราอย่างเหนื่อยใจ
“เรื่องปรกตินี่ครับ ไม่ชินอีกหรือ?” น้ำเสียงติดขำของบอดี้การ์ดที่เคยมีใบหน้าเหี้ยมเป็นนิจเอ่ยเย้า ทำให้อีกฝ่ายเห็นว่าฝ่ายนั้นตั้งใจกวนเขา
“คนมันร้อน นายก็อย่าขัดสิ” เขาว่าให้ พร้อมทิ้งสายตาไปยังคนขับอย่างเสียไม่ได้
แม้ไม่ใช่ลูกครึ่งไทยอังกฤษอย่างคนเป็นนาย แต่เมลสัน แมคคอน วัย 32 ปี สมุนมือขวามาเฟียหนุ่มพูดคุยสำเนียงไทยได้ชัดเจน ด้วยว่าอยู่เมืองไทยมานานเกือบสิบปี
แผ่นหลังกว้างเอนพิงเบาะหลัง สีหน้ายังเต็มไปด้วยความกังวล สิ่งที่สะกิดใจดึงดูดให้ฝ่ามือหนาขยับล้วงหยิบจับบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทราคาแพง กล่องกำมะหยี่สีแดงสด หากเป็นสิ่งที่เขาต้องการได้มันจากใจจริงคงไม่เป็นปัญหา...
มือเรียวหนาที่ไม่เคยหยิบจับงานหนัก กดลงบนกล่องกำมะหยี่บรรจงเปิดออกช้าๆ ความหนักใจตีแผ่บนใบหน้าหล่อเหลาดังเทพบุตรตามมา
แสงวาววับของประกายเพชรวูบวาบจับตายามกระทบแสง ทำให้เมลสันอดใจไม่ไหว มองผ่านกระจกด้านหลัง ด้วยความชื่นชมไปด้วยอีกคน
“สงสัย มาดามต้องการได้ลูกสะใภ้เต็มแก่” เขาแกล้งเย้า เท่าที่รู้มา ว่ามาดามหรือแม่ของเจ้านายได้ส่งแหวนพร้อมกับคำสั่ง... หาเจ้าสาวไว้รอท่านลงมาดู
“ใครบอก!” เสียงทุ้มเอ่ยขัดทันควัน ทำเอาคนที่รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ขมวดคิ้วหนาเป็นปม “บังคับให้หาให้ได้ แถมจะบินลงมาดูอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า... แล้วใครจะหาทันละ” ประโยคหลังเสียงแผ่วลง เหมือนเป็นการเปรยกับตัวเอง แต่คนที่อยู่ในรถคันเดียวกันได้ยินชัดเจน
นั้นปัญหาที่แม่ทิ้งไว้ให้เมื่อหลายวันก่อน....
น้ำเสียงจริงจังทำเอาเมลสันนิ่งอึ้ง หากแต่อีกฝ่ายเงียบไปเหมือนคนกำลังใช้ความคิด จึงเอ่ยตอบไป เหมือนสิ่งที่ได้ยินมานั้นสามารถแก้ไขได้ หากคิดจะทำ...
“ไม่เห็นจะยาก” เมลสันบอกสั้นๆ เรียกสายตาคมเข้มที่กำลังเหม่อมองสองข้างทางให้เปลี่ยนหันเข้ามาด้านในทันที
“อะไร ของนายเมลสัน อะไรยากอะไรง่าย?” เฮริคถามเพื่อนรักกึ่งบอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่อยู่ประจำกับตัวเองมาหลายปีอย่างไม่เข้าใจ
สีหน้าเรียบแฝงไปด้วยความจริงจังเป็นครั้งแรกที่ไม่ใช่เกี่ยวกับธุรกิจ เรียกรอยยิ้มจากเพื่อนสนิทอย่างเมลสันได้เป็นอย่างดี “เมียไง นายมีผู้หญิงในสต็อกตั้งมากมาย เลือกเอาสักคนสิ คนปัจจุบันที่นายกำลังไปเจอไง ยอมสละเวลาไปหาทั้งที่มีเรื่องอื่นต้องเคลียร์รออยู่อีกเยอะ มันต้องมีดีอยู่บ้างสิน่า” เพื่อนกึ่งบอดี้การ์ดเอ่ยแนะอย่างรู้ดี เพราะคู่ขาที่เจ้านายหรือเพื่อนรักของตน เคยควงบ่อยๆ มีทั้งนางแบบ ลูกสาวนักการเมือง และไฮโซโนเนมทั้งหลายแหล่รอคิวให้เรียกใช้ 24 ชั่วโมง
“เฮ้ย!! จะบ้าหรือไง”
แม้ประโยคที่เมลสันได้แนะนำออกมา จะทำให้เฮริคตกใจอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็เรียกรอยยิ้มและนัยน์ตากรุ้มกริ่มของเขาไปได้ชั่วครู่ เพราะสาวสวยที่เขาเลือกควง เป็นสิ่งเรียกความกระชุ่มกระชวยยิ่งกว่าบรั่นดีที่หมักไว้แรมปีเสียอีก
แต่ผู้หญิงคนปัจจุบันที่เพื่อนเอ่ยถึง เขาไม่คิดจะยกตำแหน่งนี้ให้หล่อนเลย แม้แต่ความต้องการทางร่างกายอย่างชายหญิงเขาก็ไม่มีให้เธอ...
