ตอนที่ 5 แต่งงาน
ทันทีที่รถม้ารับเจ้าสาวเคลื่อนตัวออกจากจวนนี้ไปได้ไม่ถึงครึ่งก้านธูป ตงซื่อก็รีบกำชับกำชาสาวใช้ทั้งหลายให้นำน้ำมาสาดไล่ความสกปรกที่ทางเข้าประตูด้านหน้า สร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้เป็นสามียิ่งนัก
หลิวเฉินตะคอกเสียงดังว่า “ตงหรานจิตใจของเจ้าเหตุใดจึงชั่วร้ายถึงเพียงนี้” บุตรสาวออกไปไม่ทันไร นางก็แสดงความคิดในใจนั้นออกมาจนหมดสิ้น ช่างทำตัวไร้ยางอายสิ้นดี เขาคิดผิดนักที่เลือกนางเข้ามาเป็นภรรยาอีกคน
“ชั่วช้ารึ ข้าเนี่ยนะ” นางยอกย้อน พร้อมกับยกมือขึ้นเท้าเอวทั้งสองข้าง น้ำเสียงดังกึกก้อง ใบหน้าสะสวยนั้นเปี่ยมไปด้วยความเกรี้ยวกราดไม่น้อยนัก
“...” หลิวเฉินคร้านจะต่อปากต่อคำโต้เถียงกับนางแล้ว เขาสะบัดแขนเสื้อดังพรึ่บ!... แล้วจึงเดินกลับเข้าไปยังเรือนด้านใน ข่มความหงุดหงิดเอาไว้ในใจ อดกลั้นมันเอาไว้ให้ถึงที่สุด ถึงอย่างไรนางก็คือฮูหยินของตน
การกระทำของสามีก็ยิ่งกระตุ้นให้ตงหรานหงุดหงิดใจยิ่งนัก ในเมื่อเขาไม่ปริปากพูดอันใด ก็ยิ่งทำให้นางหัวเสียไปใหญ่ จึงเร่งฝีเท้าเดินตามแผ่นหลังของสามีไปอย่างกระชั้นชิด
นางยังตะโกนต่อว่าขึ้นอีกหนึ่งประโยค “หากข้าไม่ชั่วช้า ท่านจะมีอนาคตที่ดีเยี่ยงนี้หรือ ลืมไปแล้วหรือไร หากไม่มีข้าในวันนั้น ท่านจะได้รับตำแหน่งขุนนางหรือไม่”
“อ้อ...” ในเมื่อนางทวงบุญคุณอันยิ่งใหญ่นี้ เขาจึงหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมามองภรรยาด้วยจิตใจที่แสนเจ็บปวด “ขอบคุณฮูหยินมากที่เมตตาคนต้อยต่ำเช่นข้า แต่ข้าก็คิดไม่ถึงว่า คุณหนูสกุลตงผู้ยิ่งใหญ่ จะลดตัวมาเกลือกกลั้วกับคนชั้นต่ำเช่นข้า”
หลิวเฉินเอ่ยวาจาแดกดันไปชุดใหญ่ ทำให้ตงหรานหน้าดำหน้าแดงโกรธเกรี้ยวจนควันออกหู นางส่งเสียงกรีดร้องขึ้นทันใด ทว่ากลับทำให้ผู้เป็นสามีนั้นยิ้มร่า หัวเราะเยาะนางแล้วจึงเดินจากไป ปล่อยให้ภรรยายืนกรีดร้องโวยวายราวกับคนวิปลาสอยู่เยี่ยงนั้น
ทางด้านรถม้าที่มารับเจ้าสาว เดินทางมาถึงจวนแล้ว “เชิญขอรับ” คุณชายสามเปิดม่านรถม้า แล้วยื่นมือรอจับจูงหญิงสาวสวมชุดแดงเข้าจวน
ทว่าตลอดระยะทางนั้น หลิวหลีรู้สึกว่าค่อนข้างที่จะเงียบกริบยิ่งนัก มิมีเสียงของนักดนตรีบ้างเลย อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเป่ยหมิงมอบอันใดให้แก่พี่สาวของนางบ้าง ดูเหมือนจวนสกุลเป่ยจะมีท่าทีที่ไม่ดีนัก
“เหตุใดตลอดทางที่เดินทางมา ไม่มีผู้ติดตาม ไม่มีเสียงดนตรีอย่างที่ควรจะมี พวกท่านเห็นว่าจวนสกุลหลิวนั้นต้อยต่ำเยี่ยงนั้นหรือ มิคู่ควรกับงานสมรสพระราชทานอย่างนั้นรึเจ้าคะ” หลิวหลีนั่งคิดอยู่ในรถม้ามาตั้งนาน ดูเหมือนว่าคนพวกนี้คงไม่ยินดีต้อนรับนางสักเท่าไรนัก
