หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเราสองคนก็กลายเป็นเพื่อนกันมาโดยตลอด แต่ไม่มีใครรู้หรอกค่ะว่าเราสองคนสนิทกัน ใช้คำนี้ก็คงจะได้แหละมั้ง และก็ตอบไม่ได้ด้วยว่าไปสนิทกันตอนไหน สนิทกันได้ยังไง คงจะเป็นดวงผีผลักมากกว่า
“เธอส่งงานครบทุกวิชาหรือยัง”
“...” ฉันเงียบและหรี่ตามองคนข้าง ๆ อย่างจ้องจับผิด ได้ยินคำพูดทำนองนี้ทีไรมักมีงานให้ฉันทำทุกครั้งเลย
“อย่ามองแบบนี้สิเราแค่จะฝากส่งงานเฉย ๆ” เขาว่าพร้อมกับยื่นรายงานมาให้ฉันสองเล่ม
“วิชาอะไร?”
“ภาษาไทย เธอมีเรียนบ่ายนี่วางทิ้งไว้บนโต๊ะอาจารย์ให้หน่อยแล้วกัน”
“นายก็เรียนชั่วโมงต่อจากเราไม่ใช่เหรอทำไมไม่ส่งเองล่ะ”
“ไม่เข้าอะ น่าเบื่อ”
“นิสัย!”
“ดีแหละ ฝากด้วยนะขอบใจมาก” จบประโยคก็เดินหายไปทางหลังตึก
คล้อยหลังเก้าฉันก็เก็บรายงานใส่กระเป๋าแถมก่อนเก็บยังแอบเปิดดูอีกด้วยนะคะ จะว่าไปก็เรียบร้อยอยู่แหละแม้ว่าลายมือจะอ่านยากไปหน่อยก็ตาม
“เมื่อกี้คุยกับใคร?” ปูนาที่เพิ่งมาถึงเอ่ยถาม
“ไม่มีนะ”
“มีสิ เราว่าเราเห็นแวบ ๆ”
“แต่เราอยู่คนเดียว” ปฏิเสธไปน้ำขุ่น ๆ เลยค่ะและก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็นความลับ
“เหรอ... สงสัยเราคงจะตาฝาดไป”
พอถึงช่วงบ่ายฉันก็เข้าเรียนตามปกติค่ะกระทั่งหมดชั่วโมง
“เราลืมของไว้ใต้โต๊ะน่ะรอแป๊บนะ” ฉันเอ่ยบอกปูนาที่ตอนนี้เราออกจากห้องเรียนกันแล้วแต่ว่ายังหาจังหวะส่งงานให้เก้าไม่ได้สักที
“โอเคเรารอตรงนี้”
หลังจากนั้นฉันก็กลับเข้ามาในห้องเรียนอีกครั้งโชคดีที่ห้องสี่มันยังไม่มากันค่ะ รีบวางรายงานแล้วก็หันหลังเดินออกมาทันที อาจารย์พูดอะไรสักอย่างนี่แหละแต่ไม่ได้สนใจที่จะฟัง
“มึงลืมอะไรสวย” เอ็กซ์ค่ะ มันชอบเรียกฉันแบบนี้
“ปากกาน่ะ”
“นึกว่าลืมหัวใจไว้ใต้โต๊ะซะอีก”
“โวะ!”
“ฮ่า ๆ”
วิชาต่อไปเป็นหมวดการงานอาชีพค่ะและต้องเดินอ้อมอาคารไปด้านหลังโน่นแหละ
ระหว่างเปลี่ยนคาบเรียนฉันสังเกตเห็นว่าหลังตึกมีคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่และมีพี่มอปลายอยู่ห่างไม่ไกลกันมากนัก ก็ได้แต่ภาวนาในใจอย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย...