เมลสันห่อปาก เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “... อย่างนั้นก็หาผู้หญิงที่มีคุณสมบัติพอจะเป็นแม่ศรีเรือนให้ ชั่วคราวสิ”
คำแนะนำที่ได้ยินทำเอาเฮริคหนุ่มไฟแรงหยุดชะงัก ละสายตาจากของในมือ มองสบตาคนแนะนำอย่างต้องการความกระจ่างอีกนิด
“ชั่วคราว...” เฮริคเอ่ยเบาๆ พลางคิดตาม แล้วตาลุกโพลงขึ้นอย่างเห็นด้วย “ความคิดเข้าท่า แต่จะหาแบบนั้นได้ที่ไหน”
“เอ่อ... อันนี้... ก็ไม่รู้” นาทีนี้คนเสนอแนะทำหน้าเหลอหลา เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าจะหาผู้หญิงแบบนั้นได้ที่ไหน
“ที่ทำงานไม่มีบ้างหรือไง ฉันว่าน่าจะเลือกได้สักคนล่ะน่า ค่าจ้างงามๆ ฉันว่าพวกหล่อนไม่กล้าปริปากแถมชอบซะอีก ที่จะได้ใกล้ชิดหนุ่มหล่อๆ อย่างนาย” ว่าให้เหมือนรู้ดีทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่อยากเข้าใกล้ผู้หญิงสักเท่าไหร่
“อืม...” ใบหน้าคมเข้มทำท่าคิดตามคำแนะนำ ภาพลักษณ์แม่สาวแต่ละนางลื่นไหลเข้ามาในห้วงความคิดของเฮริค ไล่ตั้งจากแม่เลขาสาวหน้าห้องที่สนิทที่สุดและไต่ระดับแผนกห่างออกไปเรื่อยๆ
ใบหน้าคมเข้มส่ายไปมาช้าๆ เขามองไม่เห็นทาง เพราะแต่ละนางยามอยู่ต่อหน้าเขาช่างกระแดะ จีบปากจีบคอ กรีดกรายไม่มีความเป็นธรรมชาติเอาเสียเลย คงทำให้คนเป็นแม่ขัดหูขัดตาอีกนั่นแหละ...
