มาเฟียหนุ่มรูปงาม ออกอาการเหวอกับวาจาของผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ต่อว่า เลือดขึ้นหน้า “นิเธอ!” นิ้วชี้เรียวยาวชี้ไปยังคนตรงหน้า
เมลสันที่ยืนอยู่ใกล้รู้สึกบรรยากาศไม่ค่อยดี เขารู้สึกฉงน ผิดคาด ทั้งที่จริงก่อนหน้าดูเจ้านายจะสนใจผู้หญิงคนนี้ด้วยซ้ำ...
จะห้ามรึ? เมลสันก็ไม่กล้าเสี่ยง ยิ่งได้เห็นใบหน้าสวยคมเชิดขึ้น ริมฝีปากอิ่มอมชมพูเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง แสดงสีหน้ารับคำอย่างไม่เกรงกลัว เมลสันรู้สึกเหมือนกลืนก้อนหินลงคออย่างไรอย่างนั้น
“เอ่อ... นาย ” แม้จะมีเสี่ยงกลับลูกหลงอยู่บ้าง แต่เมลสันไม่อาจปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น อีกทั้งไม่ต้องการให้เพื่อนรัก ยืนทะเลาะกับผู้หญิงในที่สาธารณะโจ่งแจ้งแบบนี้ เพราะมันไม่เหมาะ ที่สำคัญเขาเห็นว่ากล่องสีแดงสดเปิดอ้า?
“อย่ามาเรียกนะเมลสัน” คนถูกขัด ร้องห้ามคล้ายคนพาล
หากมีอะไรเข้ามาขวางตอนนี้ เขาอาจยั้งใจไม่อยู่กระชากสิ่งกวนใจมาลงทัณฑ์ให้หนำใจ
แต่เมื่อคิดว่าเมลสันคงหวังดีถึงได้เรียกให้เขาได้รู้สึกตัว “มีอะไรว่ามา” ถามไปแล้ว เขาได้แต่พ่นลมหายใจทิ้ง เมื่อทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าค้อนลมค้อนฟ้า
หล่อนทำให้เขาหงุดหงิด แล้วอย่างนี้เขาจะยอมปล่อยสาวตรงหน้าไปอย่างง่ายดายได้หรือ ต้องหาทางเอาคืนให้ได้ ฐานที่ปากกล้าว่าเขาในที่ สาธารณะและต่อหน้าลูกน้องของเขา...
สายตากลมโตแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่นไม่หวั่นเกรงตวัดมองคนที่ขยับท่าทาง เพื่อเตรียมพร้อมหากอีกฝ่ายจะประทุษร้ายโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย เพราะเธอกล้าลองดีกับคนที่เขาเรียกว่า ‘นาย’ แต่กลับกันเมื่ออีกฝ่ายขยับและพูดขึ้นว่า
“ผมขับรถไม่ดูทางเองครับ” และนั้น เฮริคเหมือนจะกระโดดกัดคอคนพูดเสียให้ได้ เพราะเท่ากับว่า เขาเป็นคนไม่มีเหตุผลและหาเรื่องผู้หญิง!
เมลสันรู้ตัวว่าตนเองเผอเรอละสายตาจากท้องถนน ดีที่ว่ารถไม่เร็วจึงหลบได้ทัน “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ผมละกลัวคุณจะเจ็บ ขอโทษนะครับ” เมลสันเอ่ยอย่างสุภาพ และนั้นทำให้เฮริครู้สึกขัดนัยน์ตาเป็นอย่างมาก
“ขอบคุณค่ะที่ถาม ดิฉันไม่ได้เป็นอะไร แต่ที่เป็นมากคือใจของคนบางคนมากกว่า หากไม่มีอะไรแล้วดิฉันต้องขอตัวก่อน” รติกาลอดเหล่ตา และอดทิ้งน้ำหนักเสียง ให้ไปกระแทกอีกคนที่กำลังมองฟ้ามองอากาศ อย่างกับไม่เคยเห็นบรรยากาศแถวนี้ไม่ได้
“เธอนี่มัน!” คนโดนกระแทกด้วยคำพูดและสายตา รู้ตัวดี ร่ำๆ จะบีบคองามระหงที่บังอาจทำให้เขาเสียเวลา เมลสันได้แต่กดยิ้ม พร้อมส่งสายตาห้ามเพื่อนชายไปในตัว