“บรรยากาศไม่ค่อยดีแฮะ” ปูนาพึมพำออกมาเมื่อพวกเรากำลังจะเดินผ่านคนพวกนั้น
“...” ฉันแทบไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเลยนอกจากหันไปมองใครบางคนที่นั่งอยู่ เขาเองก็มองมาทางฉันเช่นกันแต่มันเป็นสายตาที่ต่างออกไป ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร
“สวย! มึงเดินเร็ว ๆ ครับเหม่ออะไรอยู่” เอ็กซ์มันว่าพร้อมกับใช้สองมือดันหลังให้ฉันเดินผ่านตรงนี้ไปให้เร็วที่สุด
มาถึงอาคารเรียนจากตรงนี้มองไปบริเวณนั้นก็ยังพอมองเห็นอยู่ค่ะ พี่มอปลายคนหนึ่งเดินเข้าไปคุยอะไรสักอย่างแต่คงไม่ใช่เรื่องน่าฟังหรอกเพราะดูจากสีหน้าแล้วหาเรื่องกันชัด ๆ แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ค่ะ เก้าไปผลักเขาก่อน แค่เพียงชั่วพริบตาทุกอย่างคือชุลมุนวุ่นวายไปหมด
“กูว่าแล้วไง”
“ว่าอะไรโบ เรื่องปกติของพวกมันอยู่แล้ว”
แทบไม่ได้สนใจบทสนทนาของโบกับปูนาเลยด้วยซ้ำ ที่โฟกัสอยู่ตอนนี้คือใบหน้าอาบเลือดของใครอีกคนต่างหาก ไม่เข้าใจเลยว่าจะมีเรื่องอะไรกันนักหนา
“เฮ้ย...”
“...”
“เฮ้ย!” เสียงของเอ็กซ์ทำเอาฉันสะดุ้งเลยทีเดียว “เอางานมาลอกหน่อย”
“เรียกซะดังเลยตกใจหมด”
“ขนาดเสียงดังมึงยังเหม่อเลยสวย ทำไม? สนใจใครในกลุ่มนั้นหรือไง” ไม่พูดเปล่ามันยังพยักเพยิดหน้าไปทางกลุ่มนั้นที่กำลังถูกฝ่ายปกครองควบคุมอยู่ด้วย
“เพ้อเจ้อ! แค่อยากรู้ว่ามันจะมีเรื่องอะไรกันทุกวัน”
“ศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ฆ่าได้หยามไม่ได้ เคยได้ยินไหม?”
“มองหน้าก็ไม่ได้เหรอ”
“ฮ่า ๆ ก็เหมือนมึงไงเวลาถูกคนอื่นมองน่ะ คนมองก็มีทั้งมองเฉย ๆ มองเพราะเกลียดมองเพราะสวยแตกต่างกันไปทั้งมุมมองทั้งความคิด ใครควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ก็ดีไป แต่ถ้าไม่ได้ก็ตามนั้น”
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
“โธ่! กูพูดตั้งยาว”
... : ฮ่า ๆ
ถึงเวลาเลิกเรียนฉันก็กลับประตูหลังอย่างเช่นทุกวันค่ะ แต่วันนี้ต่างออกไปตรงที่เก้าไม่ได้มารอ ก็แน่สิป่านนี้ยังไม่ออกจากห้องปกครองเลย
กลับถึงบ้านก็ทำนั่นทำนี่ตามปกติ วันนี้พี่สาวฉันหยุดค่ะจึงไม่ต้องไปบ้านเขา
“ไปเอาผักที่บ้านป้าให้แม่หน่อยสิ”
“ป้าแป๋วอะนะ”
“ใช่ ๆ แม่สั่งเขาไว้ป่านนี้คงเก็บเสร็จแล้วล่ะ”
“บ้านเขาอยู่ตรงไหนเหรอแม่”
“ตรงหมู่บ้านพี่เอ็งอะ มันจะมีซอยเล็ก ๆ อยู่ เข้าไปในนั้นเลาะเลียบคลองไปเรื่อย ๆ จะเจอสวนผักอยู่มีสวนเดียวแหละ บอกเขาว่าแม่ให้มาเอาจ่ายเงินแล้ว”
“ขอค่าขนมด้วย จะแวะตลาดนัด”
“ตลอดแหละ”
“คิกคิก”
“ขับรถดี ๆ นะ”
“รู้แล้วจ้า”
เหลือบมองนาฬิกาจะห้าโมงเย็นแล้วค่ะ ตั้งใจจะแวะตลาดก่อนแล้วค่อยไปเอาผักให้แม่ทีหลัง
มาถึงตลาดก็เดินเลือกของกินอย่างสบายใจแต่มันรู้สึกแปลก ๆ ค่ะ เหมือนมีคนเดินตามอยู่ตลอด
“...”