หากแต่ความคิดของเฮริคเป็นอันต้องสะดุดลง เมื่อรถที่นั่งเหวี่ยงเหมือนหักหลบอะไรบางอย่างข้างหน้ากะทันหัน จนผิดจังหวะ
“อะไร?...” คนไม่รัดเข็มขัดทางเบาะหลังร้องถาม โดยที่ตัวเองเกือบหัวคะมำหน้าคว่ำไปด้านหน้า ที่สำคัญใบหน้าหล่อเหลาเกือบเสียบไปตรงกลางระหว่างเบาะ พร้อมดันตัวเองให้กลับมานั่งตรงจุดเดิมที่เลื่อนออกไป ก่อนจะขยับเสื้อสูทราคาแพงเข้าที่ ใบหน้าฉงนคิ้วหนาผูกปมจนนูนสูง
“เฮ้ย...! แย่แล้ว...” คนอยู่เบาะหลังได้ยินเสียงตกใจของเมลสันเป็นคำตอบ นัยน์ตาคมสีฟ้าสดได้แต่จ้องมองเป็นเครื่องหมายคำถามไม่คลาย
เมลสันสีหน้าตกใจ เหงื่อแตกซิบๆ เพราะหลังจากที่เขาละสายตาจากท้องถนน ไม่กี่วินาทีหันกลับมาอีกครั้งหัวใจเกือบกระเด็นออกมานอกอก เมื่อเห็นร่างของใครคนหนึ่งในระยะกระชั้นชิด พร้อมเสียงกระแทกเบาๆในจังหวะที่เขาแตะเบรกให้รถหยุดอย่างกะทันหันและกระชั้นชิด
“ไม่น่าเล้ย!” เมลสันสบถพร้อมสะบัดศีรษะไปมา
“มีอะไร?...” คนด้านหลังถามซ้ำอีกครั้ง ทั้งสีหน้าอยากรู้เต็มแก่
“เอ่อ สงสัยชนคนแล้วล่ะ...” เมลสันหันมารายงาน
“หือ...ลงไปดูหน่อยสิว่าเป็นอะไรหรือเปล่า!!” เฮริคสั่งทันที พยายามโน้มตัวไปด้านหน้าเพื่อดูเหตุการณ์ แต่ก็มองไม่เห็นอะไร จึงตัดสินใจจะเปิดประตูลงไปดูเสียเอง
เมลสันรีบเปิดไฟกระพริบเพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้รถคันที่ตามหลังมารู้ว่าเกิดปัญหา และรีบปลดเข็มขัดนิรภัย แต่ก็เห็นเจ้านายลงจากรถไปก่อนแล้ว
“เฮ้อ!” บอดี้การ์ดหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ ยืนเกาศีรษะตนเองหลังจากก้าวลงไปยืนข้างเจ้านาย ความปลอดภัยของเฮริคเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขาที่สุด
“ทำไมซวยอย่างงี้เนี่ย” น้ำเสียงตัดพ้อ ว่ากับตัวเอง
หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งในชุดกางเกงยีนส์สีเข้ม เสื้อยืดสีขาวรัดรูปเน้นสัดส่วนบ่นอย่างหงุดหงิดหลังจากที่ต้องไปนั่งแหมะอยู่บนพื้น จากนั้นจึงรีบเก็บของที่หล่นจากมือกระจายเกลื่อนบนถนนอย่างรวดเร็ว
รติกาล คลี่ยิ้ม สายตาจับจ้อง อย่างโล่งใจเมื่อเหลือชิ้นสุดท้าย ก่อนจะยื่นแขนไปสุดเอื้อมมือเรียวเพื่อหยิบชิ้นที่อยู่ไกลสุด แต่สิ่งนั้นกับกระเด็นไปอีกด้าน จนทำให้เธอหงุดหงิด
เพราะจังหวะที่ยื่นมือออกไปคาดคะเนไว้ว่าต้องจับ แล้วยัดเข้าถุงพลาสติกให้ได้ แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ต้องการจะหยิบกระเด็นไปอีกด้าน ส่วนที่เธอจับได้เป็นหัวรองเท้าหนังสีดำสนิทมันปราบจนเกิดเป็นเงาสะท้อน สายตากลมจึงมองไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนเห็นใบหน้าเจ้าของรองเท้าหนังราคาแพงนั้น
