หลังจากมื้อเย็นจบลงเก้าก็ยังไม่กลับค่ะ ยังคงนั่งเล่นอยู่ที่บ้านฉันตั้งแต่ฟ้าสว่างจนตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว
“บ้านนายอยู่ไหนเหรอ”
“ไม่ไกลจากบ้านเธอหรอก แต่ก็ไม่ใกล้เหมือนกัน”
“แล้วอยู่กับใครเหรอ เวลานายกลับดึกดื่นแบบนี้เขาว่าไหม” ฉันเอ่ยถามไปตามประสา แต่คนที่ถูกตั้งคำถามกลับนิ่งไปแล้วมองหน้าฉันอยู่แบบนั้นจนรู้สึกประหม่าว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
“...”
“ขอโทษนะเราก็แค่ถามเฉย ๆ”
“ถ้าอยากรู้คืนนี้ก็โทรมาสิเบอร์ก็มีตั้งนานแล้วแต่ไม่ยอมโทรมาสักที”
“เรา...”
“เรากลับก่อนแล้วกันรบกวนเวลาเธอมาหลายชั่วโมงแล้ว” จบประโยคก็เก็บของใส่กระเป๋าและเดินไปหาแม่ฉันที่กำลังดูทีวีอยู่ “ผมกลับแล้วนะแม่ไว้วันหลังจะมาฝากท้องอีกครับ”
“มาเลย ๆ ไม่ต้องเกรงใจลูก ขับรถดี ๆ นะ”
“ครับ สวัสดีครับ”
ฉันเดินตามมาส่งที่หน้าบ้าน เวลานี้สี่ทุ่มกว่าแล้วค่ะ มองไปทางไหนก็มืดไปหมด มันเป็นแถบชานเมืองไงดวงอาทิตย์ตกดินเขาก็แยกย้ายเข้าบ้านใครบ้านมันกันหมดแล้วค่ะ
“โกรธไหมเนี่ย”
“โกรธอะไรของเธอ”
“ก็ที่เราถามไง”
“บอกแล้วไงถ้าอยากรู้คืนนี้ก็โทรมา”
“...”
“ไปแล้วนะ เธอก็เข้าบ้านได้แล้ว”
“อืม ขับรถดี ๆ”
รอจนเก้าขับรถออกไปฉันก็ล็อคประตูและกลับเข้ามาในบ้านตามเดิมค่ะ แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นแสงไฟและเสียงท่อรถที่คุ้นหูกำลังจะแล่นผ่านถนนเลียบคลองหลังบ้าน
“บ้านเขาอยู่ไหนเหรอ ทำไมไปฝั่งโน้น” เห็นไหมคะขนาดแม่ฉันยังจำได้เลย
“ไม่รู้สิแม่ หนูถามแล้วเขาบอกอยู่แถวนี้แหละ”
“ดูเป็นคนหัวดื้อนะ แต่ก็มีมุมที่คนอื่นไม่เห็นซ่อนอยู่เหมือนกัน”
“ก็ถ้ามันซ่อนอยู่แล้วแม่รู้ได้ยังไงล่ะ” ฉันตอบกลับอย่างกวนอารมณ์แต่แม่กลับนิ่งและพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงจริงจังออกมาแทน
“คบได้นะแม่ไม่ว่า เพื่อนน่ะมันมีหลากหลายไม่มีใครดีหรือไม่ดีหรอก แต่ละคนมันเติบโตมาไม่เหมือนกัน ความอบอุ่น ความรัก แม้กระทั่งบรรยากาศรอบตัวยังต่างกันเลย ไม่แปลกหรอกที่บางคนจะดื้อ บางคนจะต่อต้านก็ในเมื่อเขาถูกโอบล้อมมาแบบนั้นจะให้เขามองโลกในแง่เดียวกันกับเรามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ดูเอ็งสิ เอ็งยังไม่เข้าใจมุมมองของเขาเลย”
