Code Line 6
“บ้าจริง สองปีอะไรทำไมไม่พูดให้จบ” ฉันมองหน้าจอโทรศัพท์ที่โชว์วีดีโอพี่วินที่เล่นจบแล้ว ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันสองสามวันฉันกลับทำตัวสนิทกับพี่วินไหนจะกลุ่มพี่ๆอีกมันออกจะแปลกไปสักหน่อยสำหรับคนอื่นแต่ฉันคิดว่าที่ทั้งกลุ่มเพื่อนฉันและกลุ่มเพื่อนพี่วินสนิทกันเร็วแบบแปลกๆเป็นเพราะว่าทั้งนพและพี่นนท์เป็นพี่น้องกันเลยทำให้พวกเราเจอกันบ่อยและทำให้สนิทกัน ฉันคิดว่านะคิดว่าต้องเป็นแบบนั้นนั่นแหละ
ตลอดทั้งคืนฝนตกหนักกระทั่งช่วงเช้าฝนก็ยังไม่หยุดตกฉันที่มีเรียนเช้าก็ต้องเดินกางร่มลัดเลาะไปตามขอบฟุตบาตร ถ้าให้นั่งรถรถเมล์วันนี้คงไม่ถึงมหาลัยอะนะรถติดแทบจะไม่ขยับเลยเดินไกลหน่อยแต่ถึงชัวร์ แต่พอมาถึงอาคารเรียนฉันก็ชุ่มเล็กน้อยเพราะฝนตกลงมาอีกละลอกและร่มคันเล็กเกินไป ฉันว่าฉันควรไปซื้อร่มฃที่กางตามร้านแผงลอยดีกว่าเวลาฝนตกจะได้ไม่เปียก คิดได้แบบนั้นระหว่างนั่งรอเพื่อนกับอาจารย์ในห้องเรียนฉันก็เข้าแอพพลิเคชั่นสีส้มเพื่อหาร่มกางแผงลอยแต่เลือกอยู่นานก็ไม่ถูกใจสีสสักที
“จะสิบโมงแล้วนะ ทำไมไม่มีใครมามูฟห้องหรือเปล่าเนี่ย” ฉันนั่งรอในห้องคนเดียวนานเกือบสี่สิบนาทีก็ไม่มีวี่แววของสิ่งมีวีชิตที่จะเข้ามาในห้องเรียนเลย ฉันตัดสินใจกดออกจากแอพซื้อของเข้าไลน์กลุ่มของเมเจอร์แต่ข้อความที่ปรากฏทำให้ฉันอยากจะตีตัวเองแรงๆด้วยความหงุดหงิด
ประธานเจอร์ : คาบเช้าวันนี้อาจารย์งดนะ แต่ตอนบ่ายมีประชุมเชียร์เหมือนเดิมเจอกันตอนบ่ายทุกคน
ฉันเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าอย่างหงุดหงิดทันทีทำไมฉันไม่เข้าดูตั้งแต่เมื่อคืน เป็นไงล่ะนั่งรอเรียนข้างๆฝุ่นแบบนี้เหงาใช้ได้เลย ฉันเก็บของเดินออกจากห้องอายๆ ถ้าแม่บ้านหรือใครเดินผ่านไปมาคงสงสัยว่าฉันมาทำอะไรที่ห้องเรียนคนเดียวอยู่นานสองนาน คิดแล้วก็อาย ฮื่อ!!
ฉันไปทานข้าวที่โรงอาหารอย่างเหงาๆ ไม่รู้อะไรดลใจให้กดถ่ายรูปแล้วอัพลงเฟซบุ๊คพร้อมแคปชันน่าสงสาร สางสารตัวเองเนี่ย!