“....”ดาราลูกครึ่งคนไหนเนี่ย? เคยเอามาเป็นอิมเมจในนิยายหรือปล่าวหนอ?... คิ้วเรียวขมวดมุ่น นึกย้อนกลับไป ก่อนจะดึงมือกลับ
เฮริคที่จับจ้องใบหน้าเกลี้ยงเกลามีไรผมปรกลงมาเล็กน้อย เพราะผมถูกเกล้าไว้อย่างง่ายๆ โดยใช้ไม้คล้ายตะเกียบเสียบผมไว้ ปล่อยให้ผมตกลงมาข้างๆ ขับใบหน้าเรียวมนให้ดูสะดุดตา แม้จะมีเหงื่อเม็ดใสผุดเต็มใบหน้า หากแต่ความสวยยังคงน่ามองจนเขาเองเกือบแสดงอาการเหมือนคนตะลึง อย่างกับเจอเครื่องประดับที่ถูกตาต้องใจ
และนั้นสายตาเข้มยังจ้องริมฝีปากบางที่อ้าค้าง แม้จะเป็นสภาพไม่น่ามอง ที่ผู้หญิงมองผู้ชายอย่างไม่ไว้ตัว แต่ปากบางจิ้มลิ่มสีชมพู เย้ายวนชวนให้น่ากดทับน่าสัมผัส จนเขาต้องรีบถอนสายตาจากดวงหน้าและริมฝีปากน่าพิสมัยนั้น เพราะหากขืนมองไปนานๆเขาไม่แน่ใจว่า คนอย่างเขาที่ชอบเอาแต่ใจ จะห้ามใจไม่ดึงหล่อนเข้ามาบดจูบซอนหาความหวานหอม อย่างคนไร้สามัญสำนึกได้หรือไม่ เพราะแค่เห็นดวงหน้าก็ทำให้น้ำลายที่มีอยู่น้อยนิดถูกกลืนลงท้องอย่างยากลำบากแล้ว
แม่มดชัดๆ... เฮริคบริภาษกับตัวเองในใจ เขานึกชื่นชมหล่อนมากกว่าด่าทอ หล่อนทำให้ไฟในกายเขาลุกโชนได้อย่างน่าแปลก ทั้งที่ไม่ได้สัมผัสผิวกายกันแม้แต่น้อย ผิดกับผู้หญิงคนอื่นๆหากหล่อนไม่เปลื้องผ้ากระโดดค้อมใส่เขาก่อน หรือเขาอดอยากปากแห้งมาเป็นแรมคืน อย่าหวังว่าเขาจะเล่นด้วยกับพวกหล่อน
ยิ่งคิดยิ่งอยากปลดปล่อย... เฮริคถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนจะรีบสลัดความคิดทิ้ง เมื่อเป้ากางเกงส่วนกลางเริ่มพองขยายตัวจนน่าเกลียด ดีที่ว่าเสื้อสูทตัวยาวบิดบังส่วนนั้นไว้ได้
รติกาลเริ่มปรับสมองประมวลภาพหนุ่มหล่อตรงหน้า สายตากลมโตเพ่งกว้างขึ้น สำรวจคนตรงหน้าใหม่อีกครั้งไม่ว่าการแต่งกายรูปร่างหน้าตา หัวใจรติกาลเต้นแรง ไปพร้อมๆกับสายตาที่ลากผ่านไปตามร่างกายที่มีเสื้อผ้าราคาแพงปิดทับ ดารานายแบบฮอลลีวูด ยังต้องชิดซ้าย...
เมลสันที่ตามลงมาติดๆมองหญิงสาวแล้วนึกขำ ต่างกันกับสายตาคมเข้มของเฮริคที่จับจ้องใบหน้าเกลี้ยงเกลามีไรผมปรกลงมาเล็กน้อย สำหรับเขามองหล่อน ว่าเป็นภาพที่น่ารักและน่าทะนุถนอมนัก สำหรับผู้หญิงท่าทางซื่อๆตรงหน้า และดีใจที่หล่อนผู้นี้ไม่เป็นอะไรอย่างที่เขากลัว ผิดกับเจ้านายที่ผู้ชายด้วยกันมองดูแล้วรู้สึกได้...
“คุณ” เมื่อยิ่งเพ่งมองเฮริคตัดสินใจเอ่ยเรียก ด้วยความรู้สึกบางอย่างเมื่อเขาเจอประกายตาประหม่าอยู่ภายในดวงตาคู่นั้น
“ฮะ?” สีหน้าอีหลักอีเหลื่อขานตอบพร้อมกระพริบตาปริบๆ เตรียมพร้อมอย่างดุษฎีหากอีกฝ่ายจะต่อว่าอะไรออกมา แต่สิ่งที่ทำให้ตะลึงไปมากกว่านั้น คือภาษาที่เอ่ยออกมาเป็นภาษาเดียวกับเธอต่างหาก!
