ตอนที่ 6 กำยาน
หลิวหลีได้ยินเสียงเบา ๆ ของแม่สามีกำลังพูดถึงนางในแง่ร้าย อีกทั้งยังชื่นชมสตรีอีกคนต่อหน้าต่อตาเยี่ยงนี้ หมายความว่าสิ่งใดกันแน่
“ท่านเขยเจ้าคะ ฮูหยินมาแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวอันไม่พอใจนักหนา เหตุใดฮูหยินใหญ่จึงเอ่ยเรื่องไร้ยางอายท่ามกลางผู้คนมากมายเช่นนี้กัน จงใจให้นายสาวของนางได้รับความอับอายใช่หรือไม่ กระนั้นเสี่ยวอันก็ไม่อาจเอ่ยปากพูดแทรกสิ่งใดได้ จึงต้องเก็บงำความรู้สึกเอาไว้
“มาแล้วหรือ” เป่ยหมิงกล่าวเสียงนุ่ม ยื่นมือจับผ้าสีแดงเอาไว้ ส่วนหลิวหลีนั้นยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้าม จากนั้นจึงมีแม่สื่อเอ่ยกำชับว่าต้องกระทำสิ่งใดบ้าง ผ่านไปไม่ถึงครึ่งก้านธูป พิธีการช่วงเช้าได้จบลงแล้ว
จากนั้นจึงส่งตัวเจ้าสาวเข้าห้องหอ และงานเลี้ยงวันนี้จึงจบลงเพียงเท่านี้ สร้างความมึนงงให้แก่เหล่าผู้ที่มาร่วมแสดงความยินดียิ่งนัก ขุนนางบางคนเป็นสหายของใต้เท้าหลิว
เห็นเช่นนี้แล้วก็คิดว่าสกุลเป่ยหักหน้าสกุลหลิวอย่างจงใจ อีกทั้งยังไม่ให้เกียรติหวงตี้ที่พระราชทานงานสมรสนี้ให้แก่แม่ทัพเป่ยอีกด้วย เห็นทีว่าเรื่องนี้ต้องกราบทูลหวงตี้ให้ทราบเรื่อง มิให้สกุลเป่ยฉีกหน้าสกุลหลิวจนไม่มีที่ยืนเยี่ยงนี้
“เดินทางมาเหนื่อยหรือไม่” เป่ยหมิงถูกประคองให้นั่งลงบนเตียง เคียงคู่กับเจ้าสาว เขาเอ่ยสอบถามน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างใส่ใจนัก
“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบกลับ น้ำเสียงสั่นไหวหวั่นยิ่งนัก ได้อยู่ใกล้ ๆ กับเขาเช่นนี้ราวกับว่ากำลังฝันไปเสียอย่างนั้น เขาคือชายที่นางปักใจรักใคร่มาเนิ่นนาน แต่เขาคือคนรักของพี่สาว
ทว่าช่างน่าเสียดายนักที่พี่สาวของนางได้สิ้นใจไปก่อนหน้านี้ และคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายนั้น คือให้นางแต่งงานเข้าจวนสกุลเป่ย เพื่อให้นางหลุดพ้นออกจากจวนสกุลหลิวเสียที
หญิงสาวกล่าวเพียงเท่านั้น แต่ดวงตาคล้ายเหม่อลอย ชายหนุ่มค่อย ๆ เอื้อมมือสัมผัสผ้าคลุมหน้าแล้วดึงมันออกมา นางตกตะลึงเมื่อพบว่าใบหน้าของเขาอยู่ใกล้ ๆ นางเช่นนี้เลยหรือ “เอ่อ...” นางถอยหลังห่างออกไปเล็กน้อยเพราะตกใจ
แต่เขากลับคิดว่านางรังเกียจที่เขาตาบอดจึงหันหน้าหนี “ขอโทษที่ทำให้เจ้าลำบากใจ ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว”
จู่ ๆ เขาก็น้อยใจขึ้นมา หลิวหลีจึงลุกขึ้นแล้วกอดเขาจากด้านหลัง ขณะที่เขากำลังแง่งอนนางนั้น เขากลับลุกขึ้นยืนแล้วกำลังจะเดินออกไป นางจึงรีบโผเข้าสวมกอดอย่างร้อนใจ “ท่านแม่ทัพ ขออภัยด้วยเมื่อครู่ข้าเพียงแค่ตกใจเท่านั้น มิได้รังเกียจที่ท่านเป็นเช่นนี้”