เมื่อมาเฟียอย่างเฮริค มิลลส์สัน นักธุรกิจใหญ่และผู้มีอิทธิพลกว้างขวาง โดนหญิงสาวที่ไม่เคยพบหน้าค่าตาตอกกลับถึงสองครั้งอย่างไม่กลัวเกรง มันเหมือนเสือโดนลูบคมเขี้ยว เขาได้แต่กดอารมณ์จนร่างกายสั่นเทิ้ม
จังหวะเดียวกันที่รติกาลหันหน้ากลับมามองชายหนุ่มที่เป็นลูกน้อง สายตาของเธอ ก็ผสานกับสายตาคมนัยน์ตาสีฟ้าสดภายใต้ขนตายาวเป็นแพนั้นอย่างไม่ตั้งใจ และนั้นทำให้เธอตระหนักแล้วว่าราคารูปลักษณ์ทั้งหมดที่เธอเคยมองอย่างชื่นชมก่อนหน้านั้น ณ ตอนนี้ไม่เหลือในสายตาของเธอแม้แต่น้อย เธอจึงทำเมินเสีย
“คุณไม่เป็นอะไรจริงๆหรือครับ” เมลสันถามย้ำอีกครั้ง พร้อมใช้สายตาสำรวจไล่ไปตามร่างบางระหง ใจหนึ่งอยากให้สายตาที่จ้องมองเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อแยกห่างจากกัน
“อ้อ ค่ะ ไม่เจ็บ” เธอบอกตามความเป็นจริงพร้อมยิ้มบางๆให้
“หึ ให้ค่าทำขวัญไปหน่อยสิ เมลสัน” คนถูกเมินแทรกขึ้น อย่างหมั่นไส้
“หะ ครับ” สิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน ทำเอาเมลสันอึ้งไปแต่ก็รีบทำตามทันที
เมื่อเห็นอีกฝ่ายล้วงกระเป๋าหนังใบเล็กออกมา รติกาลจึงรีบร้องห้ามออกไปเช่นกัน “ไม่ต้อง บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรไง ขอโทษนะคะดิฉันขอตัว” เธอตัดปัญหาจึงรีบเบี่ยงตัวเพื่อเลี่ยงออกไป ที่สำคัญเธอไม่ต้องการเงิน แค่อีกฝ่ายน้ำใจไต่ถาม มันก็มากพอสำหรับเธอ
“จะไปไหน? หยิ่งก็เป็น” ประโยคแรกเหมือนจะเป็นคำสั่งที่จะรั้งให้อีกฝ่ายอยู่ต่อ หากแต่กลับต่อประโยคหลังให้อีกฝ่ายเจ็บใจเล่น พร้อมแขนแกร่งยื่นกั้นห่างแค่เพียงนิดหน้าอกเต่งตึงคู่งามเกือบสัมผัสแขนแกร่งนั้นอย่างไม่ตั้งใจ
ประโยคคำพูดและการกระทำของอีกฝ่ายเหมือนดูถูก ทำให้สาวสวยที่รักศักดิ์ศรี เริ่มออกอาการนับหนึ่งถึงร้อยในใจ “อะไรของคุณ?” เอ่ยเสียงแหลมพร้อมมือเรียวสะบัดแขนหนาตรงหน้าออกห่าง ด้วยความตกใจเมื่อรับรู้ความฉิวเฉียดที่ห่างกันไม่ถึงเซ็น
ตุ้บๆๆ!...
เสียงและสิ่งของที่กระเด็นกระดอนลงไป เป็นจุดเด่นของสายตาทุกคู่ โดยเจ้าของตาคมเข้มนัยน์ตาสีฟ้าตะลึงค้างจับจ้องกล่องกำมะหยี่สีแดงกระเด็นกระดอนหลุนๆ ตกลงข้างรูท่อระบายน้ำ ในสภาพฝาเปิดอ้า ใจหายวาบความตกใจไม่อาจทำให้เขาก้าวขาออกไปคว้าสิ่งนั้นได้ จนมันหล่นลงและหายไปจากสายตา เขาจึงได้สติกลับมา
“นิเธอ ทำอะไรลงไป ของของฉันเธอรู้ไหมว่ามันราคาเท่าไหร่?” เสียงแข็งกระด้างเอ่ยกร้าวพร้อมตาคมเข้มจิกมองจนดูน่ากลัว มองใบหน้าหวานคมสลับกับมองกล่องที่กระเด็นหลุดมือไปอย่างคาดไม่ถึง
เมลสันที่ยืนอยู่ไม่ห่างก็ตกใจไม่แพ้กัน เริ่มร้อนๆ หนาวๆ เตรียมรอเสือใหญ่อาละวาด
“ฮะ?” ตากลมโตเกือบถลนมองเป็นเครื่องหมายคำถาม
“คุณทำของผมตกลงท่อ”
“มะ มันเกี่ยวอะไรกับดิฉันด้วยล่ะ” เธอตอบน้ำเสียงขลุกขลัก ไม่มั่นใจว่ารอบนี้ เธอหนีพ้นสายตาดูแคลนนี้ได้หรือไม่ เพราะเรื่องเก่าไม่ทันคลาย เรื่องใหม่ก็เข้ามาแทนที่ โอ๊ย อยากจะบ้า!