“ช่างกล่าวได้ดีนัก ข้าเห็นว่าลูกชายของข้านั้นยังไม่หายดี รอให้เขาหายดีแล้ว ค่อยจัดงานขึ้นอีกครั้งก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่นา” ฮูหยินใหญ่ถูกประคองด้วยหลานสาวญาติห่าง ๆ ออกมารอต้อนรับสะใภ้ผู้นี้
ก็ถือว่าให้เกียรติมากพอแล้ว ยังจะเรียกร้องอันใดอีก และนับว่าโชคดีนักที่กุ้ยเฟยยอมอ่อนข้อให้นางที่ส่งจดหมายให้แก่กุ้ยเฟยแจ้งเรื่องการแต่งงานให้หนนี้ ให้ยกเลิกขั้นตอนที่ยุ่งยากไป เพราะบุตรชายนั้นอาการมิสู้ดีนัก
“คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” หลิวหลียอบกายลงด้วยจิตใจวุ่นวายสับสนไม่น้อย เหตุใดจวนสกุลเป่ยจึงตั้งแง่รังเกียจนางเยี่ยงนี้ หรือว่าคนพวกนี้รู้แล้วว่านางสวมรอยมาแทนพี่สาว หากเป็นเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี
“ท่านแม่ พี่สะใภ้เพียงแค่สอบถาม เหตุใดต้องพูดจารุนแรงกับนางถึงเพียงนี้” คุณชายสามชักสีหน้าไม่พึงพอใจเล็กน้อย เหตุใดท่านแม่จึงพูดจาราวกับว่านางเป็นคนอื่นเสียอย่างนั้น อีกทั้งยังไม่รักษาหน้าตาของสกุลเป่ยอีกด้วย
“ไม่ทันไรก็เข้าข้างพี่สะใภ้เสียแล้ว ในเมื่อมาถึงแล้วก็เข้าข้างในเถิดอย่ายืนอยู่ข้างนอกอีกเลย ประเดี๋ยวผู้คนจะประณามว่าข้ารังแกลูกสะใภ้คนรอง” มู่ชิงฮูหยินใหญ่จึงเชิดหน้าแล้วถูกประคองเข้าไปโดยหลานรัก
ส่วนเจ้าสาวนั้นถูกประคองโดยสาวใช้ที่ติดตามมาด้วยหนึ่งคน สตรีนางนี้เพิ่งรับเข้ามาเป็นสาวใช้ของหลิวหลินได้ร่วมหนึ่งเดือนแล้ว เช่นนั้นนางจึงเข้าใจดีว่า สิ่งใดควรพูดและไม่ควรพูด
“ฮูหยินเจ้าคะ ระวังด้านหน้ามีกระถางไฟอยู่เจ้าค่ะ ก้าวไปยาว ๆ เพียงก้าวเดียวเจ้าค่ะ อีกสามก้าวด้านหน้าเป็นบันได” นางกระซิบเบา ๆ ข้างใบหูของนายสาว มิอยากให้นายสาวของนางถูกใครต่อใครหัวเราะเอาได้
เพียงแค่ฮูหยินใหญ่ผู้เดียวก็ทำให้เจ้านายของนางลำบากแล้ว ต่อไปคงจะยากเย็นยิ่งนักที่จะข่มความหงุดหงิดเอาไว้ได้ ดูท่าว่าคนจวนนี้ไม่เป็นมิตรสักเท่าไรนัก
“อันเอ๋อร์ลำบากเจ้าแล้ว” หญิงสาวซาบซึ้งใจนัก ในยามลำบากยังมีสาวใช้ผู้นี้อยู่เป็นเพื่อนคอยปลอบใจ วันเวลาที่ยากลำบากของนางและพี่สาวนั้น มันผ่านไปแล้ว หลังจากนี้ชะตาชีวิตของนางจะเป็นเช่นไรกัน
“ค่อย ๆ นะเจ้าคะ” เสี่ยวอันประคองนายสาวค่อย ๆ เดินเข้าไปข้างในอย่างช้า ๆ บรรดาสาวใช้ในจวนเป่ยทั้งหลายต่างก็พากันชะเง้อมองอยู่ไม่วางตา ส่วนมากจะมองคุณชายสามเสียมากกว่า
เพราะนาน ๆ ครั้งคุณชายสามผู้นี้จะเผยตัวตนให้เห็นอยู่ในเรือน ส่วนมากก็มักขลุกตัวอยู่ในห้อง หรือไม่ก็อยู่ในวังหลวง สาวใช้บางคนที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ ถึงขั้นตกตะลึงในความหล่อเหลา เอ่ยเสียงตะกุกตะกักซักถามสาวใช้ด้วยกันว่า “นั่นคือคุณชายสามหรือเจ้าคะ”