“...” คำพูดยาว ๆ ของแม่ทำให้ฉันคิดอะไรได้เยอะเลยค่ะ แล้วก็รู้สึกผิดด้วยที่ถามเก้าออกไปแบบนั้น การที่เขาเงียบและไม่ตอบนั่นก็หมายความว่าเขาไม่พร้อมที่จะให้คำตอบกับฉันนั่นแหละ
กลับเข้าห้องรีบอาบน้ำทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ เหลือบมองนาฬิกาอีกทีคือห้าทุ่มแล้วค่ะ สองจิตสองใจว่าจะโทรไปหาเก้าดีไหม ใจหนึ่งก็คิดว่าดึกแล้วอาจจะนอนไปแล้วก็ได้ ส่วนอีกใจหนึ่งก็อึดอัดค่ะ มันค้างคากลัวว่าตัวเองจะเผลอพูดอะไรที่มันทำร้ายคนอื่นออกไปโดยไม่ตั้งใจ
ย้ำคิดอยู่แบบนั้นจนในที่สุดก็ตัดสินใจกดโทรออกไป รอนานจนสายเกือบจะตัดไปเลยค่ะกว่าจะมีคนรับ
(ไม่คิดว่าเธอจะอยากรู้คำตอบขนาดนี้)
“เดี๋ยวนะ ไม่ถามหน่อยเหรอว่านี่เบอร์ใคร”
(ก็มีอยู่คนเดียวแหละที่เราให้เบอร์ส่วนตัว)
“แปลว่าใช้หลายเบอร์ล่ะสิ”
(อืม แต่นั่นมันไว้ใช้ทำธุระ)
“รู้สึกผิดนะเนี่ย”
(รู้สึกผิดอะไร)
“ก็ที่ถามนั่นแหละ เห็นนายเงียบไป”
(ไม่มีอะไรหรอกก็แค่อยากให้เธอโทรหาเท่านั้นเอง)
“กวนเหรอ”
(เปล่าเลย)
“คิดว่านะ...” มีเสียงคล้ายคนทะเลาะกันดังแทรกเข้ามาด้วยค่ะ ทำให้คำพูดของฉนหยุดชะงักไป “นะ นายอยู่ไหนเหรอทำไมเสียงดังจัง”
ปลายสายเงียบไปหลายนาทีมีเพียงเสียงดังก๊อกแก๊กที่ดังอยู่ (ฮัลโหลได้ยินไหม)
“ได้ยินแล้ว”
(โทษทีเสียงดังไปหน่อย)
“อยู่บ้านแล้วใช่ไหม”
(ใช่ รอเธอจนจะหลับอยู่แล้วเนี่ย)
“อย่ามาพูดเลยเสียงใสขนาดนี้”
(ง่ะ! ดักทางเก่งเกินไปแล้วมั้ง)
ระหว่างที่เราคุยกันเสียงที่ดังรบกวนก็ยังคงได้ยินเป็นระยะ ๆ ค่ะ แต่จับใจความเป็นคำพูดไม่ได้เลย
“เที่ยงคืนแล้วอะ”
(ง่วงก็นอน)
“นายก็ควรนอนเหมือนกันนะ”
(อืม)
“อืมอะไร?”
(จะรีบนอนและรีบตื่นไปรอเธอที่โรงเรียนแต่เช้าเลย)
“จะรอดู”
(ท้าผิดคนนะ)
“ฮ่า ๆ”
คุยกันต่ออีกนิดหน่อยก็วางสายค่ะ จะว่าไปแล้วถ้าตัดเรื่องชกต่อยออกไปเก้าก็เป็นคนอารมณ์ดีคนหนึ่งนั่นแหละ แต่ก็อย่างที่แม่ฉันบอกว่าบางมุมเขาก็เหมือนจะปิดกั้นไม่อยากให้ใครเข้าถึงเหมือนกัน
เช้าวันใหม่
เป็นการเริ่มต้นที่ใช้คำว่าซวยตั้งแต่หัววันก็ได้มั้ง แม่ก็ไม่อยู่ พี่ก็ไปทำงานแล้ว แถมรถคู่ใจก็ดันมายางรั่วอีกแล้วแบบนี้จะได้ไปโรงเรียนตอนไหน
ครืด... ครืด...