“ก็เธอเป็นคนปัดมันกระเด็นตกลงไป แล้วรู้ไหมว่าของของฉันราคาเท่าไหร่ เพชรที่ใช้กี่กะรัตเธอรู้เปล่า ห๊ะ?” คนดูดีเอ่ยถาม รติกาลได้แต่เบิกตากว้าง
เธอไม่ได้ตกใจกับราคาเพชรกี่กะรัต แต่ตกใจที่อีกฝ่ายยัดเยียดข้อหาให้ ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของเธอ เขาเองต่างหากที่ไม่ระวังหรือเรียกว่าเซ่อซ่าเอาของมีค่ามาถือไว้จนเป็นเหตุ
“ฉันจะไปรู้ราคาของคุณเหรอ ฉันไม่เกี่ยว ฉันต้องไปแล้วล่ะ ฉันมีงานต้องทำ...” เมื่อคนตรงหน้ากลายเป็นคนไม่มีเหตุผล เธอก็เป็นได้เช่นกัน
คำสรรพนามเด่นชัด บอกให้รู้ว่าแม้จะเป็นชาวต่างชาติแต่หากพูดจาไม่เข้าใจ เธอก็พร้อมแสดงออกตามอารมณ์ “หลีกค่ะ” เธอบอกอีกครั้ง รู้สึกอึดอัด เริ่มไม่สบอารมณ์คนตรงหน้าที่พยายามทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่นั้น
“เธอยังไปไหนไม่ได้!” เสียงนั้นคล้ายคำสั่งที่อีกฝ่ายต้องทำตาม และเขาไม่ได้พูดเพียงอย่างเดียว มือหนาคว้าหมับบนข้อมือเรียวพร้อมบีบกระชับเหมือนเป็นการบีบบังคับให้อีกคนทำตามคำสั่งของเขา
เมลสันได้แต่อ้าปากค้าง ไม่คิดว่านายของตนจะคิดว่าสาวสวยเป็นคนก่อเรื่อง หากแต่จะร้องห้ามกลัวเป็นการกระตุ้นให้ต่อมโทสะเจ้านายสูงขึ้น เพราะคิดว่าคนของตนเองกำลังปกป้องคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้านายของตัวเอง...
“เจ็บนะ ปล่อย!” เธอร้องบอก หากแต่สายตากวาดไปเห็นว่าพวกตนกำลังเป็นจุดสนใจของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา จึงเบาเสียงลง
“แหวนฉัน... เธอต้องชดใช้ให้ฉัน ไม่เช่นนั้นเธอกลับไปหน้าไม่สวยแน่” เขาขู่กระซิบน้ำเสียงกดต่ำขยับบอกชิดริมหูขาวสะอาด
กลิ่นหอมอ่อนๆ ตามไรผมที่สะบัดไหวตามสายลมพร้อมกลิ่นหอมจางๆปะทะจมูกโด่งเป็นสัน จนเจ้าของจมูกโด่งอดใจไม่ไหว เผลอสูดเข้าไปจนเต็มปอด เลือดลมในกายตีแผ่กระจายตอบสนองกลิ่นสาบสาวข้างกาย จนรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นผิดจังหวะ ยิ่งกว่าตอนเขาเพ่งมองริมฝีปากหล่อนเสียอีก
เฮริครีบผละห่าง เมื่อนึกได้ว่าตนเองเสียเวลามามากพอแล้ว ที่สำคัญเขามีนัดถึงสองแห่ง
“....” ตากลมโตตะลึงนิ่งไปเป็นครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเมื่อได้สติ “อย่าเอาความป่าเถื่อนของคุณมาใช้กับคนอย่างพวกเรา” น้ำเสียงหนักแน่นเอ่ยบอก ตอนนี้แค่หน้าตาหล่อเหลา ก็ไม่สามารถเรียกความรู้สึกปลาบปลื้มก่อนหน้ากลับมาได้
“เธอรู้หรือว่าฉันไม่ใช่คนไทย”
“ไม่... หรือถึงเป็นก็แค่ลูกครึ่ง”
“ลูกครึ่งแล้วทำไม มันไม่ดีตรงไหน?”