“ก็ใช่นะสิ รูปก็งาม ซ้ำยังไม่มีคู่หมาย อีกอย่างยังเป็นหลานรักของกุ้ยเฟยอีกด้วย” สาวใช้ผู้นี้ยังยืนบิดม้วน เพราะนานแล้วที่ไม่ได้พบหน้าคุณชายสามของจวนเป่ยแห่งนี้
“จะพูดไปแล้วก็น่าสงสารฮูหยินน้อยนัก” สาวใช้อีกคนทอดถอนหายใจ มองแผ่นหลังของนายสาวคนใหม่ด้วยความสงสารและเห็นใจยิ่งนัก
“ทำไมเล่า เป็นฮูหยินน้อยมีอันใดให้น่าสงสารกัน” สาวใช้มาใหม่ยังเอ่ยสอบถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น จ้องมองพี่สาวผู้นี้อย่างจดจ่อ รอคอยคำตอบจากนาง
“จะไม่น่าเห็นใจได้อย่างไรกัน พวกเจ้าดูสิในจวนนี้ครื้นเครงเสียที่ไหนกัน ราวกับว่ามิมีงานมงคลเสียอย่างนั้น นับว่าคุณชายใหญ่ยังรู้ทัน ส่งเทียบเชิญเหล่าขุนนางน้อยใหญ่มาร่วมงาน แต่ดูแล้วคราวนี้จวนเป่ยต้องเสียหน้าแล้วล่ะ” ในเมื่อคิดฉีกหน้าจวนสกุลหลิว แต่กลับกลายเป็นว่าจวนนี้ต้องอับอายเสียเอง
นั่นก็เพราะเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ ต่างก็เฝ้ารอว่าจะมีสุราชั้นเลิศหรือไม่ อาหารเหลาที่ขึ้นชื่อมีอันใดบ้าง แต่ด้วยที่ฮูหยินใหญ่นั้นค่อนข้างตระหนี่ขี้เหนียว
วันนี้จึงทำให้สกุลเป่ยต้องพบกับความอับอาย คงจะถูกนินทากล่าวว่าร้ายอีกหลายเดือนเป็นแน่ นี่กระมังที่เขาเรียกว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
ทางด้านเจ้าบ่าวนั้นตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก เขายืนกะส่ายกะสับอยู่เคียงข้างผู้เป็นพี่ใหญ่ ยามนี้พี่ชายของเขามีตำแหน่งเป็นท่านราชครู กำลังปลอบใจน้องชายที่ดวงตามืดบอดให้ใจเย็นลงมาบ้าง “ใจเย็น ๆ นางกำลังเดินมา”
“น้องสามดูแลนางดีหรือไม่” ชายหนุ่มสอบถาม เกรงว่าคนรักของตนจะน้อยอกน้อยใจที่เขาไม่สามารถไปรับนางถึงที่จวนได้ จึงส่งน้องชายไปแทน
“น้องรองอย่าเพิ่งใส่ใจนัก ยามนี้นางถูกประคองมาโดยสาวใช้ มิใช่น้องสามอย่างที่เจ้ากล่าวหา” ท่านราชครูคลี่ยิ้มเล็กน้อย เพราะถูกสายตามากมายมองมาทางนี้ไม่หยุดหย่อน
อาจเป็นเพราะงานวันนี้ไม่ใหญ่โตมากพอ ด้วยเหตุเพราะท่านแม่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่คิดจะหักหน้าหลิวหลิน จึงส่งผลให้สกุลเป่ยต้องอับอายแล้ว
“ข้ามิได้หึงหวง เจตนาของข้าก็แค่อยากให้นางผ่อนคลายลงบ้าง” ชายหนุ่มรีบชี้แจงทันที ฝ่ามือของเขาชื้นไปด้วยเหงื่อที่ผุดขึ้นมาไม่น้อย แม้กระทั่งยังรู้สึกว่าแผ่นหลังนั้นเปียกชื้น อาจเพราะตื่นเต้นมากไปหน่อยจึงทำให้เหงื่อผุดพรายขึ้นมาไม่หยุดหย่อน