เหมือนสวรรค์เมตตาค่ะเพราะปลายสายเป็นเบอร์ที่ฉันกำลังนึกถึงอยู่พอดีเลย
(เธอช้าไปสิบห้านาทีแล้วนะ)
“ยังไม่ได้ออกจากบ้านเลยรถยางรั่วและก็ไม่มีใครไปส่งด้วย”
(รอนั่นแหละเดี๋ยวไปรับ) แล้วก็วางสายไปเลยค่ะ
เหลือบมองนาฬิกาหกโมงครึ่งแล้ว ราวสิบห้านาทีเก้าก็มาถึงค่ะ
“แม่ล่ะ”
“ไปขายของตั้งแต่ตีห้าแล้ว”
“อืม ไปกันเถอะเดี๋ยวตอนเย็นเรามาทำรถให้”
“ทำเป็นเหรอ?”
“อย่าดูถูกความสามารถกันสิ”
“เปล่าสักหน่อยแค่ถามเอง”
เก้าส่งฉันก่อนถึงทางเข้าประตูหน้าโรงเรียนค่ะส่วนตัวเขาวนไปเข้าทางประตูหลังแทน
“ทำไมวันนี้มาช้าอะตื่นสายเหรอ” ปูนาเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าฉันเพราะปกติฉันจะมาคนแรกของกลุ่มไง
“ตื่นสายอะไรล่ะรถยางรั่วน่ะสิ”
“แล้วมายังไง”
“พี่มาส่งอะ”
“อ่อ... เอาแบบทดสอบมาลอกหน่อยสิ”
“จำได้ว่าเรากำลังคุยกันเรื่องอื่นไม่ใช่เหรอ”
“ฮ่า ๆ นะ... เพียงจันทร์จ๋าขอลอกหน่อย”
“ตอนสอบเธอจะรอดไหมเนี่ย”
“ไม่รอดก็แก้ไงจะคิดมากทำไม”
“เอาที่แกสบายใจเถอะ” ถึงกับส่ายหน้าให้ค่ะ
ระหว่างที่รอปูนาลอกอยู่โบกับแซ็กก็มาค่ะ และแน่นอนว่าลอกเหมือนกัน
“ถ้าเราทำผิดทั้งหมดนี่เป็นเรื่องเลยนะ”
“สวยถ้ามึงทำผิดพวกกูก็ไม่มีสมองแล้วล่ะ” แซ็กว่ายิ้ม ๆ
“อย่าเชื่อใจเราขนาดนั้น บางข้อเราก็มั่วเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไร เราจะถูกตัดคะแนนเป็นเพื่อนเอง”
“ก็แน่สิ! ลอกกันยกแผงขนาดนั้น”
... : ฮ่า ๆ
“ไอ้เก้า!” โบตะโกนเรียกพร้อมกับโบกไม้โบกมือให้ใครคนหนึ่ง คงไม่ต้องเดาหรอกค่ะว่าเป็นใคร มันก็มีแค่เก้าเดียวเท่านั้นแหละ
“เรียกมันทำไมวะ” ปูนาเอ่ยด้วยความสงสัย
“มีเรื่องสงสัยอยากได้คำตอบ”
พอเก้ามาถึงก็นั่งลงตรงที่ว่างข้างฉัน “ว่าไง”
“เมื่อเช้ามึงไปรับใครอะ”
“...” ถึงกับนั่งตัวเกร็งเมื่อได้ยินคำถามของโบ
“กู?”
“เออ! มึงนั่นแหละกูเห็นนะผ่านหน้าบ้านกูไปแต่ไม่รู้ว่าผู้โชคดีคนนั้นเป็นใคร” โบว่ายิ้ม ๆ แถมยังมองด้วยสายตาจ้องจับผิดอีกด้วย
“ก็ถ้ามึงเห็นขนาดนั้นแล้วจะเรียกมันมาถามทำไมวะ” แซ็กเสริมขึ้นมาบ้าง
“คงจะเห็นหรอก ใส่แจ็คเก็ตไม่พอไอ้เก้ายังถอดหมวกกันน็อคให้ใส่อีก แล้วแบบนี้จะไม่ให้กูอยากรู้ได้ยังไงนี่ไอ้เก้าเลยนะโว้ย นอกจากคู่อริแล้วคนอย่างมันเคยสนใจใครที่ไหน”
“ขี้เสือกนะมึงอะ”
“ฮั่นแน่! มึงมีจริง ๆ ด้วย”
“...”