“ก็แล้วมันดีหรือเปล่าล่ะ มายัดเยียดข้อหาแถมขู่กรรโชกทำร้ายร่างกาย มันน่าภูมิใจหรือไง หากคนไทยมีนิสัยแบบนี้”
“จะปากดีมากไปแล้วนะ” กรามหนาบดเข้าหากันจนสันนูน แม้หน้าตาจะไม่ใช่ไทยแท้แต่เขาก็รักความเป็นไทยที่คนเป็นแม่สอนไว้เสมอ ‘เกิดเป็นคนไทยแม้จะครึ่งหนึ่งแต่ก็มีหัวใจดวงเดียวเหมือนกัน รักสามัคคีไม่เบียดเบียนคนที่อ่อนแอกว่าเป็นใช้ได้’คำสอนที่เขาจำขึ้นใจ
แต่กับผู้หญิงคนนี้ ไม่รู้สินะ เขาจะเห็นเธออ่อนแอกว่าหรือไม่ ในเมื่อหล่อนเถียงคำไม่ตกฟาก และตอนนี้เขามีเกมเล่นใหม่อีกแล้ว...
สายตาคมเชือดเฉือนต่างไม่ยอมกัน ก่อนจะหันไปสั่งอีกคนอย่างกลั้นอารมณ์ไว้ขีดสุด “เมลสัน จัดการโทร.ให้มิกซ์มารับ ฉันต้องทิ้งนายไว้ที่นี่ จัดการเช็กข้อมูลผู้หญิงคนนี้ไว้ให้ดี ไม่เช่นนั้นฉันจะถือว่านายไม่ทำตามคำสั่งฉัน”
เฮริคยอมให้ก่อนเพราะเขายังมีงานที่ต้องทำ แต่หากไม่ติดธุระสำคัญที่ไหน เขาไม่ปล่อยให้สาวสวยตรงหน้าได้หยิ่งผยองจองหองใส่เขา โดยที่ไม่ได้สั่งสอนเป็นแน่
เมลสันที่โดนเปลี่ยนคำสั่งงานหน้าเหวอพอๆ กับคนที่กำลังโดนข้อหาทั้งที่ไม่รู้ว่าเธอได้ทำอะไรลงไป
“นายๆ/ ว้าย!” คนโดนรับงานใหม่ ร้องออกมาอย่างตกใจพร้อมกับเสียงหวานแหลมเมื่ออยู่ๆ รางบางก็ถูกเหวี่ยงไปอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของอีกคน โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ทันตั้งตัว
“จัดการซะ แล้วฉันจะรอฟัง” เสียงเหี้ยมเอ่ยย้ำ พร้อมเดินอ้อมไปอีกฝั่งอย่างไม่ใส่ใจ
อาการมึนงงมองท้ายรถเมอร์ซิเดสเบนซ์คันหรูเคลื่อนออกไปด้วยความเร็วเมื่อถนนโล่งเหมือนเป็นใจ
เมลสันค่อยๆ ดันร่างบางสมส่วนที่ยังอยู่ในอาการค้างออกห่างจากอกของตนเองอย่างแผ่วเบา พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “เอ่อ ผมขอโทษด้วยนะครับ” เพราะเขารู้ดีว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สาวสวยผู้นี้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
รติกาลเริ่มรู้สึกตัวขยับยืนไปไกลหลายก้าว “นี่... ตกลงมันเรื่องอะไรกันคะ?” รู้สึกเบลอๆ สมองเหมือนมีตัวหนังสือนับหมื่นตัวลอยวน หากแต่เอามาเรียงเป็นตัวหนังสือหรือประโยค กลับหาไม่เจอว่าจะเริ่มจากตัวไหนหรือสระใดก่อน
“คือ...” เมลสันไหวไหล่ โดยไม่มีคำตอบแน่นอนให้หญิงสาว
“แหวน ทำไมไม่งมหากัน มันแพงไม่ใช่หรอ” เธอคิดและห่วงทรัพสินของคนอื่นขึ้นมา
เมลสันเหมือนนึกขึ้นได้ เท้าหนาก้าวเดิน และก้มๆมองๆตรงรูที่กล่องกำมะหยี่ตกลงไป แล้วส่ายหน้า “คงหาเจอหรอกครับ น้ำดำและเหม็นมาก ที่สำคัญมันคงลอยไปไหนต่อไหนแล้วละ” รติกาลได้ยินแบบนั้นก็เดินไปดู เพื่อให้เห็นกับตา และมันก็เป็นไปอย่างที่อีกคนพูด
“บ้าที่สุด”