น้ำเสียงหวานของฮูหยินช่างปลอบประโลมจิตใจที่หดหู่ห่อเหี่ยวนั้นให้ฟองฟู่ขึ้นมาทันใด เขายิ้มออก แล้วกุมมือนางเอาไว้ แม้ดวงตานี้ที่มืดมิดอับแสง แต่มิได้เป็นอุปสรรคมากนักกับการใช้ชีวิต
นั่นเพราะว่าดวงตาของเขาอาจหายได้ ตามที่ท่านหมอหลวงแจ้งแก่เขาก่อนหน้านี้ ทำให้เขามีกำลังใจฮึดสู้และมีนางเคียงข้าง เช่นนั้นเขาจึงหวังว่าจะได้พบดวงหน้าที่แสนสะสวยในเร็ววัน “ต่อไปต้องเรียกท่านพี่นะ”
ปกติแล้วยามพบหน้านาง มิเคยเอ่ยเรียกเขาว่าท่านแม่ทัพสักครา นางมักเรียกเข้าว่าพี่เป่ยหมิงตลอด แต่เหตุใดวันนี้สรรพนามที่เอ่ยเรียกขานคล้ายดูห่างเหินกันนัก
หญิงสาวรู้สึกหวั่นไหวกับน้ำเสียงไพเราะเสนาะหู “ท่านพี่”
น้ำเสียงของหลิวหลีจึงสั่นไหว มือยังคงถูกเขากุมเอาไว้ แต่ดวงตาคู่สวยนี้กำลังเอ่อคลอไปด้วยม่านน้ำตาที่กำลังปกคลุมอยู่ในหน่วยตาทั้งสองข้าง รู้สึกละอายใจนักหนาที่ต้องเสแสร้งเป็นคนรักของเขาเช่นนี้
“เดินทางมาเหนื่อย ๆ พวกเรามารับอาหารกันเถิด จากนั้นจะได้เข้าหอกัน” เขาดีใจยิ่งนัก ที่นางยังคงน่ารักเหมือนเมื่อก่อน เขาเอ่ยสิ่งใดนางก็มักตามใจเขาเสมอ
เช่นนี้แล้วจะไม่ให้เขารักนางแต่เพียงผู้เดียวได้อย่างไร แม้ดวงตามืดบอดก็ไม่เป็นอุปสรรคในการเข้าหอในครั้งนี้ แต่เขาไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เขาปรารถนา หลิวหลีไม่สามารถมอบมันให้แก่เขาได้
เช่นนั้นหญิงสาวจึงใช้กลอุบายตื้น ๆ ขึ้นแจ้งแก่ชายหนุ่มว่า “ท่านพี่ วันนี้ข้าเป็นรอบเดือนเจ้าค่ะ”
“อ้อ...เช่นนั้นหรือ ไม่เป็นไร พวกเรารับอาหารกันเถิด” เป่ยหมิงเสียดายนักหนา แต่ก็ยังยิ้มออก ได้นอนกุมมือนางเอาไว้ก็ไม่เสียหาย นับจากนี้เขากับนางจะได้เคียงคู่กันทุกเช้าค่ำ ร่วมดื่มด่ำความสุขนี้ไปด้วยกันนานตราบนานเท่านาน
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ได้เวลายาของคุณชายแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวเสียนหรือเสียนจิน อดรนทนไม่ไหว จึงวางแผนนำ ยาสมุนไพรรักษาดวงตามาในห้องหอ แต่นางก็ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน เพราะด้านนอกมีสาวใช้จากสกุลหลิวขัดขวางนางอยู่
“ท่านพี่ ดื่มยารักษาดวงตามานานแล้วหรือเจ้าคะ” นางต้องดูแลปรนนิบัติสามี จึงจำเป็นต้องรู้ว่าเขารับยามื้อใดบ้าง และใครเป็นคนต้มยาให้แก่เขา
แม้หลิวหลีไม่เก่งกาจ แต่กาลเวลาที่นางเฝ้าดูแลพี่สาวนั้น ก็ทำให้นางรู้ตัวยาที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าท่านหมอ อีกทั้งนางยังศึกษาตำราแพทย์มากมาย และยังเป็นศิษย์น้อยของท่านหมอเทวดาอีกด้วย
