รติกาลกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก สายตากวาดมองฝ่าความมืดไปรอบๆ เธอไม่ดีใจที่แท็กซี่ไม่เก็บค่าโดยสารหากเป็นไปได้เธออยากเพิ่มราคาแล้วให้พาไปให้ถึงจุดหมายปลายทางเสียดีกว่าเพราะถนนเปลี่ยวเรียกความรู้สึกหวาดกลัวภัยที่มองไม่เห็น
ร่างหนาสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาปะทะกับสายตาเรียกอุณหภูมิในร่างกายให้ปั่น ป่วน เมื่อเห็นชัดว่าเป็นใคร “คุ คุณ!”
“ดีใจจังได้เจอคุณที่นี่” เสียงทุ้มเอ่ยได้หน้าตาย ทั้งที่ในใจเดือดปุดๆ เพราะ ‘คุณ’ที่เขาเอ่ยถึง บังอาจกล้าขัดคำสั่งและหลบหนีมาได้
ใครจะไปดีใจกับคุณกันเล่า... รติกาลย้อนกลับในใจ ก่อนจะถอยหลังเตรียมเผ่น
“อย่าคิดหนีผมเป็นครั้งที่สอง” เหมือนเขาจะรู้ว่าหล่อนกำลังคิดทำอะไร
รติกาลหน้าถอดสี สายตาที่หาทางหนีทีไล่ มองสบตาคนเอ่ยในเงามืดสลัว ...แค่เห็นประกายตาจริงจังนั้น มันก็ทำให้ใจของเธออ่อนยวบ เพราะความคิดที่ว่าไม่น่าพลาดทำลงไป...
“ว่าไง แล้วนี่จะไปไหนล่ะ” เขาเอ่ยถามพร้อมใช้สายตากวาดมองอย่างจับสังเกต
“เอ่อ... ไม่ได้ไปไหน”
“จะให้ผมแกล้งเชื่อคุณดีหรือเปล่าล่ะ”
ตากลมใสกรอกไปมา “คุณรู้แล้วจะถามอีกทำไม”
“หึ...ขึ้นรถ”
“ไม่!” รติกาลรีบบอกปัดเสียงแข็ง ตากลมไหวระริก
แน่นอนเธอหนีคนของเขามาแล้ว จะให้ไปกับเขาดีๆ แล้วแบบนี้ เธอจะหนีมาให้ลำบากเพื่ออะไร...
“อย่าเรื่องมาก คุณกับผมมีเรื่องต้องเคลียร์กันอีกเยอะ” เขาว่าและไม่ฟังคำปฏิเสธ คิดแค่ว่ายังไงเขาก็เป็นต่อหล่อนอยู่ดี
“ไม่ ฉันไม่มีปัญญาจ่ายเงินค่าแหวนคุณหรอกนะ”
“ไม่มีก็ทำอย่างอื่นชดใช้”
ดวงตากลมขยายกว้างกว่าเก่า พร้อมส่งเสียงออกมาจากลำคอเป็นคำถาม “หะ...”
“ไปขึ้นรถ คุณทำผมเสียเวลามามาก” เฮริคเอ่ยตอบอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด จ้องมองตาคมที่จ้องตอบ ริมฝีปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย เขามั่นใจว่าแววตากลมใสไม่มีแววล้อเล่น แต่เขาแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอิดออด มือหนาจึงคว้าหมับบนข้อมือเรียว อีกฝ่ายสะดุ้งพลามก่อนจะใช้กำปั้นเล็กๆทุบลงไปบนหลังมือหนาและร้องบอก “ปล่อยนะ ฉันไม่ไปกับคุณ”
“อย่ามาทำเป็นมากเรื่อง ผมบอกแล้วไงว่าคุณกับผมมีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว”
“แต่ฉันไม่ต้องการมี ปล่อยฉันเดียวนี้นะ! ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย...”
“อ้าวเฮ้ย!”
อาการขัดขืนทำให้เฮริคเริ่มหัวเสีย หากนั้นยังไม่พอ หล่อนมาพร้อมเสียงร้องอีกต่างหาก กรามหนาบดเข้าหากัน ก่อนจะตัดสินใจตะปมปากที่ส่งเสียงด้วยมือหนาที่ว่างอยู่ให้เงียบลงแต่ไม่ง่ายอย่างที่คิดเมื่อหล่อนไม่ยอมให้เขาทำลายอิสภาพได้ง่ายๆ
ภาพหนุ่มสาวกำลังกอดปล้ำกันอยู่บนไหล่ทาง เรียกความอยากรู้ของปนัชดาว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อผู้ชายที่เธอมาด้วยออกอาการเหมือนคนหัวเสียตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์ครั้งแรกและครั้งที่สองเป็นเขาที่โทร.ออกและตอนนี้กลายเป็นว่าเขากำลังเล่นไล่จับกับผู้หญิงที่เธอไม่รู้ว่าเป็นใครกลางถนน...