“คงเป็นเจ้าเสียมากกว่า ที่ตื่นเต้น” เป่ยเหยียนกระเซ้าเหย้าแย่น้องชายด้วยสีหน้าเบิกบานใจยิ่งนัก ที่เห็นว่าน้องชายไม่เคร่งเครียดกลับมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมาก คงเพราะกำลังดีใจที่ได้แต่งงานกับคนรัก แต่น่าเสียดายที่เจ้าสาวของเขาคล้ายว่าไม่มีความสุขเอาเสียเลย
“แต่วันนี้ไม่ครึกครื้นเพราะอันใด” เป่ยหมิงสอบถาม งานแต่งของเขาควรจะต้องมีเหล่านักดนตรีมิใช่หรือ แต่นี่กลับมีแต่เสียงเซ็งแซ่พูดคุยกัน
“...” เป่ยเหยียนอับจนหนทางไม่รู้ว่าจะบอกน้องชายอย่างไรดี เห็นทีว่าคงต้องให้เป่ยหมิงสอบถามท่านแม่เอาเองเสียแล้ว
“ท่านแม่ทัพเหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ หากเหนื่อยแล้วข้าจะพาท่านเข้าห้องไปพักผ่อน” เสี่ยวเสียนรีบเสนอตัว เพราะไม่อยากให้แม่ทัพเป่ยหมิงร่วมทำพิธี กับเจ้าสาว หากเป็นไปได้เปลี่ยนจากหลิวหลินเป็นนางไม่ดีกว่าหรือ
“วันนี้คืองานแต่งของข้า เหตุใดต้องให้ข้าเข้าไปพัก ข้าย่อมต้องคำนับฟ้าดินกับนาง มิใช่เจ้าเสี่ยวเสียน” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแข็ง
เป่ยหมิงเริ่มไม่ชื่นชอบความเจ้ากี้เจ้าการของนาง ราวกับว่าเป็นภรรยาของเขาเสียอย่างนั้น หากไม่ติดว่ามารดากำชับว่านางเป็นญาติห่าง ๆ ป่านนี้เขาคงจะไล่นางให้ออกห่างเขาไปไกล ๆ แล้ว
“เสี่ยวเสียนทราบดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ถึงอย่างไรเสี่ยวเสียนก็ยินดีที่จะดูแลท่านตลอดไปนะเจ้าคะ” นางยังคงยิ้มหวาน ซุกซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ เสียแรงที่ดูแลมาเป็นอย่างดีหลายวัน แต่เขากลับเห็นนางเป็นแค่สาวใช้เยี่ยงนั้นหรือ
มู่ชิงออกปากทักท้วงอย่างไม่รีรอ ในเมื่อสตรีที่นางหามานั้นล้วนดีพร้อม และเหมาะสมกับบุตรชายของนางยิ่งนัก มิใช่สตรีนางนี้ที่ไร้มารดาคอยหนุนหลังค้ำชู อีกอย่างคืนนี้นางก็ลงมือทำบางอย่างแล้ว
หวังว่าจะทำให้หลิวหลินเสียใจ แต่บุตรชายก็ช่างหัวแข็งดื้อรั้นเสียจริง แผนของนางจะล้มเหลวไม่ได้เด็ดขาด เช่นนั้นจึงคะยั้นคะยอให้บุตรชายไปพักโดยมีหญิงสาวที่นางหามานำทางเขาไป “เสี่ยวเสียนน่ารักถึงเพียงนี้ เหตุใดลูกแม่จึงตัดไมตรีกันเล่า เอาน่าเสี่ยวเสียนนำทางหมิงเอ๋อร์เข้าห้องไปพักผ่อนเสีย”
“ข้าบอกว่าไม่ก็คือไม่ วันนี้คือวันแต่งงานของข้า ข้าย่อมต้องอยู่กับหลินเอ๋อร์ มิใช่เสี่ยวเสียน หากท่านแม่ยังขืนกระทำเช่นนี้ ข้าจะไม่ทนอยู่ร่วมจวนเดียวกับท่านอีก” เป่ยหมิงยืนกรานหนักแน่น น้ำเสียงแข็งกร้าวนัก
“ลูกแม่ เพื่อนางเจ้าทำเช่นนี้เลยหรือ” นางอ่อนอกอ่อนใจเหลือเกิน เหตุใดลูกชายจึงดื้อรั้นถึงเพียงนี้ นางอุตส่าห์หวังดี หาภรรยาที่ดูแลเขาได้ แต่เขากลับปฏิเสธนางเช่นนี้ จึงเศร้าเสียใจยิ่งนัก
“เพราะข้ารักนาง มิใช่สตรีที่ท่านหามา ท่านแม่โปรดเข้าใจด้วยว่า ข้ารักหลินเอ๋อร์”