แต่น่าเสียดายนักอาการป่วยของพี่สาวรักษายากยิ่ง แม้แต่ท่านอาจารย์ก็ยังไม่สามารถรักษาอาการป่วยให้หายขาดได้ ทำได้เพียงแค่ยืดระยะเวลานั้นออกไป จวบจนกระทั่งวาระสุดท้ายนั้นมาถึง ก็ทำให้หลิวหลินจากนางไปในที่สุด
“ระยะหนึ่งแล้ว อาการก็ยังไม่ดีขึ้นเลย” เขากล่าวเสียงเศร้าใบหน้าคมคายหมองหม่น กระนั้นยังฝืนยิ้มมอบให้ภรรยารัก มิอยากให้นางรู้สึกหดหู่เศร้าใจ “เจ้ารู้สึกเวทนาข้าหรือไม่”
“ท่านพี่กล่าวอันใดไม่น่ารักเอาเสียเลย ข้าหรือจะเวทนาท่านพี่ แต่ข้ากลับชื่นชมท่านพี่เสียมากกว่า ที่ท่านปกปักรักษาดินแดนแคว้นของเราในยามคับขันมาจวบจนยามนี้ สิ่งนี้น่าสรรเสริญกว่าสิ่งอื่นใด สักวันท่านพี่ต้องกลับมามองเห็นอีกครั้ง”
นางกล่าวน้ำเสียงหวานแล้วกุมมือปลอบประโลมเป่ยหมิง มิให้คิดมาก เพราะคนป่วยมักคิดฟุ้งซ่านเสมอ นางเองก็หวาดกลัวว่าเขาจะน้อยอกน้อยใจ พานป่วยไข้เอาได้ เห็นเขายิ้มออกสบายใจเช่นนี้ นางย่อมเป็นสุขใจนัก
ในห้องยังไร้เสียงตอบกลับ ยิ่งทำให้เสี่ยวเสียนร้อนใจนักหนา ชักสีหน้าไม่พอใจใส่เสี่ยวอันที่ขวางกั้น นางเอ่ยเสียงดุดันจ้องเขม็งสาวใช้อีกฝ่ายอย่างไม่ยอมความ “ถอยสิ ข้าบอกให้เจ้าถอยไม่ได้ยินหรือไร”
“เอามานี่ ข้าจะเอาไปให้ฮูหยินน้อยป้อนท่านแม่ทัพเอง” เสี่ยวอันยึดถ้วยโอสถนั้นเอาไว้ในมือเสียเอง
“นี่เจ้า!” เสียนจินขึ้นเสียงใส่ อยากตวัดฝ่ามือฟาดลงมายังใบหน้าของอีกฝ่ายยิ่งนัก หากไม่ติดว่ามีหูตามากมาย ไม่อย่างนั้นแล้ว สตรีนางนี้ก็คงจะถูกนางตบสั่งสอนให้รู้เสียบ้างว่าอย่าได้ริอ่านขึ้นเสียงใส่นาง
“อันใด วันนี้คือวันมงคล เจ้ามีสิทธิ์เข้าไปหรืออย่างไร นายท่านมิออกปากให้เข้าไป เจ้าคิดจะเข้าก็เข้าได้เช่นนั้นรึ” เสี่ยวอันหรือจะหวาดกลัว ก็มีฐานะและตำแหน่งไม่ได้สูงไปกว่านาง หรือจะสูงกว่านางก็หาได้หวาดกลัวเสียเมื่อไรกันเล่า
“เอะอะอันใดกัน มิเห็นหรือว่าวันนี้คือวันอะไร เจ้ามีหน้าที่อะไรก็ไปทำสิ เสี่ยวอันเข้ามา” หลิวหลีพอเดาออกแล้วว่า สาวใช้ผู้นี้มีฐานะอันใดในจวน คาดว่าอีกไม่ช้านางต้องเข้ามาในตำแหน่งภรรยาของเขาอีกคน คงต้องคอยดูว่าเขาจะทำอย่างไรนับจากนี้ไป
“เจ้าค่ะฮูหยินน้อย” เสี่ยวอันยิ้มแป้น ในมือยังถือถ้วยโอสถเอาไว้ นางยังไม่ได้ส่งมอบให้นายสาว อยากเข้ามาดูในห้องหอว่าเป็นเช่นไรบ้าง นางขอให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปด้วยดี