สาธุ ขอให้พูดได้ไม่กี่ประโยคด้วยเถอะ... รติกาลแอบภาวนาให้ฝรั่งนัยน์ตาสีฟ้าเอ่ยภาษาถิ่นของเธอให้ได้น้อยที่สุด
รติกาลเริ่มอารมณ์ไม่คงที่ ยิ่งได้สบเข้ากับแววตาจริงจัง ความประหม่าแล่นปราดทั่วอณูร่างกาย โชคดีที่ไม่มีรถผ่านมาบีบแตรไล่ให้ร้อนใจเพิ่มขึ้นอีก ด้วยเพราะเหตุเธอเดินเซ่อซ่าไม่ดูทาง
“เจ็บตรงไหน เป็นอะไรบ้างหรือป่าว?” เสียงทุ้มนุ่มลึกเอ่ยสำเนียงไทยอย่างกับเจ้าของภาษามาเอง ทำเอาคนฟังอึ้งค้าง ตากลมโตเบิกกว้างอีกครั้ง
คำถามแรกยิ่งกว่าน้ำกรดที่มีพิษร้ายแต่หวานล้ำ เซาะลึกถึงแก่นใจ เพิ่มจังหวะการเต้นของหัวใจให้รติกาลตื่นเต้น ยิ่งกว่าหลีกหลบรถก่อนหน้าและนั้นทำให้เธอลืมให้คำตอบชายหนุ่มไป
“ตกลงคุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เฮริคเขาถามซ้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นอีกคนทำท่าเหม่อลอยเหมือนเด็กอยู่ในภวังค์เคลิ้มฝัน
เสียงทุ้มฟังดูอบอุ่นและห่วงใยอาการคนเซ่อซ่า รติกาล กลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ ก่อนจะรู้สึกตัวแล้วดีดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงโดยไม่ลืมหยิบสิ่งของชิ้นสุดท้ายติดมือมาและยัดใส่ถุงทันที โดยไม่กล่าวตอบอีกฝ่ายไป ด้วยว่าลิ้นชาไปชั่วขณะ
เมลสันยืนอยู่อีกด้านเมื่อเห็นว่าหญิงสาวลุกขึ้นยืนได้เองอย่างคล่องแคล้ว ก็มองสำรวจเพื่อความแน่ใจด้วยสายตาตัวเองและเมื่อมองไปดีๆก็พบว่า บนพื้นมีสิ่งของเป็นหลักฐานอย่างดี ว่าต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบหน้ารถเป็นแน่ และสิ่งนั้นคงเป็นสิ่งของที่หญิงสาวหิ้วอยู่ในมือ “เป็นอะไรมากหรือเปล่าคุณ?”
เสียงทุ้มที่เปล่งดังของอีกคน เรียกสติสัมปชัญญะ ทุกส่วนของร่างกายรติกาลกลับมาปรกติเหมือนเดิม “ อะ อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ” จากที่มองหน้าอีกคน รติกาลก็หันมายังอีกต้นเสียงหนึ่งและตอบคำถามให้ไป
ท่าทางเงอะงะของหญิงสาวผู้นั้นทำให้ นัยน์ตาสีฟ้าต้องหรี่มองอย่างพินิจใหม่อีกครั้ง แต่ภายในใจรู้สึกหงุดหงิดที่เขาถามหล่อนไปตั้งหลายครั้งแต่หล่อนไม่คิดตอบคำถามแต่เมื่อเมลสันถามไปแค่ครั้งเดียว หล่อนก็ตอบทันที
หึ!เขาส่งเสียงอย่างหนึ่งในลำคอ ก่อนกระตุกมุมปากขึ้นสูงและจางหายไป “ตกลงคุณไม่ได้เป็นอะไร แล้วทำไม...” เฮริคหยุดพูดกลืนความรู้สึกบางอย่างให้หายลงท้อง และความคิดใหม่เข้ามาแทนที่
คำพูดครึ่งๆ กลางๆต้องการเรียกร้องให้สายตากลมใสหันกลับมาสนใจตนเองและได้ผลเมื่อหล่อนหันกลับมาจริงๆเขาจึงเอ่ยต่อ “มาวิ่งตัดหน้ารถ หรือคิดจะหาเงินโดยวิธีการนี้หรือ?”