“มาได้ไงอะ” เอ่ยถามพร้อมกับสำรวจบาดแผลบนใบหน้าไปด้วย “แผลเก่ายังไม่หายดีเลยเอาแผลใหม่เพิ่มอีกแล้ว”
“เธออย่าบ่นสิ แล้วนี่มากับใคร”
“มาคนเดียว แล้วนายอะเดินตลาดกับเขาด้วยเหรอ”
“ไม่อะ แต่เห็นคนบางคนก็เลยลองเดินมาดูว่าจะใช่หรือเปล่า”
“หืม?” จำได้ว่าตอนเข้ามาในตลาดฉันไม่เห็นใครนะ หรือว่าไม่ได้สังเกต
“หิวอะ หาอะไรกินเป็นเพื่อนหน่อยสิ” ไม่รอให้ฉันได้ตอบแขนข้างหนึ่งก็ถูกรั้งให้เดินตามไปซะแล้ว
สรุปก็ยังไม่ได้ถามอะไรมากนักแถมยังได้ของกินติดไม้ติดมือมาแทน ฉันไม่ได้จ่ายสักบาทเลยค่ะเพราะคนตรงหน้าจ่ายให้หมดทุกอย่างเลย
“อยากได้อะไรอีกไหม?”
“ไม่ล่ะ”
“อืม เดี๋ยวไปส่ง”
“เราเอารถมา”
“นั่นแหละเดี๋ยวตามไปส่ง”
“แต่เราต้องไปเอาของให้แม่ก่อน”
“ก็ไปสิ”
“...”
ฉันไม่ได้ห้ามอะไรเมื่อคนตรงหน้ายืนกรานแบบนั้น ออกจากตลาดก็เข้าเลียบคลองต่อเลยค่ะ เส้นทางนี้มันคุ้นนะแต่ยังไม่ทันได้ประมวลผลความคิดคนที่ขับรถอยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นซะก่อน
“มาทำอะไรในซอยนี้เหรอ”
“เอาผักให้แม่น่ะ”
“ที่เป็นสวนอยู่ตรงทางแยกใช่ไหม”
“น่าจะใช่นะ แม่เราบอกว่ามีสวนเดียว”
“คราวหน้าถ้ามาเธอเข้าอีกทางนะ ทางนั้นมันจะใกล้กว่า”
“ทางนี้ก็ใกล้นะ ไม่มีรถวิ่งวุ่นวายด้วย”
“มันเปลี่ยว”
“ไม่เห็นน่ากลัวเลย”
“กลัวไว้บ้างก็ดี”
“...” ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเถียงกลับหรอกนะก็แค่พูดไปตามสิ่งที่เห็นเท่านั้นเอง สองข้างทางมีแต่ทุ่งนากับลำคลองค่ะ นาน ๆ จะเจอบ้านคนสักหลังหนึ่งแถมยังมีไฟทางอยู่ตลอด ฉันเลยไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ากลัวอะไร
มาถึงสวนก็เกือบหกโมงเย็นแล้วเพราะมัวแต่เดินตลาดอยู่ไง
“หนูมาเอาของที่แม่สั่งไว้ค่ะ”
“จ้า แม่โทรมาบอกไว้แล้วล่ะ แล้วหนูมากับใครผักมันเยอะนะเพราะป้าแถมให้อีกถุงหนึ่ง”
“มากับเพื่อนค่ะ”
“ดีเลยจะได้ไม่ทุลักทุเล”
สรุป! ผักของแม่นี่สองถุงเบ้อเริ่มเลยค่ะ ถ้าเก้าไม่มาด้วยฉันคงเอากลับไปไม่หมดแน่นอน
“ไปได้ไหมเอาวางไว้ที่เราก็ได้” เก้าเอ่ยเมื่อเห็นถุงของฉันมันใหญ่กว่าของเขา
“ได้ ๆ มันไม่หนัก”
“ขับดี ๆ นะ”
“บอกตัวเองเถอะ”
“เราเก่งอยู่แล้ว”
“เหอะ!” เรื่องไม่ยอมใครคงต้องยกให้เขาแหละ
มาถึงบ้านแม่ก็ยืนรออยู่ก่อนแล้วค่ะ แถมยังฉีกยิ้มด้วยความภาคภูมิใจที่ลูกสาวคนนี้แบกกองผักมหึมากลับมาได้
“หนูต้องได้ค่าจ้างเพิ่มแล้วล่ะ”
“นิดหน่อยทำเป็นบ่น”
“ไม่หน่อยนะแม่ โน่น! ที่เพื่อนหนูอีกหนึ่งถุง” ฉันว่าพลางชี้ไปที่เก้า
“สวัสดีครับ”
“จ้าลูก แม่สั่งถุงเดียวนะเพียงจันทร์”
“ป้าเขาบอกแถมให้”
“ตาย ๆ ให้มาซะเยอะเลยจะแกงขายทันไหมเนี่ย” แม่ฉันขายข้าวแกงค่ะ ส่วนพี่สาวเขาทำงานประจำกัน “อย่าเพิ่งกลับนะลูกอยู่กินข้าวด้วยกันก่อน บ้านนี้มีกับข้าวเยอะแยะเลย” ประโยคหลังนี้เขาหันไปพูดกับเก้าค่ะ พอได้ยินแบบนั้นเจ้าตัวถึงกับฉีกยิ้มขึ้นมาทันทีเลย