NAMKING VARISA
Just now
ขอโทษที่ไม่อ่านไลน์เจอร์
(รูปจานข้าว)
23likes 15comment
ฉันมองข้ามคอมเม้นที่ไม่รู้จักแต่ก็ยังกดไลค์แล้วก็เม้นตอบเพื่อนที่เข้ามาแซวอย่างสนุก แต่มีคอมเม้นหนึ่งของพี่มะเฟืองที่แท็กพี่วินในคอมเม้นท์พี่วินไม่ได้ตอบคอมเม้นนั้นแต่เลือกที่จะโทรหาฉันแทนแม้จะงงและตกใจแต่ฉันก็ยังกดรับสายพี่วิน
(อยู่คนเดียวเหรอ)
“ค่ะ”
(ทำไมอยู่คนเดียวเพื่อนไปไหนครับ) พี่วินถามน้ำเสียงยังติดงัวเงีย
“ก็อาจารย์งดคลาสแต่หนูลืมอ่านไลน์เลยมาเรียนคนเดียว” ฉันบอกน้ำเสียงงอแง พอหยิบหูฟังแล้วเสียบเข้ากับโทรศัพท์ใส่หูฟังคุยกับพี่วิน มือข้างหนึ่งจับช้อนตักข้าวอีกข้างจับโทรศัพท์เลื่อนหาร่มแม่ค้าแผงลอยฉันจะไม่ยอมเปียกฝนอีกเด็ดขาด
(ทำไมน่าสงสารแบบนี้ ฝนก็ตกด้วยเมื่อเช้าไปยังไง)
“เดินมาค่ะกางร่มแต่ว่าเปียกด้วยฝนตกหนักแล้วร่มมันคันเล็ก เนี่ยหนูกำลังหาซื้อร่มแบบแม่ค้าแผงลอยจะใช้เวลาฝนตกจะได้ไม่เปียก”
(เดี๋ยวๆ ใจเย็นครับ)
“หนูเจอสีรุ้งแล้วๆ” นิ้วที่กำลังจะกดสั่งซื้อชะงักไปเมื่อพี่วินเอ่ยห้ามเสียงเข้ม
(ขิง อย่าเพิ่งซื้อ)
“ทำไมคะ?”
(เดี๋ยวพี่ไปรับไปส่งเองไม่ต้องซื้อร่มแม่ค้าแผงลอยนะ)
“แต่หนูจะเปียก” ฉันเถียงกลับ แต่พี่วินหัวเราะเบาๆแล้วค่อยอธิบายให้ฟังอย่างใจเย็น
(หนูไม่เปียกเพราะพี่จะไปรับไปส่งเอง ฝนตกก็จะไม่เปียก แต่ถ้าซื้อร่มแม้ค้าแผงลอยอะไรนั่นหนูก็จะเมื่อยแขนนะร่มมันใหญ่มากเลยนะแขนหนูเล้กนิดเดียวนะครับ) พี่วินเล่าไปด้วยขำไปด้วย
“แต่...”
(ไม่มีแต่ได้ไหม ถือซะว่าพี่ขอนะ)
“ก็ได้ๆ” ฉันจำยอมสิ่งที่พี่วินขอ
(แล้วนี่กินข้าวกับอะไร) ปลายสายเปลี่ยนเรื่องคุย ซึ่งฉันเองก็ต้องการเปลี่ยนเรื่องเหมือนกัน
“คะน้าหมูกรอบ แต่หมูมันไม่กรอบเลยค่ะ” เรื่องบางเรื่องฉันเองก็ไม่เข้าใจอะอย่างเช่นคะน้าหมูกรอบนี่อะคือหมูมันไม่กรอบนึกออกไหม ทำไมไม่ผัดแค่คะน้าก่อนเสร็จแล้วค่อยโปะๆหมูกรอบ โอ๊ยคิดแล้วปวดหัวพอดีกว่านะ
(เอ่อ แล้วพี่ต้องบอกยังไงล่ะเนี่ย)
“ไม่ต้องบอกก็ได้ค่ะแล้วพี่กินข้าวหรือยัง”
(ยังเลยพี่ตื่นก็โทรหาเราเลย แต่ว่าสักบ่ายสองจะออกไปคณะแล้วล่ะมีรับน้องนี่ใช่ไหม)
“ใช่ค่ะ แต่หนูยังหาพี่ในสายไม่ครบเลย”
(อ่า เดี๋ยวก็เจออยากกินอะไรไหมเดี๋ยวซื้อเข้าไปให้)
“ไม่เป็นไรค่ะกินข้าวก็อิ่มแล้ว พี่ไปอาบน้ำได้แล้วหนูจะกินข้าวต่อ” แล้วก็หาร่มสีรุ้งต่อถ้ามันหนักอย่างที่พี่วินบอกฉันไม่เอาแบบแม้ค้าแผงลอยก็ได้แต่เขาขนาดใหญ่กว่าคันที่ใช้ก็ยังดี
(ครับ ถ้ามีอะไรโทรหพี่เลยนะ)
“ขอบคุณค่ะ แค่นี้นะ”
(ครับ เจอกัน)