“มีอะไรกันหรือคะ” เสียงหวานแหลมของปนัชดารีบโพล่งถามตั้งแต่ไม่ทันถึงตัว ด้วยคิดว่าหากขืนเธอช้าต้องมีใครเกิดการเจ็บตัวขึ้นเป็นแน่ เพราะอีกคนตัวโตอีกฝ่ายตัวเล็ก อาจพลาดท่าเสียทีได้
“อะ /หะ!” สองเสียงประสานกัน พร้อมหันมองต้นเสียง ร่างหนาที่โอบเอวคอดเกือบมิดหายไปในอ้อมแขนผละออกห่างพร้อมกัน แต่มือหนากลับจับข้อมือเรียวไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ว่าไงคะเฮริค กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ” น้ำเสียงหวานใส ตากลมใสไม่ได้ขุ่นเคืองแสดงออกมาแต่อย่างใด มีก็แต่ความแปลกใจและอยากรู้เท่านั้น
“อะอ้อ เด็กที่บ้าน...” เขาปดทั้งที่ไม่ใช่นิสัยของนักธุรกิจอย่างเขาเลย
“เด็ก...เด็กรับใช้หรือคะ” ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะใช้สายตาสำรวจร่างกลมกลึงในชุดเรียบง่ายกางเกงยีนเสื้อยืด
คนที่เผอิญผ่านมาให้เจอเรื่องราวน่าปวดหัวถูกยัดเยียดตำแหน่งเด็กรับใช้รีบส่ายหน้า หากจะอ้าปากเอ่ยบอกปฏิเสธออกไป ก็ได้รับความปวดแปลบตรงข้อมือ เมื่อนิ้วเรียวหนาของอีกคนกดบีบจนรู้สึกชาไร้เลือดหล่อเลี้ยง ปล่อยให้เขาว่าไป
“ครับ เด็กรับใช้” เขายืนยัน
“... งั้นก็พาเธอกลับไปพร้อมกับเฮริคด้วยสิคะ”
เฮริค กระตุกข้อมือให้อีกฝ่ายเตรียมพร้อม เพราะเขาต้องพาหล่อนไปกับเขาแน่นอน
และสิ่งที่มาเฟียหนุ่มอย่างเฮริคก็ไม่ทันได้คาดคิด ขาเรียวงามยกขึ้นเตะผางเข้าหว่างขาตรงกล่องดวงใจอย่างจัง “โอ๊ะ อูย!!” เสียงทุ้มก็ส่งเสียงครางออกมา พร้อมเต้นโหยงขึ้นลง มือหนากุมเป้ากางเกงไว้ โดยมีปนัชดายืนมองอย่างตะลึงค้าง ยกมือเรียวปิดปากตัวเองด้วยความตกใจปนหวาดเสียว
“ระ ร้ายมากนะ ฝากไว้ก่อนเถอะ...” กรามหนาของเฮริคบดเข้ากันจนสนิทแน่น น้ำเสียงผ่านลอดไรฟัน ตาคมดั่งเหล็กกล้าจ้องมองหล่อนอย่างหมายมาด หากแต่สีหน้าบิดเบี้ยวเขียวคล้ำสลับแดงด้วยพิษสงที่หญิงสาวมอบให้ อย่างคาดไม่ถึง
เฮริคมองตามแผ่นหลังที่มีกระเป๋าเป้สะพายวิ่งออกไปไกลสายตาขึ้นเรื่อยๆ
“ตกลง... คนรับใช้ทำผิดอะไรหรือเปล่า แล้วทำไมเขา กล้าทำร้ายเจ้านายได้ล่ะคะ” น้ำเสียงร้อนรนบวกกับความไม่เข้าใจเอ่ยถาม เฮริคถอนหายใจยาวๆเข้าออกก่อนจะยืดตัวยืนเต็มความสูง
“ก็มี แต่ไม่ร้ายแรงอะไร เราไปกันเถอะ” เขาตัดบท ก่อนจะเดินนำรถ โดยมีสายตากลมโตของปนัชดามองตาม
ไม่น่าจะใช่นะ… ปนัชดาค้านกับสิ่งที่เห็น ครั้นคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องอะไรที่ต้องเก็บเอามาคิด จึงสลัดเรื่องคนรับใช้ทิ้งไปและรีบเดินตามหลังร่างหนาไปติดๆ