สิ้นคำถามใบหน้านวลหน้าซีดเผือดพร้อมริมฝีปากกัดเม้มจนเป็นเส้นตรง ก่อนจะถามด้วยสีหน้าไม่พอใจพร้อมๆกับลงน้ำหนักเสียงเท่าที่อารมณ์พาไป “คุณว่าไงนะ?” เธอถามซ้ำแม้จะได้ยินเต็มสองหู เพราะไม่อยากเชื่อ ว่าเป็นคำพูดของคนก่อนหน้านั้นที่เธอหลงซาบซึ้ง ทั้งที่หูเธอไม่ฝาด แต่คนถูกถาม กลับแบหน้ายักไหล่อย่างไม่แคร์
หากไม่ไม่อายว่าผู้คนจ้องมอง เธออยากตะกายหน้าผู้ชายตรงนี้ให้หมดหล่อ หากทำได้!
เมลสันใบหน้าเจื่อนลง คิดไม่ถึงว่าคำพูดนั้นเจ้านายหรือเพื่อนชายของตนจะเอ่ยออกมาเช่นนี้ หากจะอ้าปากคั่นกลางแต่ก็ต้องชะงักค้างเมื่อเสียงทุ้มของอีกฝ่ายดังแทรกขึ้นอีกครั้ง
“ยืนใกล้กันแค่นี่ยังได้ยินไม่ชัดอีกหรือ ฉันถามว่าเธอแกล้งเอาตัวเองมาให้รถฉันเฉี่ยวชนเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายใช่ไหม?”
ร่างสมาร์ทในชุดสูทเอ่ยประโยคเน้นชัด พร้อมขยับเท้าเข้ามาใกล้ร่างบางตรงหน้าอีกนิด รติกาลขยับไปถอยหลังอีกหน่อยด้วยรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่อยากให้ความห่างกระชั้นชิดเกินไปเพราะแค่สายตาที่อีกฝ่ายมองมา เหมือนจะเก็บเกี่ยวรูปพรรณสัณฐานของเธอจนเกือบจะทะลุจนเห็นเนื้อ
เมื่อได้จังหวะจนเป็นที่พอใจ รติกาลจึงตอบกลับไปว่า “ ดิฉันไม่ได้แกล้ง”
เธอบอกไปตามความสัจจริงพร้อมมองพื้นถนนที่เป็นเหตุให้เธอข้ามถนนผิดจังหวะ เพราะพื้นถนนขรุขระในช่วงนั้น ทั้งที่คาดคะเนระยะทางไว้ดิบดีว่าต้องผ่านไปได้สบายแต่เปล่าเลย เธอสะดุดพื้นยางมะตอยที่เป็นคลื่นสูงขึ้นมาเหนือพื้นเล็กน้อยอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็ในเมื่อเธอระวังที่สุดแล้ว
“จะให้ผมเชื่อได้ไงว่าคุณไม่ได้คิดแบบนั้น” สายตายังไม่ละจากร่างอรชรบอบบางในเสื้อผ้ารัดกุม
ริมฝีปากบางกัดเม้มจนสนิทแน่น ...คำพูดอาจจะไม่เชื่อกันได้เธอเข้าใจ ว่าคนเราสมัยนี้อยู่บนความหวาดระแวงไม่ว่าเวลาใด ไม่เลือกเพศเลือกเวลา พวกมิจฉาชีพอยู่ได้ทั่วทุกพื้นที่ หากแต่สำหรับเธอมันไม่ใช่! ยิ่งสายตาที่มองเหมือนดูถูกกัน มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนคนชั้นต่ำ ส่งผลให้คนที่มีศักดิ์ศรีกล้าพอโต้กลับไป เมื่อสิ่งที่เขากล่าวหามานั้นมันไม่จริง
“หึ หากคุณเอาความคิดคุณมาเป็นบรรทัดฐานในการถามดิฉัน ขอให้คุณกลับไปคิดใหม่นะคะ เพราะดิฉันยังมีงานต้องทำและมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอีกเยอะ ไม่ยอมเอาตัวเองมาเสี่ยงกะแค่ผลที่จะตามมาแบบไม่รู้ว่าจะคุ้มหรือไม่คุ้ม” รติกาลไม่ยอมน้อยหน้า เอ่ยวาจาเผ็ดร้อนโดยไม่ต้องอุ่นเครื่องให้เสียเวลา เมื่อคนตรงหน้าไม่ให้เกียรติ์กัน เธอก็ไม่รู้จะเสแสร้งแกล้งใจเย็นไปทำไม