ส่วนเสี่ยวเสียนนั้นรู้สึกอับอายยิ่งนัก ที่ถูกฮูหยินคนใหม่ฉีกหน้านางถึงเพียงนี้ และนางจะนำถ้อยคำอันโอหังอวดดีนี้ไปฟ้องฮูหยินใหญ่ให้มาจัดการหลิวหลินในไม่ช้า และรอคอยวันเวลาที่จะเป็นของนาง
“เมื่อครู่นางทำอะไรเจ้าหรือไม่” หลิวหลีสอบถาม กลัวว่าคนพวกนั้นจะข่มเหงรังแกสาวใช้ของนาง และสาวใช้ผู้นี้ก็เปรียบเสมือนญาติของนางก็ว่าได้ เพราะผ่านวันเวลาที่แสนเจ็บปวดด้วยกันมาแล้ว และก็เชื่อใจกันและกัน
“ฮูหยินวางใจได้ พวกนางถึงอยากทำแต่ก็คงไม่กล้าเจ้าค่ะ” เสี่ยวอันยิ้มแย้ม มิได้ทุกข์ร้อนใจนัก นางมีมือและเท้า อย่างมากก็เจ็บตัวกันไปข้างหนึ่ง
“เจ้านี่นะ อย่าหาเรื่องคนพวกนี้เล่า อย่าลืมว่าพวกเรามิได้อยู่จวนสกุลหลิวอีกแล้ว จะทำอันใดก็ต้องระมัดระวังให้มาก แล้วพรุ่งนี้เช้าเจ้าออกไปส่งจดหมายตามท่านอาจารย์ให้ข้าที” นางหวังว่าเขาจะพบกับแสงสว่างอีกครั้ง
“ท่านแม่ทัพช่างโชคดีนัก ที่ได้คุณหนูเป็นภรรยา ท่านหมอเทวดาหากทราบว่าคุณหนูแต่งงานคงจะมาร่วมแสดงความยินดีเป็นแน่” ยามนี้ท่านหมอผู้นั้นคงอยู่ในหุบเขา เก็บสมุนไพรกระมัง
“เบา ๆ เดี๋ยวท่านแม่ทัพก็ได้ยินหรอก” เพราะนางกลัวว่าหากเขารู้ว่านางคือหลิวหลี มิใช่หลิวหลินแฝดพี่ เขาจะเสียใจจนผ่ายผอม มีผลต่ออาการบาดเจ็บทางดวงตา และเรื่องนี้ก็ต้องเก็บเป็นความลับเอาไว้
เพราะหลิวหลีนั้นได้ตายไปแล้ว และยามนี้นางคือคุณหนูรองหลิวหลิน ทั้งสองพูดคุยกระซิบกระซาบเบา ๆ ปล่อยให้เป่ยหมิงนั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเก้าอี้ มือหนาเขาจับผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ ใบหน้าของเขากลับดูสงบเงียบ ไร้รอยยิ้มใดปรากฏบนใบหน้าคมคายหล่อเหลานี้
แต่หารู้ไม่ว่าชายหนุ่มกำลังพร่ำเพ้อในใจสุดแสนเสียดายนักที่ภรรยามีรอบเดือน ไม่สามารถเข้าหอกับนางได้ นางพ่นลมหายใจเบา ๆ พยายามสงบสติอารมณ์มิให้พลุ่งพล่านไปมากกว่านี้
ทว่ามันก็ไม่สามารถทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้เลย เมื่อได้กลิ่นกำยานหอม ๆ คล้ายจะทำให้เขาเคลิบเคลิ้มไม่อาจควบคุมกำหนัดของตนได้
“หากสักวันท่านแม่ทัพรู้เข้า” เสี่ยวอันหวาดกลัวนัก หากถูกทรยศหักหลังเช่นนี้แล้ว เขาจะยังรักคุณหนูของนางอีกหรือไม่
หญิงสาวทอดสายตามองไปยังชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ เอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบา “ขอเพียงเขาไม่โกรธไม่เกลียดข้าก็พอใจแล้ว เจ้าออกไปเถิด หากข้าไม่เรียกก็ไม่ต้องเข้ามา”
ชายหนุ่มรู้สึกร้อนวูบวาบ ปวดหนึบหว่างขายิ่งนัก เอ่ยเสียงกระเส่าเรียกหาหญิงสาวที่ตนรักใคร่ขึ้นทันใด “หลินเอ๋อร์ หลินเอ๋อร์ ช่วยสามีด้วย สามีทนไม่ไหวแล้ว”