“โธ่แม่! ทีเวลาหนูอยู่ทำไมถึงมีแค่ไข่เจียวกับแกงส้มล่ะ” ไม่ยอมค่ะ เรื่องนี้ต้องโวยวายนี่มันสองมาตรฐานชัด ๆ
“อ้าว... เพื่อนสนิทลูกก็เหมือนลูกแม่อีกคนนั่นแหละเพราะถ้าไม่สนิทเอ็งไม่พามาบ้านหรอก”
“...” ถึงกับเงียบปากลงค่ะเมื่อได้ยินแม่พูดแบบนั้น กับคนอื่นก็สนิทแต่กลับไม่มีใครเอ่ยถึงบ้านฉันหรืออยากจะมาเที่ยวเล่นเลยสักคน
“ใจคอจะไม่เชิญเข้าบ้านหน่อยเหรอ”
“โทษที ตามมาสิ”
บ้านที่ฉันอยู่กับแม่มันติดคลองค่ะ ด้านหลังก็จะมีถนนเส้นเล็กวิ่งเลียบคลองได้เหมือนกัน
เข้ามาในบ้านเก้าก็ตรงไปยันหลังบ้านทันที มองสำรวจไปรอบ ๆ แล้วหันมาพูดกับฉัน “เธอรู้ไหมว่าถนนเส้นนี้ไปสุดที่ตรงไหน”
“ไม่อะ ไม่เคยไปสุดทางสักที”
“ดีแล้วล่ะที่ไม่เคยไป”
“ทำไมล่ะ?”
“ไม่ต้องอยากรู้หรอก”
“แล้วจะพูดให้อยากรู้ทำไม” พลางมองหน้ากันนิ่ง ๆ
“กวนประสาทเธอไปอย่างนั้นแหละ”
ระหว่างรอแม่ทำกับข้าวฉันก็ไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาทำแผลให้คนตรงหน้า
“ซี๊ด... เจ็บนะ”
“สมน้ำหน้า! เราเห็นนะว่าไปผลักเขาก่อน”
“ก็สมควรแล้วนี่”
“มีเรื่องอะไรทุกวี่ทุกวัน”
“ปกตินะ สังคมลูกผู้ชาย”
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย แล้วเนี่ยเสื้อนักเรียนก็เปื้อนเลือดพ่อแม่นายไม่บ่นหรือไง”
“ไม่หรอก ไม่มีใครสนใจขนาดนั้น” มือที่กำลังทำแผลชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น มันเป็นน้ำเสียงที่ซ่อนความรู้สึกมากมายไว้ไม่มิดเลยค่ะ “แม่เธอคนแรกเลยนะที่กล้าชวนเราเข้าบ้านและเป็นกันเองแบบนี้”
“ทำไมเหรอ เพื่อนนายก็ออกจะเยอะแยะ”
“ก็ใช่ แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะเรียกว่าเพื่อนได้เต็มปาก”
“...”
“เพราะเราเป็นแบบนี้ไง เกเรมีเรื่องไปวัน ๆ ใครที่ไหนเขาอยากจะให้ลูกมาคบค้าด้วยล่ะ เขากลัวว่าเราจะพาลูกเขาเสียคนทั้งนั้นแหละ และที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเราสองคนรู้จักกันก็เพราะแบบนี้ไง เราไม่อยากให้เธอถูกมองไม่ดีตามไปด้วย”
“แต่...”
“ไม่ต้องไปสนใจหรอกลูก มันไม่มีหรอกใครจะพาใครเสียคนน่ะ ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราทั้งนั้น มีเพื่อนไม่ดีแล้วยังไง เราบังคับให้มันทำตามเราเหรอ? ก็เปล่า! ถ้ามันจะทำก็คือทำตามใจตัวเอง!! เห็นมาเยอะแล้วลูกฉันเป็นคนดีเนี่ย เอะอะอะไรเพื่อนพาไป โทษไปหมดแต่ไม่โทษตัวเองว่าดูแลเลี้ยงดูมาแบบไหน” ไม่รู้ว่าแม่มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ ๆ คงได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว แถมคำพูดยาว ๆ ของแม่ยังทำให้คนข้าง ๆ ฉันยิ้มออกมาอีกด้วย
“ครับ”